จินซีหลันพูดยังไม่ทันขาดคำ ฉือฟางอินที่เพิ่งจะลุกพราดพราดลงจากแท่นพิธี ก็เซถลาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้คนผู้หนึ่งมาประชิดตัวรับนางได้ทันเวลา นางก็คงจะล้มหน้าคะมำไปกับพื้นแล้ว
“โล่งอกไปที แต่นั่นเจ้า โอ๊ะ! ท่านแม่ท- อุ๊บ!”
จินซีหลันคิดว่าคนที่มาช่วยฉือฟางอินเอาไว้ คงจะเป็นชาวบ้านสักคนที่อยู่ในงานเลี้ยง แต่เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นกลับไม่ใช่ชาบ้านอย่างที่นางคิด แต่เป็นฉือหย่งหลิงแทน แต่ก่อนที่จินซีหลันจะได้อุทานขึ้นมา จินซีหลันบุตรชายของนาง ก็ได้เอื้อมมือมาปิดปากนางเอาไว้ก่อน
“ชู่ว ท่านแม่ ท่านแม่ทัพยังคงอยู่ในระหว่างเวลาการทำภารกิจลับ ท่านอย่าได้เอ็ดไป” จินซีหลันได้ฟังความที่บุตรชายกบอก นางจึงพยักหน้าเข้าใจ และไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
“เฉียนเอ๋อร์อยู่ที่เรือนแม่เฒ่าลี่ใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้รับคำยืนจากจินซีหลันแล้ว ฉือหย่งหลิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบช้อนตัวอุ้มฉือฟางอินที่สลบไปแล้วขึ้นมา จากนั้นก็พานางเดินออกจากงานเลี้ยง ไปที่ยังเรือนแม่เฒ่าลี่ทันที
“อื้อ”
“เจ้าอยู่เฉยๆ เจ้าจะดิ้นไปถึงไหน มิเห็นหรือว่าข้าเดินลำบาก”
“เสียงใครกัน ช่างพูดมากเสียจริง”
ระหว่างทางเดินไปยังเรือนแม่เฒ่าลี่นั้น ล้วนแต่เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะหลังจากที่ฉือฟางอินเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา นางก็เอาแต่ดิ้นไปมาสร้างความลำบากให้แก่ฉือหย่งหลิง จนเขาต้องกอดนางให้แน่นขึ้นเพราะกลัวว่านางจะตกลงไป แต่ทว่าคนในอ้อมกอดก็ไม่มีทีท่าจะยอมอยู่นิ่งเสียที
“ข้าบอกกว่าอย่าดิ้นอย่างไรเล่า พูดไม่รู้ฟัง เดี๋ยวก็ได้ล้มกันไปทั้งคู่”
“ล้มก็ให้ล้มไปสิ”
“ปากเก่งยิ่งนัก ผู้อื่นเวลาเมาสุราเขามีแต่จะพูดไม่เป็นภาษา ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดเมาสุราแล้วเถียงเก่งเท่าเจ้าเลยจริงๆ เช่นนั้นข้าจะกอดรัดเจ้าให้หายใจไม่ออกเลยดีหรือไม่”
“โอ้ย! เจ้านี่ทั้งปากร้าย ทั้งชอบรังแกข้าเหมือนคนใจร้ายผู้นั้นไม่มีผิด”
“ใครกัน คนใจร้ายที่เจ้าว่า”
“ก็ฉือหย่งหลิง แม่ทัพใหญ่รูปงามที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชมความเก่งกาจนั่นอย่างไรเล่า!”
คำพูดที่ทั้งเป็นคำต่อว่าและทั้งชมเชย ที่หลุดออกจากปากของคนในอ้อมกอดนั้น ทำให้คนที่ได้ฟังถึงหยุดฝีเท้าของตนเอง แล้วหันมาคนในอ้อมกอด ที่กำลังทำหน้างองุ้มอย่างคนไม่พอใจ ยามที่ได้เอ่ยถึงตัวเขา แต่แทนที่ฉือหย่งหลิงจะรู้สึกโกรธที่ถูกนางต่อว่าอยู่ ใจของเขากลับเต้นระส่ำกับชม ที่ออกมาจากปากของฉือฟางอิน
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องเอ่ยชมเขาว่ารูปงามด้วย ถึงนั่นจะเป็นความจริงก็เถอะ แต่ทว่ารูปงามแล้วอย่างไร คนผู้นอกจากรูปงามกับเก่งกาจเรื่องการรบแล้ว ข้ามิเห็นว่าเขาจะเป็นคนดี อย่างที่คนอื่นชื่นชมเลยสักนิด เขาทั้งพูดจาร้ายกาจ กลั่นแกล้งกันสารพัด ฮรึก ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นหลงรักเขาไปได้อย่างไรกัน”
ฤทธิ์สุราทำให้ฉือฟางอินมีความกล้ามากขึ้น ประกอบกับความอัดอั้นตันใจ เมื่อได้เริ่มพูดระบายออกไปแล้ว ความรู้สึกมากมายที่นางกักเก็บเอาไว้ จึงได้หลังไหลออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นของนาง พลันภายในอกของฉือหย่งหลิง ก็เกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นมา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นนางร้องไห้ แต่นั่นก็นับว่านานมากแล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่จวนสกุลชวี่
แต่การร้องไห้ในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เขาทำไว้กับนาง และยังรวมไปถึงอีกเรื่องที่เขาไม่รู้ว่า นางไปทราบมาจากไหน ว่ามีสตรีนางหนึ่งรักเขาอยู่ รอบตัวเขาก็มีแต่เหล่าชายฉกรรจ์ ทำไมนางถึงได้พูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ขึ้นมาได้
“เจ้ากำลังพูดสิ่งใดอยู่กันแน่ คิดกุเรื่องมาต่อว่าอย่างนั้นหรือ มิใช่สิ...เจ้ากำลังต่อว่าท่านแม่ทัพใหญ่อยู่อย่างนั้นหรือ เดี๋ยวเถอะ ข้าจะนำความนี้ไปรายงานแม่ทัพใหญ่ ให้เจ้าถูกลงโทษ”
“ข้าไม่ได้กุเรื่อง อีกอย่างเจ้าไม่มาเป็นข้าเจ้าจะไปรู้อะไร แต่ช่างเถอะ ข้ามิอยากสนใจแล้ว สตรีนางใดจะรักหรือไม่รักเขาก็เรื่องของพวกนาง ส่วนฉือหย่งหลิง จะรับสตรีนางใดมาเป็นภรรยาอีกคนหรือไม่ก็เรื่องของเขา”
ยิ่งได้ฟังร่างบางในอ้อมกอดกล่าวเช่นั้น คิ้วทั้งสองของฉือหย่งหลิงก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ นางไม่คิดจะสนใจหากว่าวันหนึ่งตัวเขา คิดอยากจะรับสตรีนางอื่นมาเป็นภรรยาอีกคนอย่างนั้นหรือ
“เจ้าจะยอมให้ท่านแม่ทัพใหญ่ มีภรรยาอีกคนได้อย่างนั้นหรือ ช่างใจกว้างเสียจริง”
“ใจกงใจกว้างอะไรกัน คนอย่างข้าน่ะหรือจะทำเช่นนั้น ไม่มีทางเสียหรอก หากฉือหย่งหลิง คิดจะมีภรรยาเพิ่มขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ข้าก็จะไปขอหย่ากับเขาด้วยตัวของข้าเอง!”
‘ขออย่าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก’
ฉือหย่งหลิงกระตุกยิ้มเย็นขึ้นมา เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเขาก็จะปล่อยผ่านคำพูด ที่หญิงสาวบอกว่าจะหย่ากับเขาไปก่อน เอาไว้เสร็จภารกิจที่ชายแดนเหนือเมื่อไหร่ เมื่อนั้นค่อยว่ากันอีกที เมื่อเดินมาถึงเรือนแม่เฒ่าลี่ ก็พบว่าอี้ซวางได้มายืนรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ฉือหย่งหลิงจัดการวางร่างฉือฟางอิน ลงบนเตียงเดียวกับที่บุตรชาย จัดการห่มผ้าให้ฉือฟางอิน จากนั้นก็มลงหอมขมับบุตรชาย แล้วยืนมองสองแม่ลูกหลับใหลอยู่ข้างกันจนพอใจ
จึงได้เดินออกมาฝากฝังให้อี้ซวางช่วยดูแลพวกเขา แล้วเดินออกจากเรือนของแม่เฒ่าลี่ ตรงไปยังจุดนัดพบที่ทหารในสังกัด ได้นำม้าเร็วมารอไว้อยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลังมา ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เมื่อพร้อมแล้วก็รีบเร่งกระตุกเชือก ออกเดินทางกลับไปยังสนามรบ ณ ชายแดนทางเหนือ
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี