จู่ๆ จื่อหนิงก็ตายและทุลุติมาเข้ามาในตอนจบของนิยาย...แล้วอย่างไรกัน เรื่องดำเนินมาถึงตอนจบแล้วนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ นอกจากขอเพียงได้ด้วยชีวิตพ่อตัวร้ายที่น่าสงสารผู้นี้เอาไว้ก่อนเถอะ!
Lihat lebih banyak“น้ำเน่า!”
“เหอะ! แค่นางเอกรักแล้วจะกลายเป็นพระเอกได้เหรอ” “อีกแล้วเหรอ” “โถ่เอ๊ย! พ่อตัวร้ายที่น่าสงสาร!” เสียงสบถดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงพลิกหน้า กระดาษไปมาอย่างหัวเสีย จื่อหนิงเป็นพนักงานบัญชีในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ชีวิตประจำวันของเธอวนเวียนกับตัวเลขที่ไม่มีวันจบสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่งเริ่มมีอาการวิตกกังวลสะสมจากความเครียดแทบทุกวันเกือบจะตายก่อนวัยอันควรจึงต้องหางานอดิเรกมาบำบัดจิตใจและการอ่านนิยายก็กลายเป็นทางออกของเธอ ทว่า…นิยายที่อ่านกลับทำให้ปวดหัวหนักกว่าเดิมเสียอีก! ‘เคียงข้างทุกชาติภพ’ กับผีน่ะสิ! นิยายเรื่องใหม่มาแรงจากนักเขียนโนเนมที่พอถูกตีพิมพ์วันแรกก็ขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงวันแถมยังดังเป็นพลุแตก กลายเป็นกระแสในโซเชียลอยู่พักหนึ่ง แน่นอนว่าจื่อหนิงไม่อาจพลาดเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงได้ แต่กว่าจะหาซื้อหนังสือเล่มนี้มาได้ก็ยากเย็นนักเพราะตีพิมพ์แค่รอบเดียวเท่านั้น! และต้องรอมือสองอยู่นานนับเดือนกว่าจะได้มาอ่านทั้งที่โดนรีวิวสปอยล์จนแทบหมดเล่มแล้ว ดังนั้นเธอจึงพยายามทำใจไม่คาดหวังอะไรกับมันมากนักแต่เธอกลับอยากรู้ว่า…พ่อตัวร้ายที่ถูกคนด่าสาปแช่งกันนักหนาจะร้ายกาจถึงเพียงไหนกัน เนื้อเรื่องเล่าถึงความรักอันแน่วแน่ของพระนางที่ร่วมจับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคโดยมีพ่อตัวร้ายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ความรักของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้นอีก พออ่านถึงจุดหนึ่ง จื่อหนิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เหอะ! ยิ่งไม่คาดหวัง…ยิ่งผิดหวังจริงๆ” แรกเริ่มเธอรู้สึกว่านิยายเรื่องนี้มีพล็อตที่ดี ดำเนินเรื่องได้ลื่นไหล ผูกปมไม่ได้หนักเกินไป แต่ติดตรงตอนจบ…มันไร้เหตุผลเกินไป! พระเอกกับนางเอกนั่นไม่ต่างอะไรจากตัวร้ายที่จับได้บทดีแท้ๆ ส่วนพ่อตัวร้ายของเธอนี่สิน่าสงสารเกินไป! ครอบครัวถูกฆ่าจนไม่เหลือใคร! ทั้งโดดเดี่ยว! ถูกคนรักหักหลัง! แถมสุดท้ายยังต้องตายในตอนจบอีก! “ไม่ได้! รีวิวพวกนั้นอวยเกินไป!” เมื่ออ่านมาถึงตอนจบ จื่อหนิงขมวดคิ้วแน่นรู้สึกผิดหวัง ปวดหัวตุบๆ ความโมโหคับอก เธออยากจะเข้าไปคอมเมนต์เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวร้ายที่น่าสงสาร แต่ในขณะที่กำลังลุกขึ้นจู่ๆ ร่างกายก็โอนเอนไปมาราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุนเคว้งอย่างฉับพลัน “อึก!..!” จื่อหนิงยกมือกุมหน้าอก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ลมหายใจติดขัดราวกับมีบางอย่างกดทับก่อนที่สติจะดับวูบ… ตุบ!หานมู่เฉินพลันมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินพ้นขอบประตูเข้ามา ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วแน่นท่าทางครุ่นคิด สายตาทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหตุใดเขาถึงมองเห็นเป็นบุรุษผู้นั้นกันหรือคงตาฝาดไปเองทว่าในจังหวะนั้น…หานมู่เฉินกลับลุกพรวดขึ้นทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินด้วยความเร่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงอวี่เซี่ยนด้วยท่าทีร้อนรน“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงความรู้สึกปะปนระหว่างตื่นเต้นกับโล่งอกเอาไว้หานมู่เฉินไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่างคล้ายกับสำรวจอีกฝ่ายให้แน่ใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพิ่มเติมจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแม้ว่าเหตุการณ์ที่เฝิงอวี่เซี่ยนถูกเฉิงอี้หยางใช้คมดาบแทงลึกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในคืนวันแต่งงาน แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้และหลังจากนั้นจู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหานมู่เฉินก็ทำใจไว้แล้วว่า รออีกวันสองวันคงต้องขุดหลุมฝังโลงเปล่าไว้รอรับร่างของเฝิงอวี่เซี่ยน ว่ากันตรงแล้วมีผู้ใดบ้างไม่ต้องการหมายจะเอาชีวิตคนผู้นี้ยิ่งเขามีสภาพอ่อนแอไร้หนทางสู้ก็เสมือนกับว่าโอกาสรอดยิ่งริบหรี่แม้แต่บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั
ณ จวนสกุลเฉิงภายหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับยิ่งห่างเหินกว่าตอนจะก่อนแต่งงานเสียอีกเจียงชุนหลินที่เอาแต่ปักผ้าตลอดทั้งวันไม่สนใจสิ่งใด ในขณะที่เฉิงอี้หยางที่เอาแต่นอนออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง คล้ายกับกำลังจงใจหลบหน้านาง กว่าจะกลับจวนอีกครั้งก็พลบค่ำ นางก็เข้าเรือนนอนไปแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้ในเรือนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจะขยับตัวทำสิ่งใดก็รู้สึกหวาดระแวงไปเสียหมด“ข้าขอโทษ…เป็นเพราะวันนั้นข้าใช้อารมณ์มากเกินไปจึงพูดจาเช่นนั้นออกมา” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเขาไม่ชอบที่ต้องเห็นนางเป็นเช่นนี้วันนี้เฉิงอี้หยางจงใจรั้งอยู่ที่จวน เขาตื่นสายกว่าทุกวันเล็กน้อยเพื่อจะพูดคุยกับภรรยาทว่าเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาเอาแต่ล้างหน้า บ้วนปาก และเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา จนกระทั่งมื้อเช้าเสร็จสิ้น เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนสายตาคมกริบเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆพอได้ยินถ้อยคำนี้ เจียงชุนหลินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางวางช้อนลงบ
หลายวันผ่านไป…ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดหรือแม้แต่ทำสิ่งใดก็มักจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา คราแรกเขานั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเฉยชาหากสตรีผู้นี้คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะ เขาหาได้ใส่ใจไม่เฝิงอวี่เซี่ยนนอนเอนกาย หลับตาลงผ่อนคลาย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมา...นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?เกรงว่าคงเกือบสิบปีได้แล้วกระมัง นับตั้งแต่จวนสกุลเฝิงประสบเคราะห์อันน่าหวาดกลัวนับตั้งแต่นั้นมาเฝิงอวี่เซี่ยนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไร้พ่อแม่ให้พึ่งพิง ไร้ญาติสนิทมิตรสหายที่จริงใจ ผู้คนรอบกายล้วนถือมีดซ่อนไว้เบื้องหลังหากเขาพลาดเมื่อไหร่ก็พร้อมจะลงมือ สายตานับสิบคู่จับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าวและแม้ว่าจะได้กินอิ่มแต่ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจนกระทั่งสองสามปีมานี้…ราวกับสวรรค์ลิขิตให้เขาได้พบเจียงชุนหลิน นางคือคนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขาโดยมิได้คาดหวังสิ่งมดทั้งสิ้น ทว่าหากสวรรค์ลิขิตให้พานพบแล้ว…ไฉนจึงมิได้ลิขิตเส้นด้ายแดงเส้นวาสนาให้แก่กันด้วยเล่าเหอะ! ท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษผู้นี้คง
บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว“เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดนางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า!เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า”หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี“ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจเฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก”พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่าน
ยามนี้ใกล้พลบค่ำแล้วแต่บุรุษผู้นั้นยังคงนอนแน่นิ่งไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา นางที่เอาแต่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดทั้งจึงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อยสุดท้ายแล้ว หลี่จื่อหนิงจึงตัดสินใจออกมาเรือนไปสำรวจบริเวณรอบๆ จวนแทนพอเหล่าสาวใช้เห็นหลี่จื่อหนิงออกมาจากเรือนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบนินทาทันที นับตั้งแต่ที่นายท่านและฮูหยินจากไปนั้น คุณหนูก็ถูกคุณชายตามใจจนเสียคน ไม่เคยถูกว่ากล่าวหรือลงโทษแม้เพียงสักครั้งทั้งที่มักจะวุ่นวายไว้ให้คุณชายต้องตามเก็บกวาดทว่าเมื่อวานนี้กลับต่างออกไป…ผู้ใดต่างก็รู้ว่า พักหลังมานี้คุณหนูมักเอาแต่วิ่งไล่ตามติดคุณชายเฉิงอี้หยางไม่ต่างจากเงา แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะพาบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้าจวนทั้งที่ยังเป็นดรุณีน้อยที่มิได้ออกเรือน!เกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูชาวบ้าน เกรงว่าคงถูกครหาว่าเป็นสตรีใจง่ายทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้าบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วคงต้องตายตาไม่หลับแน่!และแม้ว่าคุณชายจะดูไม่พอใจอยู่เจ็ดส่วนแต่ก็แน่แท้ว่าคงไม่อาจกล้าลงโทษน้องสาวให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ“หากคิดจะนินทาข้าดังปานนั้นก็พูดออกมาต่อหน้าเลย”เสียงหวานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ หลี่จื่อหนิงยกจอกชาขึ้นจิ
“ข้าช่วยเหลือท่านเพียงนี้แล้ว สมควรจะตื่นฟื้นขึ้นมาตอบแทนบุญคุณข้าบ้าง” น้ำเสียงหวานพูดพึมพำแผ่วเบาราวกับว่ากำลังกระซิบกระซาบกับเฝิงอวี่เซี่ยนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ตรงหน้าแม้ว่าค่ำคืนที่ผ่านมานั้น เฝิงอวี่เซี่ยนรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้แต่ร่างกายของเขายังคงแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนกายใดๆ ไร้วี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมานางเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่หลี่จื่อหนิงเอาแต่นั่งเฝ้าเขามาตลอดทั้งคืน เกรงว่าหากเฝิงอวี่เซี่ยนฟื้นขึ้นมาแล้วไร้ผู้ใดอยู่เคียงข้าง อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอีกครั้งดังนั้นใบหน้าคนงามจึงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ขอบตาหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด“หากท่านคิดจะตายจริงๆ ล่ะก็…ข้าจะไปลากตัวกลับมาจากปรโลกให้ดูเฝิงอวี่เซี่ยน!” หลี่จื่อหนิงพูดด้วยความจริงจังข้าช่วยชีวิตท่านไว้…ต่อจากนี้ชีวิตของท่านไม่ใช่ของท่านแต่เป็นของข้า หากข้าไม่อนุญาต…ท่านไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตาย!แอ๊ด…ในจังหวะเดียวกันนั้น ประตูถูกผลักออกเผยให้เห็นบุรุษผู้นั้นในอาภรณ์ขุนนางก้าวเข้ามา หลี่จื่อหนิงกระพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วมุ่นสายตามองเขาอย่างงุนงงเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่อีก…!?หากจำไม่ผิด
Komen