แสงที่ไม่มีต้นกำเนิด อาจไม่ใช่แสง…แต่คือเปลวไฟที่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะลามไปถึงไหน
รุ่งเช้าในหมู่บ้านยากูระ
ไม่มีคำสั่ง
ที่ลานกลางหมู่บ้าน
ฮากุโร่ มาถึงยากูระในตอนบ่าย
“อย่าเดินกลางถนนมากนักนะ ลุง...”
“เดี๋ยวพวก ‘เงาไม่ศรัทธา’ จะเห็นเข้า”
ภายใต้ร่มไม้
เขากระซิบคำหนึ่งว่า
“แสง...มันไม่ได้ร้อน แต่คนที่อ้างแสงน่ะ น่ากลัวกว่าเปลวเพลิง”
ตัดภาพไปยังเวทีพิธี
แต่มี “หญิงสวมหน้ากากขาว” ยืนอยู่กลางเวที
“ในอดีต...เงาคือเครื่องมือของผู้อ่อนแอ”
“วันนี้ เรามีแสง—ที่ไม่ต้องอธิบาย”
“หากเจ้าเชื่อ...เจ้าจะได้รับการปกป้อง”
“หากไม่...ขอให้เจ้าอยู่ในเงา และหลีกให้แสงผ่าน”
ฮากุโร่ ยืนดูจากไกล
หรือเธอกลับมาอีกครั้ง…ในชื่อใหม่…ในเงาใหม่
ค่ำวันนั้น
เขากระซิบกับเด็กชายข้างเวทีว่า:
“แสงที่ไม่มีต้นตอ...มักซ่อนไฟไว้ข้างใน”
“เจ้ารู้ไหม เด็กน้อย…ไฟมันเผาได้แม้แต่คนที่ยืนอยู่ใกล้เกินไป”
บทจบของตอนนี้
“เงา...อาจกลับมาในคราบแสง”
“และครั้งนี้ มันไม่ต้องขออนุญาตใครอีกต่อไป”
ไคเซ็น — พระหญิงที่แปรพักตร์ และ “พิธีฟัง” แห่งแคว้นตะวันตกบนยอดเขาอุเมะโนะอามะซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการสวดขอฝนบัดนี้เปลี่ยนไปโดยไม่มีประกาศจากศาสนจักรไม่มีขบวนไม่มีคัมภีร์มีเพียงเสียงเดียว —เสียงของหญิงที่เคยเป็น “พระ” แต่เลือกจะ “ฟัง”ไคเซ็น คือพระหญิงลำดับสามแห่งวัดอินโบเป็นที่รู้จักในนาม "เสียงแห่งเมฆขาว"เธอเป็นผู้เทศน์บทสวดเงียบผู้สามารถสวดได้โดยไม่มีคำพูดเพียงการเคลื่อนไหวของมือและจังหวะลมหายใจแต่หลัง “พิธีล้างเงา” เริ่มแผ่ขยายเธอเงียบ… และเมื่อเธอพูดอีกครั้งคำแรกของเธอคือ “ขอให้ข้าได้ฟังเจ้า”ณ ลานศาลาร้างแห่งหนึ่งในหมู่บ้านโคคุเระเธอประกาศสิ่งที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ศาสนจักร“ข้าไม่ได้ละทิ้งศรัทธาข้าเพียงเลิกฟังตำราที่ปิดหูคนเป็นและเปิดหูให้เสียงคนตายที่ถูกลืม”เธอเรียกสิ่งนั้นว่า “พิธีฟัง”พิธีฟังไม่ใช่การสวดไม่ใช่การเทศน์และไม่มีคัมภีร์มันคือการนั่งเงียบ ๆ เป็นวงกลมโดยมีผู้หนึ่งลุกขึ้นพูด “ชื่อ” ของผู้ที่เคยถูกเผาลืมอีกคนจะเล่า “ความทรงจำ”และทุกคนจะเงียบไม่ขัด ไม่ถาม ไม่ตีความเพียง “ฟัง”สามวันแรกมีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งและชายชราขาพิการที่เข้าร่วมวัน
การตอบสนองของศาสนจักรส่วนกลาง – พิธีล้างเงาภายใน โคโตคุอิน — หอพิธีศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนจักรกลางเสียงฆ้องทองสามชั้นดังก้องสะท้อนกำแพงหินพระอาวุโส 9 รูป รวมตัวในพิธีที่ไม่ได้จัดมานานกว่า 37 ปีบนแท่นสูงกลางหอ — สมุดที่ไม่มีชื่อผู้เขียนถูกวางไว้จดหมายของเด็กจากหมู่บ้านชายแดนบทสวดที่ผิดจากตำราและเศษกระดาษเปื้อนหมึกดินถูกเรียงรายพระเร็นชิน ผู้นำสายเคร่งที่สุด กล่าวนำอย่างหนักแน่น“สิ่งใดที่เติบโตจากรากผิด ย่อมกลายเป็นวัชพืชและแม้เงาจะไร้รูปร่าง — มันก็มีพิษเมื่อเกาะอยู่บนหัวใจผู้คน”เขาเสนอให้ประกาศ "พิธีล้างเงา"เป็นพิธีกรรมใหญ่ประจำฤดูใบไม้ร่วงทำในวัดทุกแห่งที่ได้รับ “ข่าวลือศรัทธานอกบท”พิธีล้างเงา คืออะไร?พระอาวุโสจะเดินทางไปยังวัดที่ต้องสงสัยจะเผา "สมุดที่ไม่มีตรา"จะให้ผู้คนกล่าว "บทสาบานสัจจะ" ต่อหน้าพระใหญ่และทุกชื่อที่ถูกจารโดยไม่ได้รับอนุญาต… จะถูกลบด้วยหมึกดำแห่งการปฏิเสธแม้ภายนอกจะดูเป็นพิธีปลอบขวัญแต่เนื้อแท้คือการลบความทรงจำอย่างเป็นทางการกลุ่มพระสายสายลมเงาถูกขึ้นบัญชีลับวัดชายแดนหลายแห่งถูกสั่งย้ายผู้อาวุโสบางคนหายตัวในคืนก่อนพิธีเสียงสะท้อนเริ่มดังจา
การประชุมศรัทธา – เมื่อ 12 ตระกูลเริ่มเรียกศาสนจักรมาชี้แจงศาลาเซย์โรกุ บนยอดเนินฮานะงิคือที่ประชุมใหญ่แห่งตระกูลผู้นำทั่ว 9 แคว้นไม่มีพิธี ไม่มีการบรรเลงขลุ่ยรับแขกมีเพียงเสียงกระดิ่งทองคำเรียกผู้แทนทั้ง 12 ตระกูล ให้ปรากฏตัวในวันเดียวกันเก้าอี้ตรงกลางว่างเปล่า — นั่นคือที่ของศาสนจักรผู้แทนจากวัดหลวงใหญ่ 5 สายถูกเชิญ ไม่ใช่ในฐานะผู้สั่งแต่ในฐานะผู้ตอบไดเมียวอินาริแห่งตระกูลฮานะโมโตะเป็นผู้นั่งหัวโต๊ะแม้ปกติไม่ยุ่งกับพิธีกรรมแต่เมื่อเสียง “เด็กผู้ไม่รู้จักบทสวด” ดังไปถึงประตูปราสาทเขากล่าวเพียงว่า:“เมื่อประชาชนไม่เข้าใจศาสนา — นั่นคือปัญหาของผู้นำแต่เมื่อศาสนาไม่ฟังประชาชน — นั่นคือภัยของแผ่นดิน”ตัวแทนศาสนจักรใหญ่ พระโชอุนก้าวเข้าสู่ศาลาพร้อมคัมภีร์หนาแน่นเขาเริ่มกล่าวด้วยภาษาทางการ:“บทสวดคือรากของความสงบการเบี่ยงจากบท หมายถึงความวุ่นวาย”แต่ยังไม่ทันจบ —ท่านหญิงริวโนะ แห่งตระกูลโคมะอินุวางสมุดเปื้อนหมึกลงบนโต๊ะกลาง“แล้วชื่อของลูกข้าที่ไม่มีบทสวดท่านเรียกว่าความวุ่นวายหรือ?”เสียงฮือทั่วศาลาขุนศึกคิริโนะแห่งตระกูลคุเสะผู้ไม่เคยเข้าร่วมพิธีใดกล่าวเรียบ ๆ โดยไม
หอคอยที่เริ่มฟังลม – เมื่อศาสนจักรเริ่มเงี่ยหูฟังจากขอบแผ่นดินศูนย์กลางศาสนจักรอยู่ที่ โซเรียวเท็นหอคอยสีขาวสูง 7 ชั้น เปรียบดั่ง “หูของเทพเจ้า”สร้างขึ้นเพื่อมองลงมาเหนือแผ่นดินทั้งหมดไม่มีเสียงใดเล็ดลอดเข้าถึงได้ เว้นแต่ผ่านกระบวนการรับรองแต่ในปีนี้...ลมเหนือจากชายแดน ยามากาตะพัดพาเสียงที่ไม่มีตราประทับเข้ามาไม่ใช่รายงานทางการไม่ใช่จดหมายทางศาสนาแต่เป็น สมุดเปื้อนหมึกเด็กที่บันทึก “ชื่อของคนที่ไม่มีบทสวด”พระอาวุโส ชูเคน ผู้ขึ้นนั่งกรรมการศรัทธาอาวุโสอ่านหน้ากระดาษอย่างช้า ๆไม่มีบทสวด ไม่มีตราแต่มีบรรทัดหนึ่งที่ทำให้เขาเงียบงัน“แม่ข้าไม่มีชื่อในวัดแต่ข้ายังพูดชื่อแม่อยู่ทุกคืนถ้านี่คือบาป… บาปนี้ข้ายินดีแบกตลอดชีวิต”ที่ประชุมกรรมการเริ่มมีการพูดถึง “ศรัทธาเงา”บางคนกล่าวว่า“นี่คือภัยร้ายของศาสนาใหม่ที่ไร้แบบแผน”แต่บางคนเงียบ—เงียบเพราะเคยได้ยินเสียงเดียวกันจากหน้าประตูวัดของตนเสียงของหญิงชราเสียงของเด็กที่ไม่ยอมลืมชื่อพ่อเสียงที่ไม่เคยเข้าพิธี แต่ไม่เคยหายไปชูเคนเสนออย่างระมัดระวัง“บางที... หอคอยอาจต้องเปิดหน้าต่างบางบานเพื่อฟังว่า ข้างล่างกำลังพูดอะไรกันแน่
กำแพงวัดที่เริ่มสะท้อนเสียงกลับ – เมื่อบทสวดกลายเป็นการตั้งคำถามภายในวัดเอย์จินหนึ่งในวัดที่ขึ้นชื่อว่า “มั่นคงต่อศาสนจักร”พระหนุ่มชื่อ มิโดริน เริ่มสวดผิดเพียงหนึ่งคำในพิธีศักดิ์สิทธิ์เดือนที่แล้ว เขาอ่านว่า“ขอจงปลดปล่อยผู้จากไป ด้วยการเรียกชื่อแท้ของเขา…”แทนที่จะกล่าวว่า“ขอจงลบชื่อของผู้พลาด เพื่อไม่ให้ศรัทธาสั่นคลอน”ผิดเพียงคำเดียวแต่มันดังก้องในหูของเด็กสามคนที่กำลังฟังอยู่และเงียบเกินไปสำหรับหูของพระอาวุโสที่ไม่เคยคิดจะตั้งคำถามหลังพิธีมิโดรินถูกเรียกเข้าห้องสอบสวนแต่เมื่อถูกถามว่า“เจ้าต้องการเปลี่ยนบทสวดหรือ?”เขาตอบเพียงว่า“เปล่า ข้าเพียงอยากรู้ว่า…ใครเขียนบทสวดนี้?”คำถามนั้น ไม่ใช่การต่อต้านแต่สำหรับศาสนจักร… มันคือระเบิดเสียงกระซิบเริ่มก้องในวัดอีกหลายแห่งเด็กที่เคยท่องตามพระเริ่มถามว่า“ทำไมแม่ของข้าจึงไม่มีชื่อในคำสวด?”“ทำไมพี่ชายที่ตายสงครามจึงถูกเรียกว่า ‘ไร้ศรัทธา’?”พระบางรูปตอบไม่ได้พระบางรูปเริ่มหลบสายตาพระบางรูป… กลับเอาบทสวดฉบับเก่าออกมาอ่านลับ ๆ ใต้แสงเทียนวัดทาโฮะพระหญิงนามว่า เรย์ชินขึ้นเทศน์หน้าคนเกือบร้อยแต่แทนที่จะกล่าวตามตำรานางเอ
ศาสนจักรที่เริ่มแตกร้าว – เมื่อพระต้องเลือกระหว่างตำรา กับชื่อที่เคยรู้จักณ วัดฮงเซนซังศูนย์กลางอำนาจทางจิตวิญญาณของศาสนจักรแห่งรัฐมีพระกว่า 300 รูปประจำการบทสวดถูกบรรจงเขียนใหม่ทุกปีตามนโยบาย "การควบคุมคำ"แม้เพียงคำหนึ่งผิด… ก็นับว่าเป็นความผิดทางศาสนาแต่ในปีที่เสียงเงาเริ่มสะท้อนกลับมีบางบท… ที่พระไม่กล้าอ่านเพราะมีบางชื่อ… ที่แม้แต่พระก็ไม่กล้าลืมพระชราองค์หนึ่ง ชื่อ "อุนเกียว"เคยเป็นครูใหญ่ในวัดแห่งนี้กว่า 40 ปีท่องบทสวดจนจำได้แม้ในความฝันแต่เมื่อมีคำสั่งลบชื่อ “อาคาเนะ” ออกจากบันทึกพิธีมือของเขากลับสั่นเกินกว่าจะหยิบพู่กัน“ข้าเป็นคนให้ชื่อเด็กคนนั้น”“วันนี้ข้าจะเป็นคนลบมันออกงั้นหรือ?”ในค่ำคืนนั้นเขาไม่สวดบทที่ถูกสั่งให้สวดแต่สวดชื่อของศิษย์ผู้จากไป ด้วยเสียงเบาที่สุดให้ได้ยินเพียงตนเองทว่าเสียงนั้นกลับดังกว่ากลองยามเช้าในใจเขาพระรุ่นใหม่บางกลุ่ม เริ่มแอบเก็บ “สมุดชื่อ”ซ่อนไว้ใต้ฐานพระบางเล่มเขียนด้วยน้ำหมึกบางเล่มเขียนด้วยเลือดจากนิ้วตนไม่มีใครกล้าพูดในที่แจ้งแต่ในลานวัดยามไร้ผู้คนมีเสียงกระซิบชื่อเหล่านั้นเหมือนบทสวดลับในที่ประชุมระดับสูงของศาสนจักร