ทางด้านงานเลี้ยงให้กับฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ได้เริ่มขึ้นในปลายยามโหย่วภายหลังเสร็จสิ้นพิธีการเมื่อวานนี้ เหล่าขุนนางที่ต่างพาฮูหยินและบุตรหลาน ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับงดงามมาร่วมงานนี่ถือว่าเป็นงานเลี้ยงที่ทุกคนต่างยิ้มแย้มอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครกล้าแต่งกายงดงามเกินหน้าฮองเฮา แม้จะมีคุณหนูในห้องหอหลายคน อยากทำเช่นนั้นเพื่อดึงดูดสายตาฮ่องเต้หนุ่มก็ตามเมื่องานเลี้ยงดำเนินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม สิ่งที่ซ่างกวนเซียวจิ้งเคยคาดเดาไว้กับหยางเฟิ่งเซียน ก็ได้เกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ ยามที่พระสุรเสียงของฮ่องเต้เรียกเขาออกไปกลางท้องพระโรง“เซียวจิ้งเจิ้นต้องขอบใจท่านกับบิดามาก ที่ช่วยสนับสนุนและช่วยกำจัดขุนนางกังฉิน แน่นอนว่าผลงานของท่านทุกคนในที่นี้ย่อมประจักษ์ต่อสายตา ถือว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มากก็ว่าได้”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ของขุนนางเท่านั้น ถ้าหากไม่มีขุนนางกังฉินแคว้นหนานหยางของเรา ย่อมพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ซ่างกวนเซียวจิ้งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้แสดงท่าทีดีใจกับคำชื่นชมของฮ่องเต้ เพราะรู้ว่ามีนัยยะแอบแฝงอยู่ก่อนแล้วเกาฝู
ภายหลังออกจากตำหนักของไทเฮา สองพี่น้องตระกูลหยางก็ตรงไปยังกรมตุลาการ เพื่อพบฟงเหยาเหวินซึ่งทำงานอยู่ที่นี่ เมื่อไปถึงก็บังเอิญเป็นจังหวะที่ฟงเหยาเหวินเดินออกมาพอดี ทั้งสามคนจึงได้เอ่ยทักทายและเข้าไปนั่งคุยในห้องทำงานอย่างเป็นกันเองเป็นหยางซิวหรงที่เอ่ยแสดงความยินดีกับญาติผู้พี่ก่อนน้องสาว “ยินดีกับพี่เหยาเหวินด้วยนะขอรับ ที่ได้รับตำแหน่งรองเจ้ากรมตุลาการ สงสัยจะมีคนแอบอิจฉาท่านไม่น้อย”“เชอะ คนพวกนั้นอิจฉาพี่เหยาเหวินแล้วอย่างไร ตนเองทำงานในราชสำนักมาตั้งนานหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานให้เสด็จปู่ชื่นชม หวังจะเลื่อนขั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ” “หึ ใช่ ๆ ๆ สิ่งที่เซียนเอ๋อร์พูดย่อมถูกต้องที่สุด ว่าแต่พวกเจ้าเถิดภารกิจสำเร็จด้วยดีใช่ไหม มีใครได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่” ฟงเหยาเหวินรู้เรื่องนี้ดีไม่ต่างจากญาติผู้น้องทั้งสอง แต่ที่หยางเฟิ่งเซียนพูดก็ไม่ผิดหยางเฟิ่งเซียนรีบเข้าเรื่องที่ตนกับพี่ชายมาพบญาติผู้พี่ที่นี่ “มีข้ากับพี่ใหญ่ลงมือทุกอย่างไม่มีผิดพลาดเจ้าค่ะ และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ว่าพวกเราอาจต้องไปแคว้นหนานหยางอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนคนบางคนให้รู้จักหลาบจำเจ้าค่ะ”ฟงเหยาเ
เว่ยซื่อจื่อแม้รู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจ ที่ถูกสองพี่น้องลากตนเองกับองครักษ์ เข้ามาในวังหลวงเพื่อพบฮ่องเต้อย่างที่หยางเฟิ่งเซียนพูดเอาไว้ แม้แต่ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวังหลวง ยามที่เห็นสองพี่น้องก็ยอมเปิดทางอย่างง่ายดาย ไม่มีท่าทีการตรวจตราที่เคร่งครัดเช่นคนอื่นเลยสักนิด ตอนนี้เว่ยซื่อจื่อคล้ายจะรู้ถึงชะตากรรมของตนเองเสียแล้วภายหลังเขามาถึงด้านในวังหลวง หยางเฟิ่งเซียนย่อมพาคนไปยังตำหนักซือหนิงกงของไทเฮาทันที ตลอดทางเดินที่พบนางกำนัลหรือขันที พวกเขาหยุดทำความเคารพหยางเฟิ่งเซียนและหยางซิวหรงทุกคน ชิงฉางองครักษ์ส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ สังเกตเห็นพระนัดดาคนโปรดทั้งสอง เดินใกล้ถึงตำหนักซือหนิงกงเข้าไปทุกที เขาจึงเข้าไปถวายรายงานเรื่องนี้แก่ไทเฮาและฮ่องเต้ให้ทรงทราบ“ทูลฝ่าบาทคุณชาย คุณหนูจากตระกูลหยาง กำลังมุ่งหน้ามายังตำหนักของไทเฮา เพียงแต่มิได้มากันเพียงลำพังสองคนพ่ะย่ะค่ะ”“โอ๋ว หลานของเจิ้นกลับจากทำภารกิจแล้วหรือนี่ ถ้าพวกเขามาถึงปล่อยให้เข้ามาได้เข้าใจไหม”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ไทเฮาจากเดิมมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยามที่ต้องแสร้งทำพระพักตร์ให้อ่อนโยน เพื่อสนทนากับเว่ยอ๋องผู้มาเยี่ยมเยียน เมื่อ
ทางด้านสองพี่น้องตระกูลหยางที่ยังมีพลังเหลือล้น ออกจากจวนพร้อมผู้ติดตามประจำตัวเช่นทุกครั้ง เพื่อไปพบญาติผู้พี่ยังสถานที่ทำงานในกรมตุลาการ ขณะที่หยางเฟิ่งเซียนกับหยางซิวหรงกำลังเดินอยู่บนถนน และค่อย ๆ มองดูผู้คนทำการค้าอย่างอารมณ์ดีอยู่นั้น ก็ต้องมีโทสะกับรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งด้วยความเร็ว ไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บที่สำคัญทหารบ่าวที่บังคับรถม้าคันนี้ ไม่คิดจะหลบเลี่ยงยามเข้าใกล้ร่างของหยางเฟิ่งเซียน หากหลี่เจินกับจ้าวหยูไม่ตะโกนบอกเจ้านาย คาดว่านางอาจถูกรถม้าเฉี่ยวร่างจนบาดเจ็บไปแล้ว“หลีกทาง ๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบหลบไปให้หมด!”“คุณหนูระวัง!...”หมับ! พรึบ! “น้องเล็กเจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม หรือเจ็บที่ใดจงรีบบอกพี่ใหญ่มาเร็วเข้า” หยางซิวหรงรีบคว้าร่างของน้องสาวหมุนตัวหลบ ก่อนที่ร่างบางจะถูกรถม้าเฉี่ยวเพียงกระพริบตา“ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะพี่ใหญ่ท่านสบายใจได้ แต่นี่มันเป็นรถม้าของผู้ใดถึงกล้าใช้ความเร็วในเมืองหลวงเช่นนี้”หลี่เจินที่สังเกตป้ายชื่อที่ติดอยู่บนรถม้า ก็เข้ามารายงานให้สองพี่น้องได้รู้ทันที “เรียนคุณหนูรถม้าคันนี้เป็นของจวนเว่ยอ๋อง คาดว่าเว่ยอ๋องเดินทางมาเยี่ยมไทเฮา
ด้วยการเดินทางอันเร่งรีบของสองพี่น้องฝาแฝด ในระยะเวลาหนึ่งเดือนเศษ ๆ ก็ผ่านประตูเมืองหลวง มุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหยางไม่แวะเดินเล่นเช่นทุกครั้ง โดยวันนี้ช่างเป็นการกลับถึงจวนได้อย่างเหมาะเจาะของทั้งสอง เนื่องจากหยางไท่หมิงกับซูอันเลือกหยุดพักผ่อนอยู่ที่จวน และยังไปนั่งเป็นเพื่อนคุยพ่อแม่สามีที่เรือนอู๋ซวนที่รับถ่ายทอดคำพูดของสาวใช้ จึงเดินเข้ามารายงานเรื่องนี้กับเจ้านายทั้งสี่ด้วยตนเอง “เรียนนายท่าน ฮูหยินใหญ่ นายน้อย ฮูหยินน้อย มีสาวใช้มารายงานว่ายามนี้คุณชายกับคุณหนู เดินทางกลับมาถึงจวนแล้วและกำลังไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกหนึ่งเค่อย่อมมาเข้าพบพวกท่านที่นี่ขอรับ”เมื่อได้ยินสิ่งที่อู๋ซวนเข้ามารายงานว่า บุตรหลานอันเป็นที่รักกลับจากภารกิจแล้ว จากเดิมที่มีท่าทีอันผ่อนคลายกลับเปลี่ยนเป็นท่าทางจริงจังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน“ขอบใจมากอู๋ซวน เจ้าช่วยไปบอกแม่ครัวให้เตรียมอาหารเพิ่มด้วยล่ะ และต้องเป็นของโปรดที่หลานของข้าชอบด้วย” หยางหย่งชางกำชับเรื่องอาหารการกินของหลานทั้งสองเป็นพิเศษ“ทราบแล้วขอรับนายท่าน”องค์หญิงใหญ่ผู้เป็นย่ารู้สึกสบายใจขึ้น ที่หลานรักทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งยังใจจดใจจ่อกั
ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนที่พ่อลูกตระกูลซ่างกวน ต่างยุ่งอยู่กับงานภายในราชสำนักที่วุ่นวายมาหลายปี เมื่อตำแหน่งขุนนางถูกจัดสรรคนให้เหมาะกับตำแหน่ง ยังต้องสะสางงานที่ค้างอยู่ก่อนหน้าให้เรียบร้อยกว่าสองพ่อลูกจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ก็ทำเอาคนทั้งสองดูอ่อนระโหยโรยแรงลงไปไม่น้อย ร้อนถึงผู้เป็นฮูหยินของจวนกับบุตรสาว ที่วิ่งวุ่นเพื่อจัดหาอาหารและยาบำรุงร่างกาย เพื่อมิให้สามีและบุตรชายต้องล้มป่วยไปเสียก่อนในที่สุดวันที่คนในครอบครัวจะได้นั่งกินอาหารอย่างพร้อมหน้าก็มาถึง เช้าวันนี้อาหารบนโต๊ะมีทั้งเนื้อและผัก ทั้งสี่คนไม่มีการพูดคุยระหว่างการกินอาหารมื้อนี้จนกระทั่งย้ายมานั่งย่อยอาหารอยู่ในห้องโถงอีกด้าน ฮูหยินเอกจึงได้เปิดอกหารือกับสามีและบุตรทั้งสอง เกี่ยวกับเส้นทางในวันข้างหน้าของตระกูล“ท่านพี่ยามนี้เรื่องในราชสำนักก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น คงเหลือเพียงงานพิธีสถาปนาฮ่องเต้พระองค์ใหม่เท่านั้น ข้ามีบางเรื่องอยากถามความเห็นของท่านกับจิ้งเอ๋อร์เจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่นางเปล่งออกไปคล้ายกำลังมีความกังวลใจ“หือ น้องหญิงอยากถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดหรือ?”“ข้าขอพูดตามตรงว่ารู้สึกไม่สบายใจกับสถานกา