หลังกลับจากราชวังหลิวจือหลินก็ต้องพักผ่อนราวสองสามวัน เจียงซื่อจวินเป็นฝ่ายจัดการส่งคนไปแจ้งทางร้านฟ่านอินว่านางไม่สบายมิอาจทำงานได้ ฟ่านเทียนเผยทราบข่าวจึงอยากมาเยี่ยมเยียนนาง ทว่ากลับถูกเจียงซื่อจวินดักคอไว้เสียได้
ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีร้อนใจแทน [1]
ริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่วเมื่อเห็นข้อความบนกระดาษแผ่นเล็กที่องครักษ์ของอีกฝ่ายยื่นให้ตนเป็นคราที่สอง ดูเอาเถิดเขาเป็นหุ้นส่วนฮูหยินเจียงโหวโดยแท้ กระทั่งอยากเยี่ยมเยียนนางในฐานะสหาย ยังถูกกีดขวางจากสามีของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไหน้ำส้มเจียงซื่อจวินใหญ่โตเท่าใดกันหรือนี่
"ฮูหยิน ลุกขึ้นมาทำอะไรเจ้าคะ" เจียวเจียวถือถ้วยกระเบื้องเคลือบอันเต็มไปด้วยของเหลวสีขุ่นเข้ามาในห้อง นางเร่งวางลงจากนั้นถลาเข้าดูอาการนายหญิงด้วยสีหน้าร้อนใจ
หลิวจือหลินนั่งอยู่บริเวณหน้าโต๊ะไม้สัก มือทั้งสองข้างถูกพันด้วยผ้าสีขาวประหนึ่งมัมมี่หมื่นปีกำลังจับพู่กันตวัดซ้ายตวัดขวาลงบนกระดาษ หลิวจือหลินละสายตาจากการกระทำของตน พลางแหงนหน้าขึ้น
"เจียวเจียว ข้า
หลิวจือหลินมองตามพลางจิ๊ปาก "เอ๊ะ ท่านโหว ข้าต้องทำงานนะเจ้าคะ ไม่มีเวลามาเล่นไร้สาระกับท่านได้หรอกนะ เอามาเจ้าค่ะ"หลิวจือหลินเอื้อมมือคว้าพู่กันจากเขา แต่อีกฝ่ายก็เบี่ยงหลบ "ไม่ได้ หากไม่กินยาข้าจะง้างปากเจ้าให้ดู""ข้าไม่กิน เอามานะเจ้าคะ" หลิวจือหลินไม่ยอมฟังเสียงของเขา ร่างระหงลุกพรึบหมายช่วงชิงพู่กันจากชายหนุ่มให้ได้เจียงซื่อจวินหยัดกายกำยำยืนเต็มความสูง แขนยาวชูของในมือขึ้นจนสุด ร่างเล็กกระโดดโหยงราวกับกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าพยายามอย่างไรก็มิสามารถเอื้อมถึง "ท่านโหว รังแกข้าสนุกนักหรือ เอามานะ!"นัยน์ตาคมลดมองสตรีตัวจ้อยที่พยายามยื้อแย่งเอาเป็นเอาตาย "บอกว่ากินยาก่อน""ข้าไม่กิน" หลิวจือหลินยังพยายามควานมือขึ้นสูงต่อไป ในเมื่อนางกระโดดไม่ถึงเช่นนั้นก็ต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายเสียแล้วดูเหมือนเจียงซื่อจวินรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของนางเข้าแล้ว ริมฝีปากได้รูปจุดรอยยิ้มหนึ่งฝั่ง ร่างระหงตั้งท่ากระโดดเกาะเอวเขาดั่งลูกลิง ไม่ทันสมใจหวังกลับถูกแขนแกร่งคว้าเข้าบริเวณเอวคอดประหนึ่งอสรพิษร้าย นางถูกเขาพันธนาการเอาไว้เสียจนไม่อาจขยับไหว"อ๊ะ! ปล่อยน
ยามนี้หลิวจือหลินแทบหายจากอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้ง เพราะมีใครบางคนเฝ้าจับตามองนางให้ทานยาและพักผ่อนอยู่ไม่ห่าง งานราษฎร์งานหลวงอันยุ่งเหยิงของเขา เจียงโหวยังสู้อุตส่าห์กระเตงหอบมาทำที่เรือนตะวันออกทั้งหมดด้วยเหตุนี้หม่าลี่เจี่ยทราบเรื่องจึงรู้สึกเคืองขุ่นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำสิ่งใดได้ กระนั้นนางทราบมาว่าหลิวจือหลินได้รับหน้าที่ตัดเย็บฉลองพระองค์ให้ฮองเฮาในวันคล้ายวันประสูติที่จะถึงในอีกไม่ช้า"อีกกี่วันนางจะส่งฉลองพระองค์ไปที่วังหลวง"สาวใช้กระซิบตอบ "อีกสองสัปดาห์เจ้าค่ะ"หม่าลี่เจี่ยขบคิด หากหลิวจือหลินทำทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ นางก็ไม่ต่างจากคนใช้ที่ถูกเจียงโหวเก็บมาเลี้ยง กว่านางจะอ้อนวอนปู่เพื่อเกลี้ยกล่อมเจียงซื่อจวินให้รับตนเป็นอนุได้มิใช่เรื่องง่ายดายคาดไม่ถึงต่อให้เจียงซื่อจวินในเมื่อก่อนไม่ชมชอบฮูหยินตนอย่างไร เขาก็ไม่คิดแตะต้องนางเช่นกัน ความมาดมั่นจะถูกโหวหนุ่มยกยอให้เป็นใหญ่ในภายภาคหน้ากำลังพังครืนไม่เป็นท่าเสียแล้ว..ณ ร้านฟ่านอิน"ฮูหยิน ท่านมาได้เสียที อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างหรือ"
"คุณชายฟ่าน""...""คุณชายฟ่านเจ้าคะ""..."เมื่อไร้เสียงตอบรับ มือเรียวจึงโบกสะบัดขึ้นลงผ่านหน้าชายหนุ่มเพื่อเรียกสติ เจียวเจียวและปี้อี๋เบิกตากว้างตื่นตระหนกเมื่อนายหญิงใกล้สิงร่างบุรุษตัวสูงให้แล้วหลิวจือหลินเป็นสตรีที่มีจิตวิญญาณตื่นรู้จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ใจของนางคิดเพียงว่าฟ่านเทียนเผยเป็นสหาย ซ้ำยังเป็นสหายที่ดีอีกด้วย นางจึงมิได้คำนึงถึงเรื่องความเหมาะสมใด"ฮูหยิน...ทำอะไรของท่าน"นัยน์ตาคมลดมองร่างระหงที่ยืนเขย่งปลายเท้าพลางแหงนสบตาเขาปริบ ๆ สีหน้าของชายหนุ่มแดงซ่านราวลูกตำลึงสุก เพราะยามนี้พวกเขาห่างกันเพียงลมหายใจกั้นหลิวจือหลินผละห่าง แขนเรียวเท้าเอวเอียงคอมองตอบ "ท่านได้สติแล้วหรือ ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน เอ...หรือกำลังมองสาวงามกันน้า..."หลิวจือหลินหมุนตัวขวับ เมียงมองไปยังเส้นทางที่ฟ่านเทียนเผยจดจ้องเพื่อเย้าแหย่ กระนั้นกลับพบเพียงความว่างเปล่า มือเรียวยกขึ้นเกาศีรษะเกาแก้มด้วยความงุนงง"อ้าว นี่ท่านมองอะไรกันแน่""ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฮูหยินอย่าได้ใส่ใจเลย""โอเคเจ้
การเดินทางกลับเรือนครั้งนี้ก็ยังเหมือนยามปกติ หลิวจือหลินอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ ดูเหมือนฟ่านเทียนเผยกังวลใจมากเกินไปแล้วหลิวจือหลินจึงเร่งชำระร่างกายอันเหนอะหนะเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ตนพบเจอตลอดทั้งวัน ดูเหมือนวันนี้เจียงซื่อจวินก็กลับดึกไม่ต่างกันเดิมทีหลิวจือหลินมักเห็นเขานั่งปั้นหน้าถมึงทึงรออยู่โต๊ะทำงานที่ประจำเพื่อจ้องจับผิดนางร่ำไป เมื่อสาแก่ใจเขาก็สะบัดกายกลับเรือนหลัก โดยไม่คิดเหลือบแลนางอีกเวลาล่วงเลยจนถึงยามฮ่าย [1] หลิวจือหลินจึงได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนย่างกรายใกล้เข้ามาทุกขณะ เจียงโหวมักปรากฏกายอนึ่งผีสางเช่นนี้เสมอ นางเองก็ชินเสียแล้ว"...ท่านโหว ยามวิกาลเช่นนี้ หากท่านจะมาก็ช่วยส่งเสียงหน่อยมิได้หรือเจ้าคะ ทำราวกับผีสางผู้อื่นจะได้ตกใจแตกตื่นกันหมด"หลิวจือหลินเอ่ยทั้งที่ตนยังวุ่นกับงานอันล้นมือโดยไม่ละสายตา จู่ ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ก็เป่าปะทะบริเวณใบหูเสียจนขนลุกเกรียว"วันนี้เจ้าทำอะไรมางั้นหรือ"หลิวจือหลินผงะ "ก็ทำงานอย่างไรเจ้าคะ พูดปกติไม่ได้หรือ เหตุใดต้
"โอ๊ย! ท่านโหว เป็นไบโพล่ารึ!" หลิวจือหลินหน้างอ เมื่ออีกฝ่ายโยนนางลงเตียงนอนหนานุ่มโดยไร้เหตุผลเจียงซื่อจวินมิได้ปล่อยนางเป็นอิสระนานนัก เขารวบจับแขนทั้งสองไว้เหนือศีรษะพลางกดกายระหงแนบลู่ลงบนที่นอน หลิวจือหลินตื่นตระหนก ม่านตาขยายกว้างเมื่อถูกบุรุษกายกำยำคร่อมอยู่บนเรือนร่างของตนรวดเร็วดุจสายอสนี"ทะ...ทำอะไรของท่าน ปล่อยข้านะ"ต่อให้นางดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ แรงของเขาเฉกเช่นม้าศึกคึกคะนอง"หลิวจือหลิน เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงสนิทสนมกับชายอื่น""ห๊ะ!..."นี่เขากำลังหึงหวงข้าหรือ"เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อยู่ด้วยจะทำอันใดตามใจตนเองก็ได้ อย่าลืมสถานะของเจ้าว่าคือใคร หากจำไม่ได้ข้าจะช่วยทบทวนความจำให้ดีหรือไม่ หืม..."ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงหมายรังแกสตรีเบื้องล่าง จู่ ๆ หลิวจือหลินก็ร้องไห้โฮไม่มีปี่มีขลุ่ย"ฮึก ฮื่อ...คนบ้า ปล่อยข้านะ ข้าเจ็บ" แขนเล็กขยับไปมาเพื่อให้เขาผ่อนแรงลง หลิวจือหลินรู้สึกว่าข้อมือของตนใกล้หักอยู่รอมร่อ ยามนี้นางทราบถึงจุดอ่อนหนึ่งของเขา เจียงโหวแพ้น้ำตาสตรี นางจะแสร้งงอแงจนกว่าเขาน
หลิวจือหลินตื่นขึ้นอีกครั้งก็ไม่พบท่านโหวบ้าดีเดือดแล้ว เขามักทำตัวดั่งเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง [1] แบบนี้อยู่เรื่อย รังแกนางจนสาแก่ใจ ยามเช้าก็หนีหน้า ร่างระหงดีดกายลุกพรึบ พลันรู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งตัวเพราะเมื่อคืนได้เกิดสงครามขนาดย่อม อีกคนหลับสบายส่วนนางต้องนอนนิ่งให้เขากอดก่ายอย่างกับตุ๊กตาไร้ชีวิตกว่าจะข่มตาหลับฟ้าก็ใกล้สว่างหลิวจือหลินบิดซ้ายบิดขวา เสียงสวบสาบที่ดังสะท้อนเป็นเหตุให้สาวใช้หน้าห้องทราบว่านายหญิงของตนนั้นตื่นเป็นที่เรียบร้อยปี้อี๋ "ฮูหยิน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ""อืม...ตื่นแล้ว พวกเจ้าเข้ามาสิ"เจียวเจียวถือภาชนะทองแดงรองน้ำสะอาดตามหลังปี้อี๋ส่วนปี้อี๋รุดเข้าช่วยประคองหลิวจือหลินที่ดูเหมือนนางจะโรยแรงอยู่ไม่น้อย"เป็นอะไรเจ้าคะ เมื่อคืนท่านโหวคงไม่ได้...""อะไร พวกเจ้าคิดอะไร เมื่อคืนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น เว้นเพียงเขารังแกข้าจนร้าวระบมไปทั้งตัว"ร่างระหงบิดซ้ายบิดขวาเสียจนกระดูกลั่นกร็อบแกร็บ เจียวเจียวลอบส่งสายตาพล
ถึงเวลาต้องถวายฉลองพระองค์แด่ฮองเฮา วันนี้หลิวจือหลินสวมใส่อาภรณ์ที่ตนตัดเย็บเองกับมือ แม้สีสันดูเรียบง่ายสบายตา ทว่ายังสามารถขับเน้นรูปร่างและผิวพรรณให้ดูผุดผาด ร่างระหงย่างกรายขึ้นรถม้าด้วยทีท่าสงบนิ่งประดุจสายน้ำ เจ้าของร่างสูงสาวเท้าตามหลังสตรีร่างบอบบางอยู่ไม่ห่าง ไม่นานล้อไม้ก็เคลื่อนบดไปตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ราชวังภาพเมื่อครู่ล้วนอยู่ในสายตาของหม่าลี่เจี่ย เดิมนางต้องการเยาะหยันเมื่อหลิวจือหลินมีสีหน้ากระวนกระวายซีดขาวขลาดเกรง ทว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อครู่กลับเป็นใบงดงามเรียบเฉยเฉกเช่นหลิวหลีชั้นยอด จากความกระหยิ่มยิ้มย่องก็พลิกกลับเป็นเคืองขุ่น"ไหนว่านางไม่มีหยกมณีเพลิงแล้ว เหตุใดนางยังเข้าราชวังด้วยสีหน้าใจเย็นเช่นนั้น"สาวใช้ข้างกายก้มหน้างุด "บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ บางทีฮูหยินอาจกำลังหวาดกลัวอยู่ในใจก็ได้นะเจ้าคะ เพราะตั้งแต่วันนั้น บ่าวก็ไม่เห็นฮูหยินนำฉลองพระองค์มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ดูเหมือนอาจใช้หยกปลอมเพื่อตบตาฮองเฮา หากฝ่าบาททรงทราบ บ่าวว่าอย่างไรฮูหยินก็ต้องถูกโทษทัณฑ์อย่างหนักแน่นอน"ได้ยินคำกล่าวของสาวใช้ จากใบหน้ากราดเกรี้ยวก็พลิกผันเป็น
การถวายฉลองพระองค์แด่ฮองเฮาเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าหลิวจือหลินกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมอีกอย่าง เพราะนางก็เปรียบดั่งสะใภ้ราชวงศ์คนหนึ่ง งานนี้จะขาดฝีมือการจัดแสดงของเจียงโหวฮูหยินได้อย่างไรหญิงสาวนามว่าโฮ่วถิง โฉมสะคราญอันดับต้น ๆ ได้รับเลือกให้สวมอาภรณ์ตัวใหม่ล่าสุดเป็นการตบท้ายการแสดง งานนี้ไม่ง่ายดายแต่ก็ไม่ยากเท่าใด ด้านในพิธียิ่งใหญ่อลังการมากล้นด้วยบรรดาแขกเหรื่อจากราชวงศ์ขุนนาง หลิวจือหลินจึงมิอาจทำพลาดได้เพียงครึ่งก้าว“องค์หญิง หากท่านโหวทราบเข้า จะเป็นเรื่องใหญ่นะเพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวกระซิบถานจาวหรงจิ๊ปาก “ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด ผู้ใดจะเค้นเอาความผิดได้งั้นหรือ อีกอย่างด้านหลังลานพิธีก็เป็นป่ารกร้าง ย่อมต้องมีงูเงี้ยวเป็นเรื่องปกติ”“พะ...เพคะ” นางกำนัลตอบกลับเสียงค่อย จากนั้นโบกมือให้ชายฉกรรจ์ซึ่งสวมเครื่องแต่งกายสีเข้มลอบปล่อยสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่องออกจากกระสอบผ้าสีหม่นหม่าลี่เจี่ยเดินใจลอยพลางขบคิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อย กระทั่งวนมายังด้านหลังงานพิธีโดยไม่รู้ตัว นางบังเอิญพบเห็นกลุ่มคนกำลังกระทำบางอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เข้าพอดี จึงตัด
คืนที่หยกมณีเพลิงหายไป เฉิงซือหานและช่ายจินซินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพบบุรุษร่างกำยำลอบเข้ามาในเรือนตะวันออก จากนั้นรอจังหวะที่เจียวเจียวและปี้อี๋ไม่ทันระวังสับเปลี่ยนหยกเป็นของปลอม เดิมทีเจียงซื่อจวินสัมผัสได้เสียตั้งนานแล้วว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้อง อีกอย่างใช่เขาไม่รู้ว่าในจวนโหวมีหนอนบ่อนไส้มากมายเท่าใดกระนั้นเขากลับแสร้งหูหนวกเป็นใบ้ [1] มาตลอดเมื่ออีกฝ่ายลงมือ องครักษ์ทั้งสองก็จัดการโค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ [2] เสียเลย ชายผู้นั้นถูกนำตัวไปคุมขังยังคุกใต้ดิน เจียงซื่อจวินทรมานเขาอย่างหนัก กระทั่งอีกฝ่ายยินยอมปริปาก เขาจึงล่วงรู้ว่าเป็นแผนการของหม่าลี่เจี่ยทั้งหมดหลายวันผ่านไปเจียงซื่อจวินก็ยังแสร้งมิรู้เห็นโดยตลอดกระทั่งถึงงานพิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮองเฮา หลิวจือหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงซื่อจวินบังเกิดโทสะจึงส่งเฉิงซือหาน และช่ายจินซินตามสืบจนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริง และมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดบ้า
จากดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้ว ม่านตาของนางก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น หรือว่าเขาทั้งสองจะเป็นแฝดคนละมิติเช่นที่นางคิดไว้กันเล่าคืนที่เจียงซื่อจวินเฝ้าไข้หลิวจือหลิน เขาเผลอสัมผัสถูกสร้อยลูกปัดปะการังเพลิงของนางโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ความทรงจำของชายผู้นั้นก็หลั่งไหลเข้ามาในมโนสำนึกของเขาอี้เหลียงคือตัวตนของเขาในโลกคู่ขนาน ยามนี้จิตวิญญาณอีกฝ่ายก็ติดตามหลิวจือหลินมาถึงที่นี่ ทว่าอี้เหลียงมิได้เข้ามาควบคุมจิตใจและจิตวิญญาณของเขาเฉกเช่นหลิวจือหลินหลิวจือหลินเข้ามามิติแห่งนี้พร้อมจิตวิญญาณของโลกอีกด้าน ส่วนหลิวจือหลินคนเดิม เกรงว่าก็ยังคงอยู่ พวกนางคือคนคนเดียวกัน ทว่าหลิวจือหลินผู้นั้นเปรียบดั่งจิตวิญญาณด้านมืดของนาง ยามนี้หลิวจือหลินได้กดข่มและทำลายจิตวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากใจจนหมดสิ้น นางตื่นรู้จากโลกใบก่อนกล่าวโดยง่าย เจียงซื่อจวินและหลิวจือหลินคือคนเดียวกันกับโลกอีกมิติ บางครั้งสวรรค์ก็มีความลับมากมายที่เขาไม่ทันล่วงรู้ แต่ดูเหมือนเงื่อนไขของหนึ่งร่างสองวิญญาณจะต่างกันออกไป เพราะอี้เหลียงไม่สามารถควบคุมเขาได้มีเพียงจิตสำนึกเท่านั้น"ทะ...ท่าน นี่ท่านเป็นเขางั
เจียงซื่อจวินหลับใหลไร้สติร่วมเจ็ดวัน หลิวจือหลินดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ทว่านางกลับไม่พบหม่าลี่เจี่ย เหตุใดอนุของเขาจึงมิได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเลย หนำซ้ำเรือนตะวันตกยังดูเงียบเหงาจนผิดปกติอีกด้วยแค่ก! แค่ก!เสียงกระอักไอของใครบางคนทำให้หลิวจือหลินหลุดจากภวังค์"ท่านโหว!"หลิวจือหลินรุดเข้าประคองอีกฝ่ายด้วยความร้อนรนระคนดีใจ"นะ...น้ำ"เจียวเจียวซึ่งยืนรอเป็นลูกมือในทุกวัน ถลันไปรินชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบด้วยมือสั่นเทา นางเห็นหลิวจือหลินดูแลเจียงซื่อจวินจนหน้าซีดขาว ก็อดเป็นห่วงมิได้ ยามนี้เจียงโหวรู้สึกตัวแล้ว หวังว่านายของตนจะหันมาดูแลตัวเองเสียบ้าง"ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ""ขอบใจนะ" หลิวจือหลินส่งยิ้มให้เจียวเจียว จากนั้นจึงป้อนให้ผู้ป่วยด้านหน้าแค่ก แค่ก"ค่อย ๆ เจ้าค่ะ"เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจวินฟื้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง สาวใช้ทั้งสองรวมถึงองครักษ์ซ้ายขวาจึงพร้อมใจกันออกไปด้านนอก"ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่เจ้าคะ"เจียงซื่อจวินช้อนตามองสตรีเบื้องหน้า นางดูเป็นกังวลอย่างยิ่งยวด ซ้ำใบหน้ายังซีดขาว ขอ
หลิวจือหลินเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ราวกับว่าตนกำลังถูกผู้ปกครองจับมัดแล้วหวดตีเพราะดื้อรั้น เสียงใสกล่าวอ้อมแอ้ม "เอ่อ...ท่านโหว อย่าเพิ่งดุข้าได้หรือไม่ คือ...ข้าเพียงไม่รู้ว่ายามนี้ราชวังกำลัง... อีกอย่างข้ารอท่านแล้ว แต่ท่านไม่มาพบข้าเลยตั้งหลายวัน"เจียงซื่อจวินอึ้งงั้นไปชั่วขณะ นางบอกว่ารอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ นางเฝ้ารอเขาไปพบโดยตลอด แม้จะเพราะต้องการเข้าวังก็ตาม ไฉนจึงรู้สึกดีใจเพียงนี้กัน"ข้าทำงาน ขอโทษเจ้าด้วย ที่ปล่อยให้รอนาน ต่อไปข้าจะไม่หายหน้าแบบนี้อีกแล้ว"หลิวจือหลินกะพริบตาปริบ ๆนี่เขาขอโทษข้างั้นหรือจู่ ๆ ร่างกำยำก็โน้มลงโอบรอบเอวคอดไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าหล่อเหลาก่ายเกยบนลาดไหล่แคบ ลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอเสียจนหลิวจือหลินขนลุกเกรียว"...ท่านโหว เป็นอะไรเจ้าคะ""นิ่ง ๆ ข้าอยากอยู่แบบนี้สักพัก" นัยน์ตาคมหลับลง เขากำลังประมวลความคิดบางอย่าง เมื่อครู่เขาเป็นห่วงนางแทบแย่ เหตุใดนางจึงไม่รู้จักรักตัวกลัวตายเสียบ้าง ไยนางจึงกล้าฝ่าดงกระบี่ ดงเพลิงเพื่อช่วยเหลือเขาหลิวจือหลินหายใจติดขัดด้วยอาการตื่นตร
หลิวจือหลินใจกระตุกอย่างรุนแรง เรือนกายของนางชาวาบเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกโชติช่วงเป็นวงกว้างล้อมรอบเจียงซื่อจวินต่อหน้าต่อตา"ท่านโหว!" ช่ายจินซินพยายามบุกทะลวงเพื่อฝ่าอัคคีร้อนเข้าช่วยนายของตน ทว่ายังมิอาจแทรกกายเข้าไปได้เสียงทุ้มตะเบ็งลั่น "ถานอี้! เจ้ามันช่างเนรคุณจริงแท้"ทุกคนต่างผินหน้าตามต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง รัชทายาทนำกองกำลังทหารนับพันนายเข้ามาสมทบแล้ว หลิวจือหลินเล็งเห็นจังหวะเหมาะ นัยน์ตากลมโตสำรวจหาสิ่งทุ่นแรง ในที่สุดก็พบม้าตัวโตยืนจังก้าโดดเดี่ยวริมสระน้ำ บริเวณเดียวกันมีผ้าคลุมไหล่ผืนหนาหล่นเกลื่อนพื้นเอาน่าจือหลิน... แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง [1] มิใช่หรือร่างระหงวิ่งถลาค้อมกายหยิบผ้าคลุมขึ้นทันควัน จากนั้นตวัดจุ่มลงน้ำจนเปียกชุ่ม หลิวจือหลินใช้มันห่อกายตนเอาไว้ แล้วจึงกระโจนขึ้นบนหลังม้าด้วยความรวดเร็วเจียงซื่อจวินซึ่งจับตามองหลิวจือหลินผ่านกลุ่มควันสีหม่น เขาเห็นรำไรว่านางกำลังวิ่งวุ่นกระทำบางสิ่ง
หลิวจือหลินหมุนเคว้งเป็นลูกข่าง นัยน์ตากลมโตจดจ้องอีกฝ่ายด้วยอาการตะลึงงัน"คุณชายฟ่าน! นะ...นี่ท่านมาได้อย่างไร"ฟ่านเทียนเผยประคองสตรีร่างระหงไว้ในอ้อมแขน ส่วนมืออีกด้านกำลังฟาดฟันกับศัตรูอย่างไม่ย่อหย่อน "ไว้ข้าจะบอกอีกครา" เขาโน้มกระซิบ "กุ้ยเฟยและฮองเฮาเล่า"หลิวจือหลินกระซิบตอบ "หลบในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ"ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลิวจือหลินรู้สึกว่ายามนี้นางกำลังเป็นภาระของเขา เมื่อเพ่งสายตามองไปด้านนอกธรณีทางเข้า นางก็พบกับองครักษ์ทั้งสองของเจียงซื่อจวิน พวกเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดเฉิงซือหานซึ่งได้รับหน้าที่ติดตามดูแลหลิวจือหลิน ต้านศึกอยู่ด้านนอกมาโดยตลอด ทว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ [1] เพราะกองกำลังทหารด้านหน้ามีเพียงหยิบมือ ส่งผลให้เขายื้อเวลาได้ไม่นาน ภายในห้องก็ถูกรุกล้ำเสียแล้ว"คุณชายฟ่าน ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าดูแลตัวเองได้""ได้ แต่ฮูหยินอย่าบุ่มบ่ามเช่นเมื่อครู่อีก ข้าตกใจแทบแย่ เช่นนั้นข้าจะให้ผู้ติดตามของข้าพาท่านไปหลบที่ปลอดภัย"นางไม่อยากเป็น
เสียงโลหะกระทบกันพร้อมเสียงกรีดร้องสะท้อนเข้ามาจากนอกตำหนักฮองเฮาและหลิวจือหลินดีดกายยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงอย่าบอกเชียวที่เขาห้ามข้าไม่ให้เข้าวังเพราะเรื่องนี้"ฮองเฮาเพคะ ในนี้มีห้องลับหรือไม่"หลิวจือหลินเอ่ยถามด้วยความเร่งร้อน พลางประคองสตรีข้างกายเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตื่นตะลึง ฮองเฮาทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาจึงโพล่งขึ้น"มีเจ้าค่ะฮูหยิน"หลิวจือหลินพยักหน้าเข้าใจ นางเคยดูซีรีส์มาบ้าง โดยปกติในตำหนักเชื้อพระวงศ์มักมีห้องลับด้านในแต่ทว่าพื้นที่คงมิได้กว้างขวางนักเพราะในนี้มีคนอยู่ไม่น้อยเลย มิรอให้นางกำนัลต้องนำทางว่าที่ใด หลิวจือหลินก็มุ่งหน้าไปยังองค์พระขนาดย่อมเสียก่อน นางจูงมือฮองเฮาและกุ้ยเฟยให้เดินตาม"ตรงนี้ใช่หรือไม่" หลิวจือหลินเอ่ยถามนางกำนัล"เจ้าค่ะ"ฮองเฮางุนงง "เจ้ารู้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเพิ่งเข้าห้องนี้ครั้งแรกหรือ""หม่อมฉันเดาเพคะ ดูจากรูปแบบการก่อสร้างแล้ว คงต้องใช่แน่นอน"ฮองเฮาพยักหน้า "เช่นนี้เอง เจ้าช่างฉลาดล้ำดีจ
"ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉันมีข้อสงสัยบางอย่าง มิทราบสามารถเอ่ยถามได้หรือไม่"กุ้ยเฟยตอบยิ้ม ๆ "เอาสิ เจ้าสงสัยสิ่งใดหรือ"หลิวจือหลินเริ่มประหม่า "คือว่า...หยกมณีเพลิงนั่น...""อ่า...หยกนี่หรือ" ซินกุ้ยเฟยยกเครื่องประดับอันงดงามซึ่งแขวนอยู่บนลำคอพลิกมองซ้ายขวา จากนั้นแหงนหน้าประสานสายตากับหลิวจือหลิน เอ่ยต่อว่า "ฝ่าบาทประทานให้ข้าและฮองเฮาคนละอันอย่างไรเล่า"หลิวจือหลินใจเต้นไม่เป็นส่ำ ฟ่านเทียนเผยคงมิได้นำหยกมณีเพลิงปลอมให้ฮองเฮาใช่หรือไม่ แต่นางสำรวจดูแล้ว หยกชิ้นนั้นเป็นของแท้แน่นอนคุณชายฟ่านคงมิได้หาของก็อบเกรดเอมาลวงหลอกใช่ไหมเนี่ยดูเหมือนซินกุ้ยเฟยและฮองเฮารู้ทันความคิดหลิวจือหลินเข้าเสียแล้ว สตรีวัยกลางคนจูงมือหลิวจือหลินให้ยอบกายนั่งขนาบข้างตน"เอ่อ...ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม...""เด็กดี นั่งลงเถิด"หลิวจือหลินเหลียวมองซินกุ้ยเฟยซึ่งนั่งถัดลงไปหนึ่งระดับ อีกฝ่ายยิ้มตอบซ้ำยังพยักหน้าบางเบา นางจึงวางใจหย่อนกายลงตามประสงค์ จากนั้นนางกำนัลก็นำฉลองพระองค์ที่หลิวจือหลินตัดเย
ตั้งแต่เจียงซื่อจวินพูดคุยกับหลิวจือหลินวันนั้น เขาก็ไม่โผล่หน้ามายังเรือนตะวันออกเลย ดูเหมือนต้องใช้คำว่าไม่กลับจวนเลยเสียมากกว่า ดูเหมือนงานของเขาหนนี้คงยุ่งจริงจัง หลิวจือหลินนั่งเหม่อมองหยกในมือตาละห้อย"ตาทึ่ม ไม่โผล่หน้ามาเลย ไหนบอกจะพาข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอย่างไรเล่า แล้วช่วงนี้หายไปไหนกัน...เฮ้อ"ปี้อี๋ "ฮูหยิน คิดถึงท่านโหวหรือเจ้าคะ"หลิวจือหลินอึกอัก "ซะ...ซี้ซั้ว ใครคิดถึงเขา ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่างหาก"แม้ปากเอ่ยปฏิเสธทว่าจิตใจของนางกลับระส่ำระสายอย่างยิ่งยวด เขาไม่ว่างกระทั่งโผล่มาหานางสักเสี้ยวเลยงั้นหรือ หลิวจือหลินพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปโหวเผด็จการนั่นไม่อยู่ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมีใครมาบงการหรือบีบบังคับ ซ้ำยังไม่ต้องเจอหน้าที่แสนเกลียดชังนั่นด้วยหลิวจือหลินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด "ปี้อี๋ เจียวเจียว เตรียมรถม้า""ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ" เจียวเจียวเอ่ยถามด้วยความฉงน"ข้าอยากไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าทำอาภรณ์ชุดใหม่ขึ้นมา ต้องการถวายฮองเฮาเพื่อเป็นของกำนัล ยามนั้นชุลมุนเกิน