จงเสี้ยนแม้แต่จะสนทนากับนางก็ยังรู้สึกรำคาญ จึงลุกขึ้นยืนจะไปจ่านเหยียนกลับลุกขึ้นก่อน ขวางจงเสี้ยนเอาไว้ “ยากนักที่พระองค์จะเสด็จมาหนหนึ่ง มิสู้ลองฝีมือการชงชาของลูกสะใภ้สักหน่อยเถอะเพคะ”จงเสี้ยนหรี่ดวงตามองนาง “เจ้ามีความกตัญญูเช่นนี้ ข้าดีใจมาก เพียงแต่... ชาอาจเป็นชาดี ทว่าคนกลับไม่ใช่คนที่ข้าอยากเห็น”จ่านเหยียนยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทรงกลัวลูกสะใภ้เช่นนี้เลยหรือเพคะ?”จงเสี้ยนมองนาง “กลัว? เจ้าใช้คำว่ากลัวเหมาะสมแล้วหรือ? คนที่มีสายตาต่างรู้ว่านั่นมิใช่ความกลัว แต่เป็นความรังเกียจ”“ไม่เป็นไรเพคะ ความรู้สึกมักเป็นของที่มาคู่กัน แม่สามีรังเกียจลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ก็รังเกียจแม่สามี เพียงแต่... ไม่ว่าจะรังเกียจเช่นไรก็ยังต้องพบหน้า เฉกเช่นเดียวกับฝ่าบาทที่ไม่โปรดหม่อมฉันผู้เป็นไทเฮา แต่พระองค์ก็ยังต้องมาถวายพระพรหม่อมฉันอยู่ดีเพคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ? ฮ่องเต้มาถวายพระพรกับเจ้า?!” จงเสี้ยนชะงักไปเล็กน้อยจ่านเหยียนนั่งลงช้า ๆ “ถูกต้องเพคะ สั่งให้คนมารายงานแต่เช้าแล้ว บอกประเดี๋ยวจะมา”จงเสี้ยนใจหาย แต่ไรมาฮ่องเต้ไม่สนิทสนมกับนาง กระทั่งบอกได้ว่าจงเกลียดจงชัง แต่ระยะนี้ประเดี๋
เฉินเมิ่งหลี่แทบไม่อยากเชื่อดวงตาและหูของตัวเองนี่ก็คือหลงไทเฮาที่เขาพบในจวนสกุลหลงวันนั้นหรือ?! นางรู้หรือไม่ว่าผู้ที่นางกำลังประชันหน้าอยู่คือผู้ใด?! รู้วิธีการของไทฮองไทเฮาหรือไม่?!เขาไม่เพียงแต่พรูลมในใจ และรู้สึกโชคดีที่เขาไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเอง มิเช่นนั้นด้วยนิสัยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ของนาง ยังไม่รู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร?จงเสี้ยนเลิกคิ้ว มองจ่านเหยียนแบบคล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้ม “ปากเก่งจะมีประโยชน์อันใด? เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่ข้างตัวข้าก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อข้าชั่วชีวิตมิใช่หรือ? แต่น่าเสียดาย คำพูดของขี้ข้าพวกนี้ได้แต่ฟังเพื่อความบันเทิง คิดเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”“สมัยนี้ยังพูดอะไรว่าจงรักภักดีชั่วชีวิตอีกเพคะ? พระองค์สามารถให้ผลประโยชน์อันใดจึงให้อีกฝ่ายจังรักภักดีต่อพระองค์ชั่วชีวิต?” จ่านเหยียนส่งสายตาที่คล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้มตอบกลับจงเสี้ยนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้อยคำของเจ้า พูดมีเหตุผลอยู่บ้าง”นางเบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วยกเปลือกตามองเฉินเมิ่งหลี่ “ใต้เท้าเฉิน ท่านคิดว่าไทเฮากล่าวมีเหตุผลหรือไม่?”เฉินเมิ่งหลี่ตกตะลึงพรึงเพริด เขาพอเดาออกว่าที่ไทฮองไทเฮามาครั้ง
หากเป็นเช่นนี้ กลับมิสู้ฝากความหวังไว้ที่ตัวเซ่อเจิ้งอ๋อง หลงไทเฮากล่าวถูกกึ่งหนึ่ง นั่นก็คือเขาควรเชื่อคนที่ตัวเองเลือกเขาเงยหน้าขึ้นทันใด ขณะกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินขันทีส่งเสียงดังมาจากข้างนอก “ไทฮองไทเฮาเสด็จ”เฉินเมิ่งหลี่หัวใจครั่นคร้าม รีบถอยไปคุกเข่าอยู่กับพื้น รอรับเสด็จไทฮองไทเฮาไทฮองไทเฮาลงจากเกี้ยว พาคนในตำหนักสิบกว่าคนเดินเข้ามา“กระหม่อมเฉินเมิ่งหลี่ถวายพระพรไทฮองไทเฮา!” เฉินเมิ่งหลี่โขกศีรษะคารวะฝีเท้าจงเสี้ยนหยุดชะงัก ก้มหน้าชำเลืองมองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ใต้เท้าเฉินจากกรมอาญาหรือ?”“ทูลไทฮองไทเฮา กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเมิ่งหลี่รู้สึกเพียงความน่าเกรงขามกดทับลงมา เหงื่อเย็นซึมออกมาจากหน้าผาก“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าเฉินจึงมีเวลาเข้าวังได้?” ไทฮองไทเฮาอื่ม “ลุกขึ้นเถอะ!”“ทูลไทฮองไทเฮา กระหม่อมเข้าวังมาถวายพระพรไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเมิ่งหลี่เพิ่งกล่าวจบก็แทบอยากกัดลิ้นตัวเองเสีย เขาเข้าวังมาถวายพระพรหลงไทเฮา กลับไม่ได้ไปถวายพระพรนาง นี่คือไม่เห็นนางอยู่ในสายตาชัด ๆ มิใช่หรือ?”แต่เคราะห์ดีที่ไทฮองไทเฮามิได้บันดาลโทสะ เพียงยิ้
จ่านเหยียนเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ปราดตามองเขาแวบหนึ่งจึงเอ่ย “นั่ง!”เฉินเมิ่งหลี่ก้าวหน้าออกมาทำความเคารพ “กระหม่อมเฉินเมิ่งหลี่ถวายพระพรหมู่โฮ่วฮอง...”จ่านเหยียนพูดแทรก “นั่งสิ!”เฉินเมิ่งหลี่ผงะเล็กน้อย ฟังน้ำเสียงของนางไม่ดีเท่าไร หรือว่านางจะสอดมือยุ่งเรื่องของสกุลถง?“พ่ะย่ะค่ะ!” เขาขานรับ นั่งลงอย่างสำรวมและคาดคะเนอยู่ในใจ“เฉินเมิ่งหลี่ อายุสี่สิบสาม ผู้มีความสามารถสอบติดสามอันดับต้นสามครั้งติดในการสอบรับราชการสมัยอดีตฮ่องเต้ เป็นขุนนางสิบเก้าปี มีผลงาน มีความผิดเป็นบางครั้ง กลับมิใช่ความผิดร้ายแรง ปัจจุบันหนึ่งภรรยา สามอนุ สามบุตร สองธิดา เสพสุขกับครอบครัวพร้อมหน้า ข้าผู้เป็นไทเฮาอิจฉาใต้เท้าเฉินนักที่มีความสุขในวันนี้” จ่านเหยียนมองเฉินเมิ่งหลี่พลางเอ่ยราบเรียบเฉินเมิ่งหลี่หัวใจเต้นตึกตัก ๆ เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ไทเฮาทรงรู้เรื่องของกระหม่อมมาก”“หากต้องการรู้จักใครสักคนก็ไม่ยาก แต่... หากต้องการมองจิตใจคนคนหนึ่งให้ทะลุปรุโปร่งก็ไม่ง่ายอย่างนี้แล้ว ใต้เท้าเฉินคิดว่าอย่างไร?” จ่านเหยียนมองเขาอย่างสุขุมเฉินเมิ่งหลี่ลังเลครู่หนึ่ง “กระหม่อมไม่ทราบว่าไทเฮาทรงหมายความว่าอย่
จ่านเหยียนตรวจชีพจรให้นาง เอ่ย “เอาไว้รักษาตัวระยะหนึ่งแล้วค่อยรักษารอยแผลบนใบหน้าเจ้า”“ไม่ต้องแล้วเพคะ คุณหนูใหญ่ ให้บ่าวเป็นเช่นนี้เถอะ” จิ้นหรูยิ้มบาง “อย่างน้อย เขาไม่รังเกียจ ก็คือดีที่สุดแล้ว”จิ้นหรูนึกว่าใบหน้าของตัวเองไม่สามารถรักษาได้แล้ว รอยแผลเช่นนี้จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร? ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้จ่านเหยียนพะวงเรื่องนี้ ให้นางวางใจไปทำเรื่องที่นางต้องการทำเถิด วันนั้นสนทนากับอดีตฮ่องเต้แล้ว นางเชื่อว่าจ่านเหยียนก็มิใช่มัจฉาในสระ นางต้องมีเรื่องยิ่งใหญ่ต้องทำจ่านเหยียนจะไม่รู้ความคิดของนางหรือ จึงเอ่ย “เจ้าวางใจ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารักษาแผลเจ้ามาก”จิ้นหรูบาดเจ็บสาหัสนัก การฝืนใช้พลังรักษาจะทำให้ร่างกายของนางรับไม่ไหว ให้นางรักษาตัวก่อน อีกสี่สิบห้าวันให้หลัง พลังของนางกลับคืนมาแล้ว ค่อยรักษาแผลให้นางจิ้นหรูได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้จึงไม่พูดอีก เพียงมองนางอย่างอ่อนโยนจ่านเหยียนถูกนางจ้องจนขนลุก “มีอะไร?”จิ้นหรูแย้มยิ้ม “แค่รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่สิริโฉมงดงามกว่าแต่ก่อนแล้วเพคะ”“ใช่หรือ?” จ่านเหยียนเอามือลูบหน้าตามจิตใต้สำนึก ช่วงนี้พักผ่อนไม่พอ จะสวยได้อย่างไร?
กับการมาของฉีชินอ๋อง มู่หรงฉิงเทียนกล่าวเพียง “ไม่เอาไหน”ฉีชินอ๋องยอมรับ กับจิ้งฉือ มีบุรุษเพียงไม่กี่คนที่สามารถอยู่รอบตัวนางได้แบบ ‘เก่งกาจ’ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องสัพเพเหระ กล่าวถึงหลังจากจ่านเหยียนกลับวัง นางตรวจสอบตุ๊กตาที่ทุกคนทำแล้วนับอย่างละเอียด มีจำนวนเกือบสองร้อยตัว“ยังจะทำหรือไม่เพคะ?” กัวอวี้ถามนางจ่านเหยียนพยักหน้า “ทำต่อ!”สองร้อย ยังห่างจากที่นางต้องการอีกไกลโข“หากต้องการเป็นปริมาณมาก มิสู้ให้หญิงชาวบ้านทำ ทำแล้วพวกเราไปรับแล้วมอบเงินให้พ่ะย่ะค่ะ” อาเถี่ยพูดอยู่ด้านข้างแม้ทุกคนไม่รู้ว่าจ่านเหยียนต้องการตุ๊กตาเหล่านี้ไปทำอะไร แต่นางให้ความสำคัญเช่นนี้ คงไม่ใช่เอามาเล่น“ก็ดี กัวอวี้ ตอนนี้จิ้นหรูสุขภาพไม่ดี เจ้าก็เป็นผู้ดูแลตำหนักนี้เถอะ ประเดี๋ยวเจ้าไปรายงานกับทางจิ้นหรู แล้วเอาเงินไปสั่งทำตุ๊กตาพวกนี้ แต่ต้องทำตามที่ข้าต้องการนะ ตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าไม่ตรงตามมาตรฐานก็ไม่เอา” จ่านเหยียนกำชับ“เพคะ!” กัวอวี้ขานรับจ่านเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ แจงงานให้คนไปทำแล้วก็คิดจะดื่มน้ำชาพักผ่อนหน่อยอาถงเข้ามารายงาน “คุณหนูใหญ่ คนของราชครูถงพาตัวถงจื่อหยาไปจากคุกทักษิ