เนิ่นนานทีเดียว กว่าโม๋เอ๋อร์จะระงับความโกรธลง แล้วดึงชิ้นส่วนอีกฝ่ายให้ประสานอีกครา เนิ่นนานเช่นกันกว่าเยาเยาจะระงับความเจ็บได้ สุนัขตัวน้อยจึงพยายามหยัดกายลุกขึ้นมา แล้วค่อยๆ แหงนหน้ามองโม๋เอ๋อร์นิ่งๆ ดวงตาเรียวยาวของจิ้งจอกขาวคล้ายมีน้ำตาไหลรินออกมาสายหนึ่ง“เรียนท่านโม๋... อันที่จริงข้าก็มิได้อยากทำ”โม๋เอ๋อร์ยืนเงียบฟังนางนิ่ง ทั่วเรือนร่างแผ่กำจายพลังอันชั่วร้ายเหนือปีศาจทุกตัวเยาเยาค่อยๆ สืบเท้าเข้าใกล้อีกนิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วค่อยๆ เล่าความอย่างระมัดระวัง“เพียงแต่เผ่าพันธุ์ของข้าหลายตัวถูกมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรพรตจนตบะแกร่งกล้าที่เรียกตนเองว่า เซียนขู่สิง กักขังเอาไว้ในหุบเขาเจียนจิน ตัวข้าไหนเลยจักมีทางเลือกได้ เพื่อพี่น้องแล้ว ข้าจำเป็นต้องฆ่าเขา”“ฆ่าเขาหรือ?” โม๋เอ๋อร์หรี่ตา คำว่าเขาในที่นี้ คือสามีนาง“ใช่! ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องฆ่าเขา แต่คำสั่งถูกส่งมาเช่นนี้ รู้เพียงฆ่าผู้นี้ ให้ความผิดตกแก่ผู้นั้น ส่งอีกคนขึ้นที่สูง นี่คือที่ข้ารู้”“เรื่องราวซับซ้อนของมนุษย์ ปีศาจไหนเลยจักเข้าใจได้ แต่เจ้าย่อมรู้ดี หากปีศาจเช่นเราทำเยี่ยงนั้น จักเกิดสิ่งใด”“ข้ารู้ แต่หากช่วยเหลือ
โม๋เอ๋อร์พาหมิงเฉิงมาไว้ที่ชายป่า หาได้พาเข้าไปในกระโจมของเขาไม่เพื่อความแนบเนียน ...เมื่อหมิงเฉิงตื่นลืมตาจะได้ไม่มีอันใดน่าสงสัยจนเกินไป หญิงสาวจึงวางร่างหนาแน่นให้นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คงสภาพบาดเจ็บภายนอกของเขาเอาไว้ โดยให้มีบาดแผลคล้ายถูกทำร้ายจากสัตว์ป่า แค่ทายาไม่กี่วันก็หายดีพรุ่งนี้หากเขาบอกว่าเจอปีศาจสาวล่อลวงไปทำร้ายในป่าลึก จะได้ไม่มีใครเชื่อเขา ปล่อยให้เขาหงุดหงิดอยู่คนเดียว ย่อมดีกว่ามีคนเผลอเชื่อเรื่องปีศาจ แล้วออกตามหาปีศาจแทนที่จะล่าสัตว์ตามประเพณี โม๋เอ๋อร์ยืนมองบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดที่นอนนิ่งไม่ขยับอีกชั่วครู่ จากนั้นก็อำพรางตัวหายไปคล้ายหมอกควัน โดยมีปีศาจจิ้งจอกตามติดไม่ห่าง คล้อยหลังปีศาจทั้งสอง หมิงเฉิงที่แกล้งสิ้นสติได้อย่างแนบเนียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาบุรุษร่างสง่าในอาภรณ์สีครามขาดวิ่นมีเลือดเปรอะเปื้อน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากเหล่าสัตว์ร้าย ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ชันเข่าหนึ่งข้าง แผ่นหลังกว้างตั้งตรงอิงต้นไม้ใหญ่ มีท่าทางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พลังงานในร่างกายล้วนสูญสิ้นไป ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวลอบขบกรามแน่น เมื่อนึกไปถึงเรื่องราวที่ได้ยินเมื่อครู่
สายลมพลิ้วหอบปุยหิมะปลิว รัตติกาลนี้ช่างยาวนาน ลมหนาวยังคงหอบความเย็นพัดผ่านมาเรื่อยๆ ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกระลอก ด้วยเสียงของทหารยามที่ตะโกนก้องว่า “องค์รัชทายาทบาดเจ็บ...”จากนั้นก็มีแม่ทัพและทหารกลุ่มใหญ่วิ่งไปยังทิศทางแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชายป่าเพียงครู่ต่อมา ก็พาร่างบาดเจ็บของหมิงเฉิงกลับเข้ากระโจมรัชทายาท เพื่อให้หมอหลวงเร่งรุดมาทำการช่วยเหลือรักษาโดยเร็วเสียงวิ่งวุ่นหายา ต้มยา ลำเลียงถ้วยยาและน้ำต้มที่กำลังร้อนกรุ่น เพื่อส่งมอบยังกระโจมรัชทายาท และเสียงออกคำสั่งกร้าวว่าให้ส่งทหารออกลาดตระเวนตีวงกว้างมากกว่าเดิมเกิดขึ้นในลำดับต่อมาฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วยังต้องทรงตื่นจากบรรทมรีบเสด็จมาดูอาการของโอรสอย่างเป็นกังวลเสียงถกเถียงกันไปมา ถึงเหตุการณ์แห่งค่ำคืนนี้ยังดังลั่นไม่หยุด ทุกคนพากันออกความเห็นต่างๆ นานา มีเพียงหมิงเฉิงเท่านั้นที่นอนนิ่งไม่ปริปากสักคำไม่ว่าใครจักถามสักเท่าใด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รัชทายาทหนุ่มยังทำเพียงมองทุกคนอย่างเย็นชา สาดประกายความเย็นเยียบผ่านนัยน์ตาดำจัด แผ่กลิ่นอายดุดันกดข่มรุนแรง ไม่ให้ใครถามทั้งนั้นท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่เหล่านั้นล้วน
ไม่นานเกินรอ ชิงเฟยก็ออกมายืนนอกม่านหน้าเตียง“เป็นเจ้าจริงๆ เยาเยา” ชิงเฟยหรี่ตามองสตรีผู้มาใหม่ ก่อนเบือนหน้าหนีสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายคล้ายรังเกียจหมิงเหอนอนแผ่อยู่หลังม่านบนเตียง ไร้ซึ่งการส่งเสียง เพียงรอฟังสองสตรีนอกม่านคุยกัน“สภาพเลือดท่วมเช่นนี้ ไม่สำเร็จใช่หรือไม่?”ชิงเฟยกล่าวเสียงเหยียดมาทางเยาเยา กระชับผ้าห่มคลุมกายตั้งแต่ช่วงไหล่ให้แน่นยิ่งขึ้น ห่วงแค่เนื้อตัวเปลือยเปล่าของตนจะหลุดจากการปกปิด แสดงออกอย่างไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมากนัก นางกล่าวอีกว่า“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดอันใดทั้งสิ้น ออกไปเสีย ข้าเห็นเลือดแล้วอยากจะอาเจียน” หญิงสาวโบกมือคล้ายไล่แมลงเยาเยาพยายามซ่อนความคิดชั่วร้ายเอาไว้ให้ลึกสุดใจ นึกอยากชี้นิ้วสั่งตายนังแพศยาผู้นี้ยิ่งนัก แต่หากนางทำอันใดไป พี่น้องของนางได้สิ้นสลายทั้งเผ่าพันธุ์แน่เมื่อทำอันใดยังมิได้ เยาเยาจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงเพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมซื่อสัตย์ แล้วค่อยๆ พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเลือดไหลท่วมกายหายวูบไปเมื่อภายในกระโจมปราศจากผู้ใดในอีกครั้ง ชิงเฟยจึงเข้าไปในม่านปีนขึ้นนอนเตียงอีกครา หมายจัดการอารมณ์ที่คั่งค้างเสียงบุรุษบนเตียงจึงเอ่ย “น้องสาม
แสงแดดเสียดแทงหมอกหนา ละอองหิมะโรยตัวลงมา ส่งความหนาวเย็นลงสู่พสุธาเฉกเช่นปกติบนเตียงใหญ่ในกระโจมรัชทายาท ร่างสูงยังคงนอนนิ่งเหยียดร่างให้หมอหลวงทำแผลทายา ใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดยังคงเย็นชาเรียบเฉย ไม่เผยความรู้สึกอันใดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียวถึงแม้ว่าสุรเสียงพร่ำบ่นของโอรสสวรรค์จะดังอย่างต่อเนื่องที่ข้างเตียงนอนประหนึ่งดังอื้ออึงอยู่ริมหู หากแต่นัยน์ตาคู่คมเพียงสะท้อนภาพของใครบางคนก็เท่านั้น“เจ้าเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิ ไฉนไม่ถนอมตัว ไยชอบเข้าป่ายิ่งนัก องครักษ์คนใดก็ไม่พาไปด้วยกัน เหตุใด...”ฮ่องเต้ต้าหมิงทรงตำหนิโอรสไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง พระองค์นึกสงสัยเสียจริง ว่าในป่ามีสิ่งใดดีหนักหนา เจ้าเฉิงเอ๋อร์จึงชอบแอบหนีไปเที่ยวเช่นนี้ทว่าหมิงเฉิงหาได้นำพาพระบิดา เพราะสายตาเห็นเพียงชายาของตนกำลังยืนคล้ายจะเป็นลม เรือนร่างในอาภรณ์สีฟ้าดิ้นเงินมีท่าทางอ่อนระทวย ระโหยโรยแรง ร่ำไห้เสียขวัญไม่หยุด จนสาวใช้ต้องช่วยกันจับประคองพัลวัน หมายจะพานางออกไปจากกระโจมของเขา นางก้าวเดินแช่มช้า กำลังจะผ่านประตูผ้าอย่างแนบเนียนจนเกินไป...“หยุด!”รัชทายาทคำรามลั่น ไม่คิดให้สตรีผู้นั้นเดิน
คำโปรยแหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้นเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจคืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสวครั้นตื่นมาแล้วหลับไปเห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา...*********ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผลเผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยลข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแลแล้วเหตุใดจู่ๆท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!******บทนำดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วนหนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ของผู้ที่ถูกเรียกว่า เทพปีศาจ (โม๋กุ่ยเสิน)[1][1]魔鬼神 Móguǐ shén เทพปีศาจ*********อารัมภบทนางมีนามว่าโม๋เอ๋อร์ แซ่เฉิน เกิดและเติบโตในป่าใหญ่อันลึกลับได้สิบสองปี กระทั่งมีระดู เข้าสู่วัยสมสู่สืบพันธุ์ นางจึงตัดสินใจออกจาก
นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบเรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อเนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้นเพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมายเหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดายใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม
ห้าปีต่อมา...โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคยปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมาอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมดระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัวแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่าโม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็
แสงแดดเสียดแทงหมอกหนา ละอองหิมะโรยตัวลงมา ส่งความหนาวเย็นลงสู่พสุธาเฉกเช่นปกติบนเตียงใหญ่ในกระโจมรัชทายาท ร่างสูงยังคงนอนนิ่งเหยียดร่างให้หมอหลวงทำแผลทายา ใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดยังคงเย็นชาเรียบเฉย ไม่เผยความรู้สึกอันใดออกมาเลยแม้แต่นิดเดียวถึงแม้ว่าสุรเสียงพร่ำบ่นของโอรสสวรรค์จะดังอย่างต่อเนื่องที่ข้างเตียงนอนประหนึ่งดังอื้ออึงอยู่ริมหู หากแต่นัยน์ตาคู่คมเพียงสะท้อนภาพของใครบางคนก็เท่านั้น“เจ้าเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิ ไฉนไม่ถนอมตัว ไยชอบเข้าป่ายิ่งนัก องครักษ์คนใดก็ไม่พาไปด้วยกัน เหตุใด...”ฮ่องเต้ต้าหมิงทรงตำหนิโอรสไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งรุ่งสาง พระองค์นึกสงสัยเสียจริง ว่าในป่ามีสิ่งใดดีหนักหนา เจ้าเฉิงเอ๋อร์จึงชอบแอบหนีไปเที่ยวเช่นนี้ทว่าหมิงเฉิงหาได้นำพาพระบิดา เพราะสายตาเห็นเพียงชายาของตนกำลังยืนคล้ายจะเป็นลม เรือนร่างในอาภรณ์สีฟ้าดิ้นเงินมีท่าทางอ่อนระทวย ระโหยโรยแรง ร่ำไห้เสียขวัญไม่หยุด จนสาวใช้ต้องช่วยกันจับประคองพัลวัน หมายจะพานางออกไปจากกระโจมของเขา นางก้าวเดินแช่มช้า กำลังจะผ่านประตูผ้าอย่างแนบเนียนจนเกินไป...“หยุด!”รัชทายาทคำรามลั่น ไม่คิดให้สตรีผู้นั้นเดิน
ไม่นานเกินรอ ชิงเฟยก็ออกมายืนนอกม่านหน้าเตียง“เป็นเจ้าจริงๆ เยาเยา” ชิงเฟยหรี่ตามองสตรีผู้มาใหม่ ก่อนเบือนหน้าหนีสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายคล้ายรังเกียจหมิงเหอนอนแผ่อยู่หลังม่านบนเตียง ไร้ซึ่งการส่งเสียง เพียงรอฟังสองสตรีนอกม่านคุยกัน“สภาพเลือดท่วมเช่นนี้ ไม่สำเร็จใช่หรือไม่?”ชิงเฟยกล่าวเสียงเหยียดมาทางเยาเยา กระชับผ้าห่มคลุมกายตั้งแต่ช่วงไหล่ให้แน่นยิ่งขึ้น ห่วงแค่เนื้อตัวเปลือยเปล่าของตนจะหลุดจากการปกปิด แสดงออกอย่างไม่ใส่ใจอีกฝ่ายมากนัก นางกล่าวอีกว่า“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดอันใดทั้งสิ้น ออกไปเสีย ข้าเห็นเลือดแล้วอยากจะอาเจียน” หญิงสาวโบกมือคล้ายไล่แมลงเยาเยาพยายามซ่อนความคิดชั่วร้ายเอาไว้ให้ลึกสุดใจ นึกอยากชี้นิ้วสั่งตายนังแพศยาผู้นี้ยิ่งนัก แต่หากนางทำอันใดไป พี่น้องของนางได้สิ้นสลายทั้งเผ่าพันธุ์แน่เมื่อทำอันใดยังมิได้ เยาเยาจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงเพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมซื่อสัตย์ แล้วค่อยๆ พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเลือดไหลท่วมกายหายวูบไปเมื่อภายในกระโจมปราศจากผู้ใดในอีกครั้ง ชิงเฟยจึงเข้าไปในม่านปีนขึ้นนอนเตียงอีกครา หมายจัดการอารมณ์ที่คั่งค้างเสียงบุรุษบนเตียงจึงเอ่ย “น้องสาม
สายลมพลิ้วหอบปุยหิมะปลิว รัตติกาลนี้ช่างยาวนาน ลมหนาวยังคงหอบความเย็นพัดผ่านมาเรื่อยๆ ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกระลอก ด้วยเสียงของทหารยามที่ตะโกนก้องว่า “องค์รัชทายาทบาดเจ็บ...”จากนั้นก็มีแม่ทัพและทหารกลุ่มใหญ่วิ่งไปยังทิศทางแห่งหนึ่งซึ่งเป็นชายป่าเพียงครู่ต่อมา ก็พาร่างบาดเจ็บของหมิงเฉิงกลับเข้ากระโจมรัชทายาท เพื่อให้หมอหลวงเร่งรุดมาทำการช่วยเหลือรักษาโดยเร็วเสียงวิ่งวุ่นหายา ต้มยา ลำเลียงถ้วยยาและน้ำต้มที่กำลังร้อนกรุ่น เพื่อส่งมอบยังกระโจมรัชทายาท และเสียงออกคำสั่งกร้าวว่าให้ส่งทหารออกลาดตระเวนตีวงกว้างมากกว่าเดิมเกิดขึ้นในลำดับต่อมาฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วยังต้องทรงตื่นจากบรรทมรีบเสด็จมาดูอาการของโอรสอย่างเป็นกังวลเสียงถกเถียงกันไปมา ถึงเหตุการณ์แห่งค่ำคืนนี้ยังดังลั่นไม่หยุด ทุกคนพากันออกความเห็นต่างๆ นานา มีเพียงหมิงเฉิงเท่านั้นที่นอนนิ่งไม่ปริปากสักคำไม่ว่าใครจักถามสักเท่าใด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รัชทายาทหนุ่มยังทำเพียงมองทุกคนอย่างเย็นชา สาดประกายความเย็นเยียบผ่านนัยน์ตาดำจัด แผ่กลิ่นอายดุดันกดข่มรุนแรง ไม่ให้ใครถามทั้งนั้นท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่เหล่านั้นล้วน
โม๋เอ๋อร์พาหมิงเฉิงมาไว้ที่ชายป่า หาได้พาเข้าไปในกระโจมของเขาไม่เพื่อความแนบเนียน ...เมื่อหมิงเฉิงตื่นลืมตาจะได้ไม่มีอันใดน่าสงสัยจนเกินไป หญิงสาวจึงวางร่างหนาแน่นให้นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คงสภาพบาดเจ็บภายนอกของเขาเอาไว้ โดยให้มีบาดแผลคล้ายถูกทำร้ายจากสัตว์ป่า แค่ทายาไม่กี่วันก็หายดีพรุ่งนี้หากเขาบอกว่าเจอปีศาจสาวล่อลวงไปทำร้ายในป่าลึก จะได้ไม่มีใครเชื่อเขา ปล่อยให้เขาหงุดหงิดอยู่คนเดียว ย่อมดีกว่ามีคนเผลอเชื่อเรื่องปีศาจ แล้วออกตามหาปีศาจแทนที่จะล่าสัตว์ตามประเพณี โม๋เอ๋อร์ยืนมองบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดที่นอนนิ่งไม่ขยับอีกชั่วครู่ จากนั้นก็อำพรางตัวหายไปคล้ายหมอกควัน โดยมีปีศาจจิ้งจอกตามติดไม่ห่าง คล้อยหลังปีศาจทั้งสอง หมิงเฉิงที่แกล้งสิ้นสติได้อย่างแนบเนียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาบุรุษร่างสง่าในอาภรณ์สีครามขาดวิ่นมีเลือดเปรอะเปื้อน เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากเหล่าสัตว์ร้าย ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่ง ชันเข่าหนึ่งข้าง แผ่นหลังกว้างตั้งตรงอิงต้นไม้ใหญ่ มีท่าทางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พลังงานในร่างกายล้วนสูญสิ้นไป ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวลอบขบกรามแน่น เมื่อนึกไปถึงเรื่องราวที่ได้ยินเมื่อครู่
เนิ่นนานทีเดียว กว่าโม๋เอ๋อร์จะระงับความโกรธลง แล้วดึงชิ้นส่วนอีกฝ่ายให้ประสานอีกครา เนิ่นนานเช่นกันกว่าเยาเยาจะระงับความเจ็บได้ สุนัขตัวน้อยจึงพยายามหยัดกายลุกขึ้นมา แล้วค่อยๆ แหงนหน้ามองโม๋เอ๋อร์นิ่งๆ ดวงตาเรียวยาวของจิ้งจอกขาวคล้ายมีน้ำตาไหลรินออกมาสายหนึ่ง“เรียนท่านโม๋... อันที่จริงข้าก็มิได้อยากทำ”โม๋เอ๋อร์ยืนเงียบฟังนางนิ่ง ทั่วเรือนร่างแผ่กำจายพลังอันชั่วร้ายเหนือปีศาจทุกตัวเยาเยาค่อยๆ สืบเท้าเข้าใกล้อีกนิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วค่อยๆ เล่าความอย่างระมัดระวัง“เพียงแต่เผ่าพันธุ์ของข้าหลายตัวถูกมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรพรตจนตบะแกร่งกล้าที่เรียกตนเองว่า เซียนขู่สิง กักขังเอาไว้ในหุบเขาเจียนจิน ตัวข้าไหนเลยจักมีทางเลือกได้ เพื่อพี่น้องแล้ว ข้าจำเป็นต้องฆ่าเขา”“ฆ่าเขาหรือ?” โม๋เอ๋อร์หรี่ตา คำว่าเขาในที่นี้ คือสามีนาง“ใช่! ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องฆ่าเขา แต่คำสั่งถูกส่งมาเช่นนี้ รู้เพียงฆ่าผู้นี้ ให้ความผิดตกแก่ผู้นั้น ส่งอีกคนขึ้นที่สูง นี่คือที่ข้ารู้”“เรื่องราวซับซ้อนของมนุษย์ ปีศาจไหนเลยจักเข้าใจได้ แต่เจ้าย่อมรู้ดี หากปีศาจเช่นเราทำเยี่ยงนั้น จักเกิดสิ่งใด”“ข้ารู้ แต่หากช่วยเหลือ
เดิมทีก่อนหน้านี้ หมิงเฉิงยังหวังว่าสตรีที่ช่วยเขาจากสัตว์ป่าดุร้ายควรเป็นชายาของเขาจนเมื่อเจอสตรีปริศนาที่มาพร้อมรูปกายในห้วงคำนึง เขาจึงตามติดออกมาเพื่อพิสูจน์ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ความผิดหวังท่วมท้นล้นอก คิดเพียงว่าเหตุใดมิใช่นาง เหตุใดมิใช่ชายาของเขาแต่ทว่า...ในยามนี้...เป็นนางจริงๆในขณะที่ฝ่ายบุรุษผู้นอนยาวเหยียดเลือดท่วมโทรมกาย ไร้ซึ่งกำลังวังชา มีเพียงหัวใจที่เต้นแรงกว่าเดิม โม๋เอ๋อร์ก็กำลังเอียงหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นแรงปานนั้นทั้งๆ ที่ก็ยังหลับตาหมดสติอยู่แท้ๆดวงตากลมโตจึงกะพริบปริบๆ เพ่งพินิจชายผู้นี้ใกล้ๆทันใดนั้นนางพลันสังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่ลำคอหนา ความรู้สึกคุ้นตาพลันบังเกิดทันใดเรียวนิ้วค่อยๆ เอื้อมขึ้นมาจับสร้อยที่ห้อยคออีกฝ่ายไว้ แล้วเพ่งมองจริงจังเขี้ยวราชสีห์!โม๋เอ๋อร์ย่อมจำสิ่งนี้ของตนเองได้ดี เป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเมื่อแปดปีก่อน นางเคยแขวนให้ชายปริศนาด้วยตนเอง และอีกครั้งที่เจอมันแขวนอยู่บนคอเขาก็สามปีที่แล้วเรียวคิ้วโก่งสวยยกโค้งขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางเลิกคิ้วฉงน“ที่แท้ก็เป็นท่าน!”หญิงสาวสาวพึมพำเสียงเบา นึกแปลกใจไม่น้อยว่าชายที่เค
โม๋เอ๋อร์นั้น เดิมทีนั่งรอหมิงเฉิงอยู่ในกระโจมรัชทายาทอย่างสงบเสงี่ยมทว่าพลังเร้นลับที่สัมผัสได้ มีหรือเทพปีศาจเช่นนางจะไม่ล่วงรู้ เพียงแต่ผืนป่ากว้างใหญ่ ทั้งยังมืดสลัวไร้ทิศทาง และอีกฝ่ายก็รวดเร็วไม่ต่างจากนางสักเท่าไหร่ การตามติดจึงคล้ายกับช้าไปหลายก้าว หากว่าช้ากว่านี้สามีต้องแย่แน่เมื่อโม๋เอ๋อร์มาถึง เหตุการณ์ตรงหน้าย่อมไม่ให้โอกาสนางได้คิดการณ์อันใด ร่างกายและพลังของนางรวดเร็วกว่าความคิดทุกสิ่ง นางตัดมือที่กำลังจะคว้านเอาหัวใจของหมิงเฉิงจนขาดกระเด็น ไร้ซึ่งการตรึกตรองให้เสียเวลายามนี้โม๋เอ๋อร์กำลังจ้องเขม็งที่สตรีตรงหน้า ฝ่ามือของนางจิกลำคออีกฝ่ายเอาไว้อย่างแน่นหนาดวงตาสีเขียวมรกตเผยความเย็นชา สีหน้าเย็นเยียบ แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกปานน้ำแข็งยอดภูผาที่ไม่มีวันละลายโม๋เอ๋อร์แสยะยิ้มน่ากลัวชวนขนลุกออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น “โม๋-กุ่ย-เสิน” สตรีชุดขาวเรียกโม๋เอ๋อร์เสียงสั่นเทา ฟังดูตระหนกตกใจกลัวไม่น้อยโม๋เอ๋อร์เอียงหน้าเลิกคิ้วแค่นเสียงเย็น “รู้จักข้าด้วยหรือ?” นางหรี่ตาแล้วเรียกกลับ “นังปีศาจจิ้งจอก!”จบคำก็เหวี่ยงร่างระหงยั่วยวนของสตรีชุดขาวลงกระแทกพื้นดินอย
ช่วงเวลาที่กำลังเผลอไผลตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดวกวนสับสนของตน พลังนั้นหอบความชั่วร้ายส่งผ่านกระแสลมเย็นวาบเข้าแทรกซึมทำลายอวัยวะของหมิงเฉิงจากภายใน ส่งผลให้เกิดเป็นแผลฉกรรจ์ทะลุออกมา เลือดกระฉูดจากปากแผลเลือดสดๆ ไหลทะลักเป็นลิ่มเป็นสาย ทว่ารอยยิ้มบางเบากลับปรากฏตรงมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายผ่อนคลายจากอารมณ์เครียดตึง ความเจ็บปวดจากบาดแผลใดๆ ล้วนไม่สำคัญ เมื่อความแน่ใจในบางประการกำลังก่อกำเนิดขึ้นในใจหมิงเฉิงสตรีปริศนานางนี้ บางทีอาจไม่ใช่!โซ่ปริศนายังคงรัดรึงร่างหนา ทำให้หมิงเฉิงกลายร่างเป็นเป้านิ่งใต้ต้นไม้เท่านั้นพลังร้อนคล้ายเปลวเพลิงสาดเข้าปะทะร่างของหมิงเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งอวัยวะภายในบอบช้ำอย่างหนักเลือดสดๆ ไหลเป็นลิ่มๆ ออกมาทางปาก หู จมูก และตาสตรีปริศนาปล่อยพลังชั่วร้ายออกจากปลายนิ้วไม่มียั้ง เห็นได้ชัดว่าต้องการสังหารรัชทายาทหนุ่มให้ตายตกดวงตาคู่คมเริ่มพร่าเลือน ทว่าความคิดยิ่งกระจ่างชัดหญิงผู้นี้ มิใช่นาง... มิใช่แน่งน้อยของเขา!คนงามในอาภรณ์สีขาว ยังคงเดินแบบย่างสามขุมเข้ามาใกล้ร่างอ่อนแรงของหมิงเฉิง มุมปากแสยะยิ้มประดับดวงหน้างามพิลาศ แขวนความน่าเกลียดบนใบ
ภายในกระโจมหลังงาม รอบด้านมีแสงเทียนสีทองข้างเตียงนอนมีนางกำนัลสองคนกำลังหลับใหลไร้สติตรงประตูทางเข้ากระโจมที่ถูกปิดเอาไว้ด้วยผ้าเนื้อหนา ไร้ผู้ใดเข้ามา มีเพียงสองชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งกำลังยืนประจันหน้าเงียบงัน ไร้ภาวะเจรจาโดยพลัน สิ่งที่หมิงเฉิงไม่รู้ คือสร้อยเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอกำลังเรืองแสงบางเบาจนพลังแห่งการปกป้องที่ซ่อนเร้นในสร้อยส่งผลให้สตรีงดงามตรงหน้าถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ จนต้องเปิดเผยตัวตนที่เป็นปีศาจในที่สุดเรียวนิ้วงามที่กำลังยกขึ้นเพื่อลูบไล้ร่างแกร่งพลันชะงัก แม้รอยยิ้มยั่วยวนยังไม่ทันจางหาย หากแต่พลังจากเขี้ยวราชสีห์กลับทำให้นัยน์ตาดำขลับของนางกลายเป็นสีเขียวเข้ม ปฏิกิริยาระหว่างนางกับเขี้ยวราชสีห์มีสัมพันธ์บางอย่างต่อกันหัวใจชายในอกแกร่งพลันเต้นระส่ำรุนแรง เมื่อหมิงเฉิงเห็นดวงตาสีเขียวของนางเนิ่นนาน มิใช่เพียงชั่ววูบเดียวเหมือนของชายาโหวทว่าในขณะที่มือแกร่งกำลังจะเอื้อมขึ้นมารั้งร่างระหงให้เข้าใกล้เพื่อพินิจให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม หญิงงามพลันถอยร่นหนีห่างออกไปถึงสามก้าว จากนั้นเรือนร่างอรชรก็เริ่มเปลี่ยนสีจากเนื้อเนียนสีขาวละเอียดลออเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เส้นผ