นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติ
ฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษ
ทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบ
เรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อ
เนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น
เพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมาย
เหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดาย
ใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม๋
แซ่เฉินคือแซ่ของบิดา หากแต่เด็กสาวจำต้องปิดบังแซ่ ตามความต้องการของบิดา และนามเรียกขานสั้นๆ ว่าโม๋[1]นี้ แท้จริงเพียงตอกย้ำถึงความรักเหนือธรรมชาติก็เท่านั้น
หลังจากสิ้นบิดา เด็กสาวก็มีชีวิตท่ามกลางสรรพสัตว์ในป่าพนาไพร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยน่ารักหรือสัตว์ใหญ่น่ากลัวนางล้วนชาชิน
ด้วยความเป็นมนุษย์เลือดผสมมีพลังปราณไม่ธรรมดา ความสามารถมิได้ด้อย นางจึงอยู่อย่างไม่ลำบากเลยสักนิด
เพราะเหล่าสัตว์ป่าล้วนเชื่อฟัง สรรพสิ่งเร้นลับล้วนไม่กล้าเหิมเกริมต่อนาง
แต่กระนั้นคำสั่งเสียสำคัญก่อนลาจากของบิดายังติดตรึง
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
โม๋เอ๋อร์พึงระลึกเสมอเหมือนยันต์คุ้มภัยมิให้ตนผยอง
ทว่านางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
แน่นอนว่านางไม่เคยผยองในพลังเร้นลับเหนือสามัญของตนเอง แต่การมิให้นำมาใช้เพื่อความอยู่รอดจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!
หากเป็นเช่นนี้มิเท่ากับว่า มีปากไม่ให้พูด มีลิ้นมิให้ชิมรส มีตากลับมิให้จ้องมอง มิใช่หรือไร? ทรมานยิ่ง!
เด็กน้อยได้แต่ทำหน้ายู่ยับย่นบ่นงึมงำกับตนเองในใจ ยามลอยตัวพลิ้วไหวท่องเที่ยวอย่างซุกซนไปทั่วผืนป่า กระโดดข้ามเขาลูกหนึ่งโผล่อีกลูกหนึ่ง บางทีก็ดำน้ำหยอกล้อหมู่มัจฉา เหินเวหากลั่นแกล้งมวลวิหคนกเหยี่ยวพญาอินทรีย์
กระทั่งอายุได้เจ็ดหนาว โม๋เอ๋อร์กำลังเดินเล่นกลางป่ารกชัฏที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน ที่มีเพียงนางเท่านั้นเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
อันตรายใดๆ เด็กน้อยล้วนพึงใจ เพราะทำให้นางได้ซุกซนอย่างเต็มที่
ชั่วจังหวะที่เดินบ้างกระโดดบ้างอย่างรื่นเริงมาตามทาง สายตากลมโตเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เรือนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่าเกลียดน่ากลัว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเผยเนื้อหนังที่มีกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่ แผงอก และเรียวขา ล้วนมีเนื้อขาดวิ่นกระดูกโผล่พ้นน่าสะพรึง โดยเฉพาะใต้ราวนมมีซี่โครงหักออกมาให้เห็นชัดเจน
ทั่วตัวเขามีรอยแผลจากของมีคมและเขี้ยวของสัตว์ร้ายผสมปนเป แลดูอนาถยิ่งนัก
โม๋เอ๋อร์กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ พบว่ารอบกายเขาเต็มไปด้วยฝูงหมาป่ากำลังจ้องเขม็งด้วยสายตาแววแดงนับสิบตัว กำลังแยกเขี้ยวคำรามน้ำลายไหลยืด ปลายเท้าของพวกมันค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาชายผู้นั้นช้าๆ
บ่งบอกได้ดีว่า ชายผู้นั้นกำลังจะตกเป็นเหยื่อให้เจ้าพวกหมาป่าได้เขมือบเคี้ยวเล่นในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ
โม๋เอ๋อร์ยืนมองด้วยสายตาเฉียบคม เห็นชายผู้นั้นจ้องมองฝูงหมาป่าด้วยดวงตาอาบโลหิต ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรใดๆ
แน่นอนว่าเขายังไม่ตาย แต่ลมหายใจรวยรินเยี่ยงคนใกล้ประตูปรโลกพร้อมเหยียบเข้าปากผีย่อมไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ในยามนี้ ทำให้โม๋เอ๋อร์ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้
แม้จะมีคำสั่งเสียของบิดารัดรึง แต่เด็กน้อยไม่ชอบการฆ่าฟันหรือสังหารใคร และความตายเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด นางไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้ตายต่อหน้า ถึงจะมิรู้ได้ว่าเขาเป็นบุตรใคร แต่หากเขาตายไปบิดามารดาคงเสียใจแย่
โม๋เอ๋อร์จึงปล่อยพลังปราณกระแสเย็นสายหนึ่งออกมา พลางสืบเท้าเข้าหาฝูงหมาป่าตัวใหญ่ช้าๆ ใช้สายตาคู่งามปรามสัตว์ร้ายตามวิสัย
กลิ่นอายแห่งมัจจุราชของผืนป่าแผ่กำจายจากร่างเล็กไปทั่วบริเวณ ทั้งกดดันทั้งน่ากลัว ไม่มีสัตว์ป่าใดสักตัวกล้าต่อกร
ร่างระหงบอบบางในชุดคลุมขนจิ้งจอกเงินแบบทั้งตัว ค่อยๆ เดินเข้ามาทางหนุ่มน้อยโชกเลือด เหล่าหมาป่าทมิฬล้วนหลบทาง เหลือตรงกลางให้แน่งน้อยได้สืบเท้า
พวกมันพากันเก็บเขี้ยวแหลมคมเอาไว้ในปากยาวยื่น เหลือเพียงลิ้นเปียกชุ่มน้ำลายที่ไหลเป็นทาง แล้วพากันแหงนหน้าเห่าหอนโหยหวนชวนผวา
แม้มิใช่ยามราตรีอันมืดมิดแต่ทุกชีวิตท่ามกลางป่ารกทึบกลับตกอยู่ในความมืดสลัวหนาวเหน็บ โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์ล้ำค่าที่มิได้ใช้เงินซื้อหากำลังเยื้องกรายเข้าใกล้ชายปริศนา ด้วยกิริยาเย็นเยียบสยบสัตว์ร้ายอยู่หมัด เมื่อเดินมาถึงร่างโชกเลือดใต้ต้นไม้ เด็กน้อยก็ยอบกายลงแล้วก้มมองเด็กหนุ่มด้วยท่าทางซุกซนน่ารัก
แววตาคมที่แสนจะอ่อนแรงของเขาพลันสะท้อนเงาใบหน้าเรียวเล็กใสซื่อดวงตากลมโตอยู่ในนั้น
โม๋เอ๋อร์ยกยิ้มพริ้มเพรา นัยน์ตาสีดำขลับพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตเจิดจรัสงดงาม เส้นผมเรียบลื่นสีดำสนิทที่ปล่อยสยายเคลียไหล่มน ค่อยๆ เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายมีแสงทองเรืองรองโอบล้อม
เด็กสาวเอื้อมมือขึ้นมาแตะเบาๆ ที่ไหล่เขา ส่งผลให้ชายผู้นั้นหอบหายใจแรงเฮือกหนึ่ง หนังตาพลันหนักอึ้งแล้วค่อยๆ ปิดลงก่อนจะหลับไปอย่างช้าๆ
เมื่ออีกฝ่ายสิ้นสติ เด็กน้อยจึงปล่อยพลังปรานสายหนึ่งห่อหุ้มร่างบอบช้ำชุ่มเลือด หมายบรรเทาอาการบาดเจ็บเจียนตายของเขา
เพียงชั่วก้านธูป อวัยวะภายในที่บอบช้ำจนมีลิ่มเลือดเกาะแน่นปิดกั้นเลือดลมจนติดขัด ก็ค่อยๆ คลายตัวสลายออกไป ยังผลลมหายใจเจ้าของร่างกลับมาเป็นปกติ กระดูกที่หักงอผิดรูปทรงก็ค่อยๆ คืนรูปหดกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม เนื้อเว้าแหว่งไปก็ค่อยถือกำเนิดใหม่ กลายเป็นแผลเป็นขรุขระเท่านั้น
แม้ผิวพรรณอาจจะไม่ราบเรียบงดงามดังเดิม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งเอาไว้แล้วกลายเป็นอักเสบติดเชื้อเกิดเน่าเฟะมีหนอนชอนไช
โม๋เอ๋อร์ใช้พลังที่มีช่วยเขาได้เพียงเท่านี้ ด้วยเพราะยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่ประสา พลังอันใดยังไม่มากพอทั้งสิ้น
แต่แค่นี้ชายตรงหน้าก็ไม่ต้องตายแล้ว
เขาเหลือเพียงคราบเลือดและความอ่อนเพลียก็เท่านั้น
เด็กน้อยถอดเอาสร้อยเถาวัลย์เหนียวที่ผูกเขี้ยวราชสีห์จากคอตนมาแขวนให้เขา แล้วจากไปไม่หวนคืน
นางไม่จำเป็นต้องรอให้เขาตื่น แล้วนำส่งออกนอกป่า เพราะเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มภัย ส่วนเขี้ยวใหม่นางหาเอาเมื่อใดก็ย่อมได้
นางเดินทางต่อด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้ทำดี แต่ทว่ากลับเศร้าใจเมื่อนึกถึงบิดา ถ้าตอนนั้นนางใช้พลังรักษาบิดาของนางได้คงดี แต่บิดานางกล่าวว่า โรคทางใจต้องรักษาด้วยใจ ส่วนพลังของนางรักษาได้เพียงทางกายภายนอกก็เท่านั้น
เด็กน้อยได้ฟังก็ไม่เข้าใจอันใดทั้งสิ้น
โรคทางใจอันใดกันหนอที่ทำให้บิดาร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ทุกค่ำเช้า...
----[1] 魔 Mó มายากลหรือเวทมนตร์
“เซียนเอ๋อร์”“อาเหอ...ข้าไม่ไหวแล้ว”ยามนั้น ทั่วทั้งบ่อน้ำส่องแสงสีทองสลับสีแดงชนิดเข้มข้น ยังผลให้ผู้จ้องมองแสบตาจนมิอาจฝืน เฉินเหอไท่พยายามเหลือเกินที่จะเพ่งพิศภรรยา ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ทั้งยังคล้ายกับว่าตัวเขาถูกพลังบางอย่าง ผลักจนกระเด็นออกจากบ่อน้ำ ทำได้เพียงแข็งขึงหยัดยืนให้ร่างสูงตระหง่านอยู่ริมบ่อเท่านั้นรอบกายของเขาคล้ายมีพายุหมุน เส้นแสงแสบตาพาให้ไม่สามารถทอดมองสิ่งใดสายลมดังอู้ๆ สองหูอื้ออึง นัยน์ตายังพร่ามัว ทั้งสมองยังขาวโพลน ผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ เมื่อพลังเร้นลับมหาศาลสลายหายไป เฉินเหอไท่จึงได้โอกาสลืมตา ทว่าเมื่อได้เห็นลำตัวหนาแกร่งพลันชาวาบในบ่อน้ำร้อนปราศจากร่างภรรยา…“เซียนเอ๋อร์”ชายหนุ่มกระโจนลงน้ำ แหวกว่ายพร้อมร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกในแบบที่ไม่เคยเป็น“เซียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด”บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้กว้างมาก ทั้งยังลึกยิ่ง เฉินเหอไท่ดำน้ำลงไป แล้วว่ายขึ้นมา ดำลงไปอีก มองหา ขึ้นมา ดำลงไป วนเวียนอยู่เช่นนั้น เขาดำน้ำวกวนทั่วก้นบ่อ ก็ยังไม่พบภรรยา จากนั้นก็ว่ายขึ้นมาแล้วตะโกนก้อง“เซียนเอ๋อร์ ตอบข้า”ยิ่งนานเสียงเรียกยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที“ได้โปรด เซียนเอ๋อร์”แต่ก
สายลมโชยผ่าน ม่านแดดที่คลี่คลุมเจือจางลง แทนที่ด้วยอาทิตย์อัสดงเมื่อคำนวณเวลาว่าภรรยาตื่นนอน ร่างสูงจึงเดินเข้าเรือน ก็เจอคนงามพาท้องกลมใหญ่เดินแช่มช้าออกมาจากห้องแล้ว“หิวหรือไม่?”เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยามเข้าจับประคองอย่างถนอม“หิวเจ้าค่ะ” เซียนเซียนแย้มยิ้มตอบ พลางซุกซบหาไออุ่นเฉินเหอไท่พาร่างขาวอวบกลมไปเอนหลังกับเบาะนุ่ม ก่อนโน้มตัวก้มหน้าจรดริมฝีปากร้อนชื้นกับหน้าผากกลมมน“รอครู่เดียว”ยามเอ่ยยังลูบหน้าท้องภรรยาแผ่วเบาอย่างรักใคร่ ทั้งยังไม่ลืมลูบไล้ลงต่ำไปที่เนินเนื้ออุ่นนุ่มที่บัดนี้บวมตึงยิ่งนัก ส่วนสงวนของนางบ่งบอกได้ว่า ใกล้กำหนดคลอดแล้วชายหนุ่มละฝ่ามือออกจากใต้กระโปรงภรรยาแล้วประทับจุมพิตที่แก้มสาวอีกครั้ง บอกเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า“เจ้าทนอีกไม่นาน”“อืม...”“กินให้อิ่ม หลับให้สบาย เข้าใจหรือไม่?”เซียนเซียนคลี่ยิ้มละมุนตาเอ่ยปากรับคำเนิบช้า“เจ้าค่ะ ท่านพี่”เฉินเหอไท่กดจูบที่กลีบปากนุ่มแดงแรงๆ หนึ่งทีแล้วลุกขึ้นไปจัดเตรียมอาหารเมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มยังจับหญิงสาวขึ้นอุ้มแนบอก พาเดินชมทิวทัศน์ยามราตรี รับสายลมเย็นฉ่ำชั่วครู่ ก็พาเข้านอนทุกวันหมุนเวียนไปเ
เฉินเหอไท่กักเก็บตัวตนนางเอาไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่น แลกลมหายใจผะผ่าวเข้าผสาน นับเป็นการยับยั้งปราณเย็นขั้นสุดขั้วเอาไว้ได้ด้วยปราณร้อนระอุแห่งเขา ให้เปลี่ยนเป็นความร้อนแรงแห่งรักชายหนุ่มนับเป็นมนุษย์ที่มีพลังหยางเข้มข้น กระทั่งไอมารของเทพปีศาจยังต้องสยบอย่างยินดีเซียนเซียนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างสามี กลายร่างเป็นเพียงภรรยาแสนดี ซุกซบไออุ่นอย่างออดอ้อนหญิงสาวมักจะเปล่งเสียงสดใสฉอเลาะ เรียกรอยยิ้มละมุนให้เกิดจากใบหน้าหยาบกระด้าง นำพาความอ่อนโยนแทนที่ความกร้าวแกร่งได้อย่างเหลือร้ายไม่นานต่อมา ฝ่ายภรรยาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ นางเบื่ออาหารที่ชอบกินและง่วงนอนตลอดเวลา ไม่ชอบเอ่ยคำหวานออดอ้อนฉอเลาะอีกแล้ว แต่มักจะพร่ำบ่นดินฟ้าอากาศอย่างหงุดหงิดอันไร้เหตุผล ฝ่ายสามีแรกเริ่มก็อดทนไม่คิดขัดใจ กระทั่งรู้ว่านางตั้งครรภ์ นำพาความดีใจจนแทบเนื้อเต้น แต่กลับไม่อาจทนเห็นนางเบื่ออาหารทั้งไม่อาจให้นางปฏิเสธการกินอีกต่อไปไม่ว่าคนงามจะงอแงโวยวายอย่างไร เขาก็ได้แต่อมยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายหยอกเย้า ออดอ้อนฉอเลาะให้นางอารมณ์ดี จะได้กินอาหารบำรุงได้มากหน่อย คืนวันแห่งวสันต์จึงเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำด้วยการหยอกเอินหลอ
กลางป่ารกทึบแมกไม้เขียวขจีดอกไม้บานสะพรั่งสัตว์ป่าน้อยใหญ่เคลื่อนกายแวะเวียนเซียนเซียนถูกเฉินเหอไท่พามาไกลหลายพันลี้จากแคว้นต้าซ่งจนถึงแคว้นต้าหมิง เพื่อเร้นกายอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้นเขามีบ้านหลังใหญ่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ด้านซ้ายมีน้ำตกด้านขวาเป็นทิวทัศน์ร่มไม้ไหว ด้านหลังยังมีบ่อน้ำพุร้อนสราญใจสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในแผนการที่เกี่ยวข้องกับการโค่นล้มเฉินหย่งจื้อที่วางเอาไว้ ชายหนุ่มสั่งลูกน้องฝีมือดีเข้ามาจัดการปลูกสร้างเนิ่นนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสำหรับภรรยาที่เขาลอบสรรสร้างเพื่อนางโดยเฉพาะใต้ร่มไม้ปลายน้ำตก ละอองเย็นฉ่ำฟุ้งกระจายผสานสายลมโบกโชย กลีบดอกไม้ปลิวละลิ่วเคล้าแสงตะวัน มีร่างสองสายแนบชิดสนิทเนื้อแทบแยกไม่ออก“ข้าชอบที่นี่” เซียนเซียนแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา แนบแผ่นหลังบอบบางกับแผงอกอบอุ่นของเฉินเหอไท่ ปล่อยร่างอรชรเข้าสู่วงแขนแข็งแรงราวสตรีไร้กระดูกชายหนุ่มจรดปลายจมูกกับเรือนผมเรียบลื่น เอ่ยเสียงนุ่ม “แน่นอนว่าเจ้าต้องชอบ”หญิงสาวเงยหน้าจูบปลายคางคมสันเบาๆ ส่งกระแสร้อนวาบให้ซาบซ่านถึงหัวใจ แล้วก้มหน้าซุกซบอยู่ในอ้อมกอดคล้ายแมวน้อยแสนเชื่อง คว
ดวงเนตรพญามังกรสีรัตติกาลเบิกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ เฉินเหอไท่นำทัพออกหน้าไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ทำการศึกห่างออกไปไกล ปิดเส้นทางมิให้ผู้ใดเข้ามาระรานยามที่เขาไม่อยู่ตัวเขาต้องจัดการทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นที่ข้างนอก จึงป้องกันอาณาเขตแห่งนี้เอาไว้ให้อยู่อย่างปกติที่สุดทว่า...สิ่งที่เห็นทำให้เฉินเหอไท่นึกตระหนกไม่น้อย ถึงแม้ว่าแผนการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จของเฉินเหอไท่จะสำเร็จลุล่วง หากแต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเฉินหย่งจื้อส่งคนเข้ามาบุกโจมตีคฤหาสน์ จนเกิดศึกนองเลือดตลบหลัง เป้าหมายคือสะบั้นดวงใจแห่งเขาชายหนุ่มให้ได้คิดว่าเขาดูเบาความต่ำช้าของน้องชายผู้นี้มากจนเกินไปเสียแล้วเรื่องที่เขามีหญิงคนรักและแต่งงาน เจ้าเฉินหย่งจื้อกลับนำมาเป็นเครื่องมือหมายกำจัดเขาอย่างต่ำตมสิ้นคิดซึ่งแน่นอนว่าหากเซียนเซียนเป็นเพียงสตรีธรรมดาย่อมต้องกลายเป็นตัวประกันเข้าทางศัตรู แล้วถูกนำมาข่มขู่เขาทว่าความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น เฉินเหอไท่ย่อมรู้ดีกว่าใครสายตาคมเข้มกวาดมองไปทั่ว มีแววร้อนรนผสานอยู่อย่างไม่อาจระงับ ยิ่งเดินเข้ามายิ่งเห็นคราบเลือดข้นคลั่กปานธารารินไหล ก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเย็นที่ฝ่ามือประเมินดูแล้วถึง
ค่ำคืนแห่งการรื่นเริงภายในพระราชวังต้าซ่งยังมีต่อเนื่องสามวันสามคืน หลังศึกปราบกบฏเสร็จสิ้นเมื่อฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีเต็มที่ จึงเรียกสนมถึงสองนางมาปรนนิบัติอย่างสุขสมบนเตียงบรรทมในตำหนักส่วนพระองค์ มีเสียงครวญครางถึงสามเสียงด้วยกันนอกจากเส้นเสียงรัญจวน ยังมีเสียงหัวเราะร่วนที่ร่วมกันเหยียดหยันอ๋องโง่บัดซบผู้หนึ่ง สนมทั้งสองล้วนด่าทอเฉินเหอไท่เพื่อเอาใจเฉินหย่งจื้อ ว่าสมควรตายเพียงใด ต่ำช้าแค่ไหนชั่วจังหวะที่เฉินหย่งจื้อกำลังปลดปล่อยตัวตนร้อนผ่าวเข้าสู่กายสาวของสนมคนงาม ลำคอพลันเจ็บแปลบ กรามพลันหลุดออก ความรู้สึกชาหนึบพลันถาโถมสองตาของฮ่องเต้ต้าซ่งเหลือกถลน เปล่งวาจามิได้ อึกอักอึดใจก็เห็นสนมคนหนึ่งตายอยู่หัวเตียงเมื่อใดมิอาจทราบ ส่วนอีกคนที่อยู่ใต้ร่างก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลูกนัยน์ตาปูนโปนแทบออกมานอกเบ้า กลีบปากอ้าค้าง ยามใดก็สุดรู้ไร้เสียงเล็ดลอด ตกตายเงียบเชียบ ว่องไวรวบรัดหรือว่าจะเป็น...ความคิดชั่ววูบเกิดขึ้นพร้อมกับเงาร่างหนาใหญ่ในอาภรณ์สีดำจัดปรากฏกายเบื้องหน้า สู่ครรลองสายตาเฉินหย่งจื้อยิ่งเบิกตาโพลงเฉินเหอไท่ทักทายน้องชายจอมตระบัดสัตย์ด้วยแววตาคมกริบที่มองสบนิ่งขรึม เผย