“เราจะไม่เสียเวลาไปกับการตีพวกทหารของเป่ยเอียนทีละส่วน หากเราจะเข้าไปยึด วังหลวง ของพวกมัน เราต้องใช้กลยุทธ์ที่เด็ดขาดและรวดเร็ว” เฉิงอู๋อ๋องพูดขึ้น “ท่านอ๋อง ทัพของเราแข็งแกร่งพอสมควร แต่ปัญหาคือการเข้าไปยึดครอง วังหลวงเป่ยเอียน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขุนนางในวังจะต่อสู้เพื่อปกป้องบัลลังก์ และไม่มีทางยอมแพ้โดยง่าย” ตงเกาพุโขึ้นด้วยน้ำเสียงทที่กังวลไม่น้อย“ถ้าพวกเขาจะต้านทานพวกเรา เราก็จะต้องหาจุดอ่อนที่สามารถโจมตีได้ รบเร็วและใช้แผนที่คำนวณไว้อย่างรอบคอบ หากข้าสามารถเข้าไปใกล้ตัว เป่ยซวี ได้ก่อน จะสามารถทำให้เขาตกใจได้ แต่ข้าว่าปลิดชีพเขาเสียดีไหมจะได้ไม่ต้องรบยืดเยื้อ” ไป๋ฮวี้พูดขึ้นอย่างคนเลือดร้อน“การที่จะเข้าไปได้ ต้องใช้การขัดขวางทัพของพวกเขาจากด้านหลัง หรือทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเราจะโจมตีทางด้าหน้าอย่างเดียวจึงไม่ทันที่ไม่คาดคิด ข้าซางหลางจะเข้าไปในวังกับไป๋อวี้จากจุดนี้” ซางหลางกล่าวพลางชี้ไปที่แผนที่ทางประตูหลัง“หากเราจัดการตัดเส้นทางส่งเสบียง และโจมตีที่ทิศทางที่พวกมันคิดว่าไม่สำคัญ พวกมันจะสูญเสียสมาธิและเปิดโอกาสให้เราผ่านไปได้ ท่านอ๋องอนุญาตเราสองคนเถอะ” เฉิงอู๋อ๋อง
ที่ชายแดนของ แคว้นเป่ยเอียน เสียงเกราะและฝีเท้าทหารดังระงมไปทั่วทั้งพื้นที่ เมื่อทัพของ เฉิงอู๋อ๋อง เข้ามาใกล้ชายแดนแคว้นเป่ยเอียน แดดร้อนแผดจ้า แต่การเคลื่อนไหวของทัพกลับรวดเร็วและแข็งแกร่ง ทหารที่อยู่หน้าด่านของแคว้นเป่ยเอียนที่เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวมานาน ได้รับข่าวและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการปะทะเฉิงอู๋อ๋อง นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาที่มองไปข้างหน้าไม่ว่อกแว่ก ทัพของเขาเต็มไปด้วยความพร้อมและความมุ่งมั่นที่จะบุกฝ่าเข้าไปยังแคว้นเป่ยเอียนเพื่อทวงแค้นให้กับ โตวโฮฉิน บิดาของ เว่ยจิน ที่ถูกสังหารอย่างโหดร้ายเว่ยจิน ยืนเคียงข้าง ไท่จือซางหลาง พวกเขาทั้งสองจับสายตากัน สายตาของ เว่ยจิน เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขากำมือแน่นจนกระดูกคดเคี้ยว แต่เขาก็ยังไม่ยอมอ่อนแอ"เจ้าพร้อมหรือไม่" ซางหลางถามเสียงเบา ยิ้มให้เว่ยจินอย่างเต็มใจที่จะร่วมมือกันในครั้งนี้"พร้อมแล้ว" เว่ยจินตอบเสียงหนักแน่น กำกระบี่ไว้แน่น มือไม่สั่นไป๋อวี้ ยืนเคียงข้าง เฉิงอู๋อ๋อง มือจับกระบี่เอาไว้แน่น ดวงตาเยือกเย็น ไม่น้อยหน้ากว่าผู้ใหญ่ แม้จะยังเยาว์วัย เขาก็เชื่อมั่นใ
“พี่สาวบอกว่าไม่สามารถทนเห็นพวกเขาต้องไปเผชิญเรื่องทุกข์เข็ญแล้วตัวเองทำอะไรไม่ได้ได้แต่นั่งรอที่นี่ และท่านแม่...พี่สาวพาพี่ไป๋ฮวาไปด้วยค่ะ”เจียวหยูยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง คำตอบนี้ทำให้เจียวหยูรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า ไม่อยากจะเชื่อว่า อี้หลิน บุตรีคนโตที่รักจะตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้“ช่วยรบ ไป๋ฮวาด้วย ทำไมไม่บอกข้า...ทำไมไม่พูดอะไรก่อนนั้น” เจียวหยูเกือบจะหลุดคำถามออกมาด้วยเสียงที่แตกพร่า น้ำตาของเธอเริ่มรื้นขึ้นมาที่ตาอี้เหยาเดินเข้ามาใกล้มารดาด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ...พี่สาวบอกว่าไม่อยากให้ท่านแม่รู้เพราะท่านแม่ห่วงใยพี่อี้หลินมากเกินไป...และพี่สาวเขาบอกว่าเขาเข้มแข็งพอ”เจียวหยูล้มตัวนั่งลงที่เก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด “จริงสิ...ทั้งสองคนคงไม่คิดให้ข้าห่วงเลยใช่ไหม พวกเขาเหมือนจะเห็นชีวิตนี้เป็นแค่ของพวกเขาที่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตัวเอง”“ท่านแม่...พี่สาวไม่ได้คิดร้าย...” อี้เหยาพูดเสียงเบาและหันไปมองมารดาเจียวหยูด้วยสายตาอ้อนวอนเจียวหยูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปหาประตูห้อง “ข้าจะไปหาพระชายา...ต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว ปล่อยไว้แบบนี้ไมไ่ด้จะต้องส่งคนไปตามหาทั้งส
“เจ้าดูดีแล้วไป๋ฮวา แบบน้ไม่มีใครจำจเ้าได้นแ่ถ้าปิดบังใบหน้าเสีย”“แล้วเจ้าเล่าอี้หลินสวมหน้ากากแบบนี้เจ้ากบน้อยจะต้องจำเจ้าได้แน่ๆ”“ช่างเขาสิข้าก็แค่ไม่ไปใกล้เขาก็เท่านั้น” ไป๋ฮวาถอนหายใจยาว“อี้หลิน...เราสองคนจะไปจริงๆ ใช่ไหม” ไป๋ฮวาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเล็กน้อยอี้หลินหันมามองไปที่ไป๋ฮวา ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ารู้ดีว่าข้าทำเช่นนี้เพราะอะไร...ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำให้แผนการของเราเดินหน้า เราสองคนคุยกันแล้วนี่ข้าไมไ่ด้บังคับเจ้าข้าอยากไปคนเดียวด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้า”ไป๋ฮวา พยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเข้าใจ... แต่ข้าก็รู้ดีว่าเสี่ยงมาก ถ้าเราถูกจับได้ เราจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”อี้หลิน หันกลับไปมองกระจกอีกครั้ง ยกมือขึ้นจับกระบี่ที่อยู่ข้างเอว ทำให้เงาของอี้หลินที่สวมหน้ากากอัปลักษณ์ในกระจกสะท้อนออกมาในท่าทางที่น่าเกรงขาม “หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อให้เรารออีกสักร้อยปีเราก็คงไม่ได้มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้วครั้งนี้เราไปช่วยพวกเขา ยามเพลี่ยงพล้ำถือว่าเราทำตัวมีประโยชน์ดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่” ไป๋ฮวา หันไปมองอีกครั้ง ที่ซึ่งทั้งสองคนต่างประคองกระบี่เล่มยาวที่เหน็บข้
เป่ยซวี ยืดตัวขึ้นจากบัลลังก์ มองไปยังทหารคนนั้นด้วยสายตาที่เด็ดขาด"เตรียมการรับมือไว้... ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงอำนาจของข้าเด็ดขาด บัญชาออกไปเตรียมพร้อมและเกณฑ์คนเพิ่มพร้อมเบี้ยหวัดที่สูงเพี่อล่อใจ"ทหารคนนั้น ขยับตัวตรง ขยับมือที่จับไว้ที่คมดาบของตนอย่างมั่นคง "รับบัญชาฝ่าบาท ข้าจะจัดทัพทันที"เป่ยซวี มองไปยังภาพสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาบัลลังก์และอำนาจที่เขาเคยมีไว้ในมือ เขายืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ข้าจะกวาดล้างทัพของพวกเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างเป่ยซวีไม่แน่จริงไม่มาถึงจุดนี้หรอก"เสียงฝีเท้าของทหารที่เดินออกไปจากห้องแสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบที่จะทำงานให้เสร็จตามคำสั่งของ เป่ยซวีแผนการเริ่มในหัวของเขาแล้ว การปกป้องบัลลังก์และความยิ่งใหญ่ของตระกูลเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ในมือของเว่ยจิน หรือใครก็ตามที่ต้องการแย่งชิงมันไปจากเขาในห้องโถงใหญ่ของปราสาท เป่ยซวียืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความมืดของค่ำคืน เหมือนกับทำนายถึงความไม่สงบที่กำลังจะมาถึง บรรยากาศรอบตัวเขาเงียบสงัด เสียงของทหารที่เดินไปมาดังแว่วจา
ไป๋ฮวา ยิ้มให้กับอี้เหยา แต่แววตายังคงมีความเศร้าอยู่ "ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าจะเชื่อว่าพวกเขาจะกลับมา"ซางหลางยิ้มเศร้าๆ ให้กับไป๋ฮวา เว่ยจินดึงชายเสื้อให้อี้เหยามองถุงหอมของเขา เพื่อรอยยิ้มของอี้เหยายามที่เขาต้องจากไป ไป๋อวี้ยื่นปิ่นปักผมพร้อมกับหยกคู่ไว้ในมือของอี้หลิน“ปิ่นนี่ท่านให้ข้าหรือ แล้วหยกชิ้นนี้เล่าท่านไม่พกมันติดตัวอีกแล้วหรือ”“ข้ามีแค่เจ้าก็ต้องให้เจ้าเจ้าอยากได้มันไม่ใช่หรือ ส่วนหยกนั่นจะกลับมารับเอาหยกคู่กับเจ้าในวันที่ข้ากลับมา …. อี้หลินรอข้า” อี้หลินยิ้มเศร้าๆเจียวหยูวางกระบี่ของตงเกาบนมือของสามีพร้อมกับรอยยิ้ม“ท่านจะต้องปกป้องท่านอ๋องด้วยชีวิตและรักษาตัวเองให้รอดกลับมาพบข้า” ตงเกาพยักหน้า โอบรอบไหล่บางของเจียวหยูเสียงเท้าของทหารที่เดินผ่านไปมา ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ขบวนทัพทั้งหมดจะเริ่มยกทัพเดินทางในไม่ช้า ท่ามกลางความเงียบสงัด มีแต่เสียงการสั่งการจาก เฉิงอู๋อ๋อง ที่ดังชัดเจนในสนาม"เริ่มเคลื่อนทัพ" เสียงคำสั่งของเขาดังก้องไปทั่วลาน หันมองอ้ายฉิงที่ยิ้มเศร้าๆ โบกมือลาตงเกา หันไปมอง เว่ยจิน ก่อนจะพยักหน้ากล่าว "ไท่จือ ไปก