ราวกับอินทรีสิงโตสามารถเข้าใจในสิ่งที่นางพูด มันก้มหัวกินยาสงบจิตเม็ดนั้นเข้าไปอย่างเชื่อฟัง“ดีมาก” กู้หว่านเยว่ลูบหัวของอินทรีสิงโตแล้วเดินออกไปข้างนอก“เป็นอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยเห็นความผิดปกติอะไรหรือไม่?” ทหารยามพลางล็อคกุญแจ พลางถามกู้หว่านเยว่“ข้ารู้แล้ว แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้ายังต้องไปศึกษาดูก่อน”ทหารยามพยักหน้า สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อกู้หว่านเยว่ องค์หญิงน้อยเก่งจริงๆ เพิ่งมาครู่เดียวก็มองปัญหาออกแล้วคนของอุทยานหลวงดูตั้งแต่เช้า ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย“รอข่าวจากข้า” กู้หว่านเยว่พูดทิ้งท้ายหนึ่งประโยค และกำลังจะหมุนกายจากไปในเวลานี้ กลับเกิดความปั่นป่วนขึ้นในอุทยานหลวง ม้าศึกที่ถูกขังอยู่ในคอกล้วนเริ่มกระสับกระส่ายสีหน้าทหารยามเปลี่ยนฉับพลัน และรีบไปยืนขวางตรงหน้ากู้หว่านเยว่ “องค์หญิงน้อย ท่านรีบไปเร็ว ไม่รู้ว่าใครปล่อยม้าบ้าตัวนั้นออกมา ม้าบ้าตัวนั้นสามารถเหยียบคนตายได้เลย”“ม้าบ้าอะไร?” กู้หว่านเยว่หรี่ตากวาดมองโดยรอบ นางรู้สึกได้ถึงความอันตรายแล้วชิงเยี่ยนก็ไปยืนขวางตรงหน้ากู้หว่านเยว่เช่นกัน “องค์หญิงน้อย ท่านไม่รู้หรอกว่าในอุทยานหลวงมีม
อินทรีสิงห์โตเอาแต่ขดตัวอยู่ที่มุม ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ของมันผ่านกรงเลยกู้หว่านเยว่หยิบขลุ่ยที่อยู่ตรงเอวขึ้นมา เป่าเพลงควบคุมสัตว์ให้มันผ่อนคลายก่อนหนึ่งเพลงเมื่อเห็นอารมณ์ของอินทรีย์สิงโตเริ่มสงบลง กู้หว่านเยว่จึงจะยกมือ “เปิดประตูกรง”ทหารยามของอุทยานหลวงกล่าวเตือน “องค์หญิงน้อยโปรดระวังด้วย”พลางหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูกรงเนื่องจากเมื่อครู่กู้หว่านเยว่เป่าเพลงควบคุมสัตว์ปลอบใจ ดังนั้นอินทรีสิงโตจึงไม่มีปฏิกิริยาที่รุนแรงมากนัก มันแค่เงยหน้ามองกู้หว่านเยว่แวบหนึ่งกู้หว่านเยว่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของมันเศร้าหมอง และเหมือนมีน้ำตาคลอด้วยพลันดวงตาชิงเยี่ยนเป็นประกาย “องค์หญิงน้อย นี่คืออินทรีสิงโตที่ขี่มาจากต้าฉีตงโจวตั้งแต่ต้น”การฝึกอินทรีสิงห์โตเป็นเรื่องยาก และตงโจวก็มีอินทรีสิงโตไม่เยอะนัก อินทรีสิงโตตัวนี้ยังอายุค่อนข้างน้อย และมันยังไม่ผลัดขนเป็นสีดำทั้งหมด ถือว่ายังอยู่ในวัยเด็ก ดังนั้นชิงเยี่ยนจึงจำได้ในปราดเดียว“ที่แท้มันเองเหรอ”กู้หว่านเยว่รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดมากขึ้นเล็กน้อยอินทรีสิงโตตัวนี้พาพวกเขาข้ามป่าป่าซิงโตวไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนางยิ่งรู้สึกสงสั
เขาพยักหน้า “ก็ดี ข้าจะให้ชิงเยี่ยนติดตามเจ้าไปด้วย” กู้หว่านเยว่โบกมือ จากนั้นก็พาชิงเยี่ยนเดินไปด้วยกัน ภายในห้อง เนื่องจากเมื่อครู่หนานโย่วตื่นตระหนกมากเกินไป กระทั่งเวลานี้ขาข้างนั้นก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ เขาโบกมือไปมา กวักมือเรียกคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายเข้ามา “อาอิง เจ้าคิดว่าองค์หญิงน้อยตงโจวที่เจอกันเมื่อครู่ผู้นั้นมีรูปโฉมเหมือนใคร?” อาอิงมีสีหน้างุนงง “เหมือนใคร? ไม่รู้สิ!” หนานโย่วกุมขมับอย่างหมดคำพูด “ช่างเถอะ ถามเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า” เทวรูปเทพธิดาถูกประดิษฐานไว้บนเจดีย์เก้าชั้น ภายในส่วนลึกของพระราชวังแคว้นเซียนหลิง ได้ใส่กลอนไว้อย่างแน่นหนา นอกจากสายเลือดราชวงศ์ของแคว้นเซียนหลิงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปในแคว้นเซียนหลิงได้ แม้แต่องครักษ์ที่ติดตามเขาดั่งเงาเหล่านี้ก็ยังต้องรออยู่ด้านนอก เนื่องจากเทวรูปเทพธิดาได้ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์เก้าชั้น เช่นเดียวกับตงโจวที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองจ่าวเจ๋อ มีข่าวลือว่าแคว้นเซียนหลิงคือร่างจำแลงแปลงกายของเทพธิดาองค์หนึ่ง เนื่องจากแคว้นเซียนหลิงเป็นสถานที่เดียวบนที่ราบแห่งความโกลาหลที่มีสี่ฤดูกาลดั่งฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้เบ่ง
ทูตของแคว้นเซียนหลิงต้องเจอกับอุปสรรคอย่างแน่นอน ระหว่างทางที่นั่งอินทรีสิงโตมา จู่ ๆ อินทรีสิงโตก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง สะบัดพวกเขาที่นั่งอยู่ด้านบนร่วงตก โชคดีที่พื้นดินด้านล่างมีหิมะหนาปกคลุม พวกเขารอดชีวิตมาได้ เพียงแต่องค์ชายของแคว้นเซียนหลิงขาหักหนึ่งข้าง “อินทรีสิงโตได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางทำคนร่วงตกง่าย ๆ เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ” นัยน์ตาของจงหลี่ฉายแววครุ่นคิด ระหว่างที่พูดนั้น กลุ่มคนดังกล่าวก็ได้เดินมาถึงศาลาพักม้าแล้ว คนใต้บังคับบัญชาได้จัดให้คนจากแคว้นเซียนหลิงพักที่นี่ชั่วคราว กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล เข้าไปดูก่อนว่ามีอะไรเกิดขึ้น” “ได้” ทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างใน หนานโย่วนอนอยู่บนเตียง ร้องอย่างเวทนาเป็นระลอก “ไอหยา เจ็บ ๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว” หมอผีที่ยืนขนาบเตียงสองข้างกำลังต่อข้าให้เขา “ตกลงพวกเจ้าทำได้ใช่หรือไม่ ข้าใกล้จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” หนานโย่วยังคงด่าทออย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาท ฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยของตงโจวเสด็จมาถึงแล้ว” ทหารรับใช้กล่าว หนานโย่วหันไปดูหน้าประตู สายตาของเขาปราดมองจงหลี่ก่อน เขาเคยเจอจงหลี่มา
ข้าไม่ได้จะพุ่งเป้าไปหาท่าน แค่คิดว่าฝ่าบาททรงงานหนักมาหลายปีเพื่อปกป้องราชอาณาจักรเอาไว้ ตั้งแต่ที่ท่านเข้ามากลับแย่งผลประโยชน์ทุกอย่างของฝ่าบาทไป มันมากเกินไป” นางมีความอดทนด้านอารมณ์ต่ำมาก วาจาที่เปล่งออกมาจึงฟังไม่ค่อยเข้าหูนัก “หุบปาก” จงหลี่กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ “ลากนางออกไปขังเดี่ยว” หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าจงหลี่จะปฏิบัติเช่นนี้กับนาง นอกจากนางจะเติบโตเคียงข้างจงหลี่มาตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว ทั้งตระกูลของนางก็ยังสละชีพเพื่อตงโจวเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการต่อตงโจวอีกด้วย ดังนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าของบิดาและมารดาของนาง ฝ่าบาทมักจะดีกับนางอยู่เสมอ คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ไร้ความรู้สึกเช่นนี้ “หรือเป็นเพราะน้องสาวที่แท้จริงของฝ่าบาทกลับมา จึงไม่ต้องการน้องสาวอย่างข้าแล้ว?” หลี่มู่รู้สึกเศร้าในใจ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ให้โอกาสได้นางพูดมากความ ก็ลากนางออกไป จงหลี่หันกลับมา “น้องหญิง เจ้าอย่าไปใส่ใจกับคำพูดของนางเลย” กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ไม่ต้องกังวล มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในราชสำนักเป็นเรื่องปกติ ข้าไม่เสียใจเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอกนะ” สองขัตติยะร่วมปรองดอง
ลูกพลัมแช่ขิงหนึ่งจาน น้ำแกงสองถ้วย ถัดไปคือน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวที่ร้อนกรุ่น กู้หว่านเยว่ตักชิมหนึ่งคำ จากนั้นก็หรี่ตาพลางพยักหน้า “อร่อยมาก” จงหลี่โล่งใจทันที “คิดว่าเจ้าจะไม่ชินกับอาหารบ้านเกิดเสียแล้ว” อาหารตงโจวมีความแตกต่างกับอาหารของต้าฉีแน่นอน วันนี้เขาให้พ่อครัวหลวงทำอาหารรสชาติที่เอนเอียงไปทางต้าฉี “พี่ใหญ่วางใจเถอะ ข้ากินได้” กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างปลอบใจ ก่อนหน้านั้นนางไม่เคยกินอาหารเลิศรสอะไรมาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะได้ชิม อาหารของตงโจวจึงมีความแตกต่างจากอาหารของต้าฉี แต่ก็ไม่ถึงขนาดแย่จนกินไม่ได้ จงหลี่ซดน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย “หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง” “เจ้าค่ะ” กู้หว่านเยว่พยักหน้า สองวันที่ผ่านมานี้ไม่มีอะไรทำพอดี จึงได้มีเวลาทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมประเพณีของตงโจว “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเจ้าค่ะ” ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรับประทานอาหารนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ไม่รู้จักกาลเทศะดังขึ้นด้านนอก จงหลี่กำลังขมวดคิ้วแน่น “มีธุระอะไรก็ค่อยว่ากัน” ตอนนี้การรับประทานอาหารกับน้องหญิงคือเรื่องที่สำคัญที่สุด เขามองกู้หว่านเย