“วางเมล็ดพันธุ์และวัสดุไว้ภายในลาน ใช้หมดแล้วค่อยให้คนไปยกมา” ซูจิ่งสิงเอ่ยปากชี้แนะดวงตากู้หว่านเยว่ทอประกายระยับ ความเห็นนี้ของซูจิ่งสิงไม่เลว ลดปัญหาได้มาก“เวลาไม่คอยท่า พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไปกับพวกท่านด้วย” ซูจิ่นเอ๋อร์ไล่ตามมา“ข้าจะเข้าเมืองไปซื้อผ้าสองพับมาตัดชุดใหม่ให้ท่านพ่อ”วันนี้นางถักเปียสองข้าง สวมเสื้อคลุมสีแดงผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งเพราะได้รับการดูแลจากยาเสริมความงามของกู้หว่านเยว่ คอยาวระหงส์คล้ายหงส์ขาวเย่อหยิ่งตัวหนึ่ง“เจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่ยามใด?”“เรียนจากหรานหร่านเจ้าค่ะ พัฒนาการของข้ายอดเยี่ยมมากนะ”“พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านยังเหม่ออันใดอยู่อีก รีบมาเร็วเข้าเถอะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ปีนขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ร้องเรียกคนทั้งสอง ถือสายบังเหียนตั้งสมาธิขี่ม้ามาถึงเมืองตู้เปียนก็สายแล้ว กู้หว่านเยว่พาซูจิ่นเอ๋อร์ไปยังจวนฟู่หลานเหิง“เจ้าเข้าไปพบใต้เท้าฟู่ก่อน ข้าและพี่ใหญ่เจ้ามีธุระต้องจัดการ”ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีวันไปพบเขา พี่สะใภ้ใหญ่ท่านพาข้าไปจวนจินเถอะ”อีกเดี๋ยวได้เจอตัวป่วนหยางหลิวอะไรนั่นอีก ก็กินอะไรไม่ลงแล้ว!
ฟู่หลานเหิงจับมือนางไว้อย่างแรง จุมพิตเร่าร้อนเจือกลิ่นอายสุราประกบกลีบปากนางฟู่หลานเหิงตระกองกอดซูจิ่นเอ๋อร์ บดเบียดกลีบปากแดงของนาง หางตากลับแดงก่ำ ภายใต้อาภรณ์สีครามคือความปรารถนาอันแรงกล้าซูจิ่นเอ๋อร์ลืมตาโตนี่ใต้เท้าฟู่กำลังจุมพิตนางหรือ?กลีบปากใต้เท้าฟู่เย็นมาก นุ่มมาก...ไม่ถูกๆ ซูจิ่นเอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังคิดอันใด?หลังมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นเอ๋อร์ใช้สองมือดิ้นหนีออกมา จากนั้นหยิบน้ำชาบนโต๊ะเสียงซ่าดังขึ้น สาดน้ำชาทั้งหมดใส่หน้าฟู่หลานเหิง“ใต้เท้าฟู่ ท่านตั้งสติหน่อย!” ซูจิ่นเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างมีโทสะฟู่หลานเหิงถูกน้ำชาสาดใส่จนได้สติ สายตาแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย สีหน้าอับอายจนกลายเป็นโกรธของซูจิ่นเอ๋อร์สะท้อนอยู่ภายในแววตาเขารู้สึกผิดขึ้นมาในทันใด“แม่นางจิ่น ข้ามิได้...”“ท่านหุบปาก ข้าจะออกไปเรียกบ่าวรับใช้เดี๋ยวนี้เลย!”ซูจิ่นเอ๋อร์โยนถ้วยชาไปที่อีกฝั่ง รีบเปิดประตูออกไป ฝีเท้าสะเปะสะปะอยู่บ้างไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบ่าวรับใช้จึงถูกคนเรียกไปในตอนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ตะโกนอยู่หลายครั้งถึงมีคนมาเห็นสภาพของห้องอุ่นแล้ว ทันใดนั้นตกใจจนวิญญาณหลุดลอยรีบไปเตรียมน้ำเย็น
ซูจิ่งสิงจับจ้องคนชุดดำทั้งห้า ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บคว้าคอคนอยู่ใกล้ที่สุดไว้แล้วคนชุดดำรีบดึงผ้าปิดหน้าลง “นายท่าน ข้าเอง! ข้าคือฮั่นจิ่ว”อีกสี่คนที่เหลือเองก็ดึงผ้าปิดหน้าลง คุกเข่าตรงหน้าซูจิ่งสิง“ฮั่นจิ่ว เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่?” สายตาซูจิ่งสิงทอดมองอีกสี่คนทางด้านหลังห้าคนนี้ล้วนเคยติดตามอยู่ด้านหลังเขา ผู้อยู่ใต้อาณัติที่ซื่อสัตย์ภักดีประกอบด้วยฮั่นจิ่ว ลู่จิง เจียงเฟิ่ง ชิงเหลียน หงเจาก่อนซูจิ่งสิงกลับเมืองหลวงก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวผิดปกติของฮ่องเต้ชั่ว เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย มอบเงินก้อนหนึ่งให้พวกเขาที่ชายแดน ให้พวกเขาแยกย้ายจากไปฮั่นจิ่วและคนอื่นสบตากันแวบหนึ่ง รีบเอ่ยต่อ “หลังข้าและคนอื่นจากไปแล้วก็ได้ยินเรื่องนายท่านกลับเมืองหลวงและถูกฮ่องเต้ยึดทรัพย์เนรเทศ จึงออกตามหาจากเมืองหลวง จนมาถึงเมืองตู้เปียน”วันนี้พวกเขากำลังดื่มชาในร้านชา สืบเบาะแสของซูจิ่งสิง ปรากฏว่าบังเอิญเห็นซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เดินออกจากเรือนทั้งห้ารีบไล่ตามมา วางแผนปรากฏตัวในที่ห่างไกลแห่งหนึ่งคิดไม่ถึงซูจิ่งสิงวิชายุทธ์แข็งแกร่งเหนือชั้น ขณะพวกเขาไล่ตามก็สั
ทั้งสองคนไปตลาดหาซื้อของกินเล็กน้อย จากนั้นกลับไปยังจวนฟู่ปรากฏว่ายังไม่ผ่านเข้าประตูก็มองเห็นความชุลมุนวุ่นวายภายในจวนฟู่ เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังสนั่น ยังได้ยินเสียงร้องโอดครวญอีกด้วย“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”กู้หว่านเยว่กังวลความปลอดภัยของซูจิ่นเอ๋อร์ รีบตามบ่าวรับใช้เข้าประตู หลังเข้ามาแล้วถึงมองเห็นหยางหลิวถูกจับตัวไว้ในลานบ้าน ส่วนอาจารย์หูกำลังถูกตี“นี่โวยวายอันใดกันเล่า?”“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่!” ซูจิ่นเอ๋อร์ปรี่ถลาเข้ามา จับคนทั้งสองไว้สีหน้าหวาดกลัว“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” กู้หว่านเยว่เช็ดเหงื่อแทนซูจิ่นเอ๋อร์ซูจิ่นเอ๋อร์รีบเอ่ยตอบ “หยางหลิวคนนี้มิใช่คนดี นางถึงขั้นวางยาใต้เท้าฟู่! ยังดีข้ามาทันเวลา หาไม่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น!”ที่แท้หลังฟู่หลานเหิงเกิดความคิดส่งหยางหลิวจากไป หยางหลิวก็กระวนกระวายทุกคืนวัน สรุปว่าติดสินบนอาจารย์หู ทั้งสองคนร่วมมือกัน วางแผนวางยาฟู่หลานเหิงหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก [1]คนภายในห้องหนังสือวันนี้ล้วนถูกอาจารย์หูเรียกตัวไปกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงฟังจบ ทั้งสองคนล้วนมองเห็นความตกตะลึงภายในสายตาของอีกฝ่ายก่อนนี้คิดว่าหยางหลิวเป็น
รุ่งเช้าวันต่อมา ฟู่หลานเหิงฟื้นคืนสติแล้ว สามารถจัดการงานราชการได้อย่างเป็นปกติกู้หว่านเยว่พูดเรื่องสร้างโรงเรือนปลูกผักภายในหมู่บ้านสือหาน ไปจนถึงแนวทางส่งเสริมหมู่บ้านแห่งอื่นฟู่หลานเหิงฟังจบแล้วก็ตกตะลึงพรึงเพริด “เจดีย์หนิงกู่หนาวเย็นทุรกันดาร ต้นไม้ใบหญ้าล้วนตายทั้งสิ้น ผักที่เจ้าปลูกจะสามารถอยู่ได้หรือ?”ฟู่หลานเหิงมองกู้หว่านเยว่อย่างลังเล แม้พูดว่ากู้หว่านเยว่มีชีวิตลำเค็ญในจวนโหว แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นให้นางไปปลูกผักหรอกกระมัง นางรู้เรื่องปลูกผักด้วยรึ?“หว่านเยว่ เจ้าอย่าได้นึกคึกคะนองไปชั่วขณะ ต้องการหาประสบการณ์ของชาวนาเป็นอันขาด” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราษฎร์ ฟู่หลานเหิงไม่สามารถเมินข้ามไปได้ยิ่งไปกว่านั้นเขาสงสัยมากว่าตกลงกู้หว่านเยว่มีเงินมากเพียงนั้นหรือ จ้างคนงานต้องใช้เงินไม่น้อยกู้หว่านเยว่รู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อธิบายหลักการของโรงเรือนปลูกผักให้ฟู่หลานเหิงฟังหนึ่งรอบจากนั้นพูดอย่างสุขุม“อีกสองเดือน ท่านไปดูโรงเรือนปลูกผักของข้า ดูว่าข้ากำลังเล่นสร้างบ้านอยู่หรือไม่”วันนี้เพียงมาบอกกล่าวฟู่หลานเหิงเท่านั้น ตรงข้ามกันมิใช่จะรีบสร้างโรงเรือนบนพ
กู้หว่านเยว่กลับหยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบ “พวกเจ้าใช้เงินนี้ก่อน หากไม่พอก็มาขอรับจากข้าได้อีก”“นี่?” สองสามคนมองตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง เบิกตากว้างเหม่อลอย ฮูหยินร่ำรวยเหลือหลาย!“นี่เกรงใจแล้ว ฮูหยิน พวกเราไม่สามารถรับเงินนี้ได้”“ใช่แล้ว ท่านใช้ชีวิตในหมู่บ้านสือหานอย่างอย่างลำบาก จะต้องมีเรื่องให้ใช้เงินมากมาย พวกเราไม่สามารถรับเงิน...”เจียงเฟิ่งทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งอ้ากระเป๋าการกระทำนี้ทำเสียจนกู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะออกมา ยัดตั๋วเงินเข้ากระเป๋าของเขาแล้ว เอ่ยปากยิ้มๆ“เก็บไว้เถอะ พวกเจ้าอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก เงินนี้มิได้ให้ไปโดยเสียเปล่า เห็นของในเรือนแล้วหรือไม่ ช่วยข้าดูแลสิ่งเหล่านี้ๆดี ภายภาคหน้ายังต้องให้พวกเจ้าช่วยขนของแทนข้า”พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งหงเจาชะงักงันขณะเอ่ย “ฮูหยิน มิสู้ตบหน้าข้าสองทีเถอะ เงินนี้ได้มาง่ายดายเกินไปแล้ว ข้าเกรงใจ”“ใช่แล้วๆ มิสู้ท่านตีพวกเราสองคนเลยก็ย่อมได้ ละอายใจต่อเงินนี้ยิ่งนัก!”กู้หว่านเยว่ ‘ซูจิ่งสิงคนสำรวมตนคนนั้น เหตุใดมีผู้อยู่ใต้อาณัติไม่สำรวมตนเพียงนี้’“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านวางใจเถอะ พวกเราจะเฝ้าของเหล่านี้ดีๆ”เห็นว่าซูจ
“ได้ หัวหน้าหมู่บ้านเดินช้าๆ จิ่นเอ๋อร์ ไปหยิบไก่ย่างมาครึ่งตัว มอบให้หัวหน้าหมู่บ้านนำกลับไปด้วย”หัวหน้าหมู่บ้านโจวรีบโบกมือ “ไม่ต้องๆ มิได้ทำความดีความชอบจะรับรางวัลได้อย่างไร ไฉนเลยจะกินของบ้านท่านได้”“หัวหน้าหมู่บ้านรับไว้เถอะ ภายภาคหน้าเรื่องโรงเรือนปลูกผักยังต้องรบกวนท่านอีกไม่น้อย”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางเดินไปส่งหัวหน้าหมู่บ้านโจวที่หน้าประตู ส่งไก่ย่างให้อีกฝ่ายมองส่งหัวหน้าหมู่บ้านโจวจากไป กู้หว่านเยว่ยุ่งเท้าไม่ติดพื้นตลอดทั้งวัน นับว่ามีเวลานอนพักผ่อนแล้วหมุนตัวอย่างเหนื่อยล้า ใครรู้เพียงหมุนตัวกลับก็มองเห็นหวังปี้วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ“แม่นางกู้ เจ้าอยู่ก็ดีแล้ว รีบมาช่วยข้าช่วยชีวิตคนเถอะ”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกหวังปี้พาไปทางเรือนของซูหรานหร่านแล้ว“แม่ทัพหวัง ท่านต้องการช่วยใคร?”“เจ้าตามข้ามาดูเถอะ” หวังปี้เปิดประตู พากู้หว่านเยว่มาหยุดตรงหน้าผู้ได้รับบาดเจ็บหนักคนหนึ่งอีกฝ่ายเลือดออกทั้งตัว ลมหายใจรวยรินกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น นี่อาการหนักเกินไปแล้ว หากมาช้าอีกเพียงเสี้ยววินาที ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยไว้ไม่ได้“ท่านออกไปก่อน ห้ามเข้ามารบกวน
เมี่ยชิงหว่านมองทางเขาอย่างตกตะลึง ซูจื่อชิงหลบเลี่ยงสายตาอย่างว้าวุ่นใจ เอ่ยอธิบาย“อย่างไรเสียเจ้าก็เคยช่วยข้าไว้ ข้าไม่สามารถมองดูเจ้าไปส่งมอบความตายเพียงลำพังได้ ข้า ข้าสามารถปกป้องเจ้าได้”ซูจื่อชิงเองก็ไม่รู้ตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ได้ยินว่าเมี่ยชิงหว่านต้องการไปตามหาหนานหยางอ๋อง เกิดว้าวุ่นใจขึ้นมาในทันใด ร้อนใจต้องการไปด้วยกันกับนาง“เจ้าไม่สามารถไปกับข้าได้ เจ้าไม่มีวิชายุทธ์”เมี่ยชิงหว่านเอ่ยปฏิเสธ ซูจื่อชิงไม่มีวิชายุทธ์ ตามไปด้วยก็อันตรายเกินไป“เหตุใดจะไม่ได้ เจ้ารังเกียจข้ารึ?” ซูจื่อชิงเสียใจอยู่บ้างทั้งสองคนทางฝั่งนี้กำลังเถียงกัน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับตกอยู่ในภวังค์ความคิดหากหวังปี้พูดเรื่องจริง นั่นหมายความว่าฮ่องเต้ชั่วเริ่มลงมือกับหนานหยางอ๋องอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ระหว่างหนานหยางอ๋องและฮ่องเต้ชั่ว ไม่มีทางให้หวนกลับมาคืนดีกันได้อีกศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของข้าหลักการนี้ หากสามารถดึงหนานหยางอ๋องแม่ทัพผู้เฒ่ามาเป็นพรรคพวกของพวกเขาได้ภายภาคหน้าล้มฮ่องเต้ชั่วก็เป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้นสองสามีภรรยาปรึกษากันอยู่นาน ลงท้ายตัดสินใจ ตามพวกเขาไปช่วยหนานหยางอ๋อง
“ท่านพี่หญิง เพื่อช่วยพวกท่าน เกือบจะต้องแต่งงานกับวูเหมิงแล้ว ตอนนี้นางยังรอพวกท่านอยู่ที่บ้าน หากพวกท่านไม่อยากให้นางเป็นห่วง ก็ตามข้ามาดี ๆ เถิด”“เจ้า!”นายท่านชวีหมดหนทางแล้ว นายหญิงชวีจึงเกลี้ยกล่อม “ลูกพูดถูกแล้ว รีบกลับบ้านกันเถิด”“ที่เขาทำไปก็เพื่อช่วยพวกเราเช่นกัน”“กว่าพวกเราจะหนีออกมาจากสถานที่บ้า ๆ นั่นได้ ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือกลับบ้านก่อน”“ก็ได้” นายท่านชวีพยักหน้าอย่างจนใจ“ตามข้ามา”ชวีเฟิงพาทั้งสองคนกลับไปยังสถานที่ที่เขากับกู้หว่านเยว่ผูกม้าไว้ก่อนหน้านี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ กู้หว่านเยว่กลับมารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว“พระมเหสี?”ชวีเฟิงวิ่งเข้าไปข้างหน้าด้วยความตกตะลึง“เหตุใดท่านจึงมาถึงเร็วกว่าพวกเราเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ?”กู้หว่านเยว่อารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย เมื่อครู่นี้ นางเก็บผลึกสีน้ำเงินข้างล่างไปจนหมดเกลี้ยงแล้วคราวนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยเลยทีเดียวอีกทั้งยังได้ศาสตร์ศพพิษนั่นมาอีก สามารถนำไปศึกษาค้นคว้าให้ดีได้“ข้าใช้ทางลัดออกมา ก็เลยเร็วกว่าพวกเจ้าหน่อย ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน พวกเรารีบไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่พลิกตัวขึ้นม้า“พวกคนงานเหมื
“ใต้เท้า ไฟรุนแรงขนาดนี้ ดับไม่ทันแล้วขอรับ อีกอย่างห้องปรุงพิษก็ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว”“อะไรนะ ห้องปรุงพิษถูกเผาแล้วหรือ?”สีหน้าของวูเหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะกระโดดขึ้นมาในทันทีใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่สนใจจะพูดคุยกับหน่วยลาดตระเวนอีกต่อไป รีบเดินโซซัดโซเซไปยังทิศทางของห้องปรุงพิษพอเขาได้เห็นห้องปรุงพิษที่กลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน เขาก็ตกตะลึงจนตาค้าง“ของล่ะ ของที่อยู่ข้างในล่ะ?”ข้างในยังมีไฟลุกไหม้อยู่ วูเหมิงก็พุ่งเข้าไปโดยตรง โชคดีที่คนที่ตามมาขวางไว้ได้ทัน“ไม่ ของที่ข้าศึกษาค้นคว้ามานานขนาดนี้ หยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้าสูญเปล่าหมดแล้ว!”วูเหมิงแสดงสีหน้าราวกับแตกสลายเขาได้รับคำสั่งจากราชินี ให้มาทำการศึกษาค้นคว้าที่นี่ เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วภายในห้องปรุงพิษแห่งนี้ มีหลายสิ่งที่เป็นผลงานจากการศึกษาค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนของเขา แต่ตอนนี้กลับมอดไหม้ไปในกองเพลิงจนไม่เหลือซากเขาไม่เพียงแต่กังวลว่าราชินีหนานเจียงจะตำหนิเขา แต่ยังเจ็บปวดใจยิ่งกว่าที่ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง“ใต้เท้า ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ ข้างในไฟรุนแรงเกินไป ถ้าท่านเข้าไป ก็จะออกม
คนของหน่วยลาดตระเวนก็ไม่ได้สงสัยอะไร พอเดินมาถึงตรงหัวมุม กู้หว่านเยว่ถึงได้เดินแยกไปอีกทาง นางต้องการจะเก็บผลึกสีน้ำเงินในบริเวณนี้ไป“ระบบ เตรียมคลังสำหรับเก็บผลึก”กู้หว่านเยว่แจ้งระบบเสียงหนึ่ง ตามด้วยเสียง “ติ๊ด ๆ ๆ ” ดังขึ้นในหัว นางก็เคลื่อนไหวด้วยจิต ผลึกที่เห็นในทุกที่ที่นางผ่านไปก็ถูกเก็บเข้าไปในคลังจากนั้นก็ถือโอกาสวางเพลิงอีกครั้ง เพื่อสร้างความโกลาหลไม่นานนัก ทั่วทั้งถ้ำเหมืองเบื้องล่างก็ตกอยู่ในสภาพจลาจล ควันไฟหนาทึบลอยคลุ้งไปทั่ว“แย่แล้ว ไฟไหม้ ไฟไหม้แล้ว!”เมื่อเห็นสถานการณ์ไฟลุกลามข้างใน แม้แต่คนของหน่วยลาดตระเวนก็กังวลว่าจะต้องมาทิ้งชีวิตน้อย ๆ ไว้ที่นี่ ต่างก็พยายามวิ่งหนีออกไปข้างนอกกู้หว่านเยว่เห็นว่าสถานการณ์ความวุ่นวายถูกสร้างขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงเข้าไปในมิติเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นชุดของตนเอง พร้อมกับโยนวูเหมิงทิ้งไปจากนั้น นางก็เทเลพอร์ตไปยังปากถ้ำ แล้วหยิบปืนพ่นไฟกระบอกหนึ่งออกมาจากในมิติทุกที่ที่ปืนพ่นไฟผ่านไป แมงมุมที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นเหล่านั้นก็ล้วนกลายเป็นเถ้าถ่านนางบุกนำหน้าไปเพื่อเปิดทาง จัดการเผาแมงมุมในอุโมงค์ใต้ดินจนหมดสิ้นทุกครั
หลังจากเปิดห้องขังที่อยู่โดยรอบทุกห้องแล้ว กู้หว่านเยว่ก็อาศัยช่วงชุลมุน หายวับเข้าไปในมิติทันทีเมื่อนางออกมาจากมิติอีกครั้ง ก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว“วูเหมิง?!”ชวีเฟิงร้องเสียงหลง เขาเพิ่งจะพาท่านผู้เฒ่าทั้งสองของสกุลชวีออกมาจากคุกใต้ดิน ก็เหลือบไปเห็นวูเหมิงยืนอยู่ตรงหน้าท่ามกลางความตื่นตระหนก ก็รีบชักอาวุธออกมาทันที“เสี่ยวเฟิง ระวังนะ” นายท่านชวีกล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง ส่วนนายหญิงชวีก็แสดงสีหน้าวิตกกังวลเต็มเปี่ยม“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวพวกท่านวิ่งหนีไปเลยนะขอรับ”ชวีเฟิงกล่าวเสียงเบา ๆ “วูเหมิง” หันศีรษะกลับมา เลิกคิ้วเล็กน้อย “เจอพ่อแม่เจ้าแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”น้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้...“พระมเหสี?” ชวีเฟิงเอ่ยถามอย่างลองเชิงจนปัญญาจริง ๆ “วูเหมิง” ที่อยู่ตรงหน้าช่างเหมือนจริงเหลือเกิน แม้กระทั่งแววตาดูแคลนและความหยิ่งผยองบนใบหน้าก็เหมือนจริงอย่างยิ่ง“อืม ข้าเอง”กู้หว่านเยว่พยักหน้าเล็กน้อยชวีเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก “เป็นท่านก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ข้าน้อยยังคิดว่าเจ้าวูเหมิงนั่นตื่นแล้ว ตกใจหมดเลย”วูเหมิงเป็
แม้แต่หน่วยลาดตระเวน ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ถ้ำมากเกินไปได้ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นในทันทีว่าถ้ำเกิดไฟไหม้กว่าจะมองเห็นควันดำลอยออกมาจากในถ้ำ ก็สายเกินไปเสียแล้ว“แย่แล้ว ยังมีท่านผู้ใหญ่อีกสองท่านอยู่ในถ้ำนี้ ยังไม่ได้ออกมา!”“สองคนนั่นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่ตอนนี้ห้องปรุงพิษถูกไฟไหม้ การศึกษาค้นคว้าและข้อมูลข้างในถูกทำลายจนหมดสิ้น พวกเราจะไปรายงานราชินีได้อย่างไร?”หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแสดงสีหน้าย่ำแย่พวกเขาล้วนเป็นทหารส่วนพระองค์ของราชินี ย่อมรู้ดีว่าสิ่งของในห้องปรุงพิษนี้มีความสำคัญเพียงใด“ห้องปรุงพิษไม่มีทางลุกไหม้ขึ้นมาเองโดยไม่มีสาเหตุ ต้องมีคนบุกรุกเข้ามาแน่ ๆ !”หัวหน้าหน่วยหรี่ตาลง ในใจพลันปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาแวบหนึ่ง“ท่านวูเหมิงเล่า?”“วันนี้เป็นวันแต่งงานของท่านวูเหมิง เขาลาหยุดไปแล้ว จึงยังไม่ได้กลับมาขอรับ”“คราวนี้เรื่องแย่แล้ว” หัวหน้าจึงตัดสินใจทันที “พวกเจ้ารีบไปปิดทางออกทุกทาง ห้ามใครออกไปเด็ดขาด ส่วนคนที่เหลือไปดับไฟกับข้า ช่วยอะไรได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น”“ขอรับ”หัวหน้านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงสั่งต่อว่า“ไปสั่งหน่วยลาดตระเวนอื่น ๆ ให
“เจ้า...” เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี่คือผู้หญิงคนหนึ่งภายในห้องปรุงพิษไม่มีคนงานเหมืองที่เป็นผู้หญิง“ใครก็ได้!”เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวังทันที ทั้งสามคนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก กู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงข้ามก็มาถึงตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา แล้วหักคอของเขาโดยตรง“อึก...” เขาทำได้เพียงส่งเสียงลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรงเสียงนั้นทำให้อีกคนตกใจ ทว่าเขาตายเร็วกว่าคนก่อนหน้าด้วยซ้ำ แม้แต่ใบหน้าของกู้หว่านเยว่ก็ยังไม่ได้เห็น ก็ถูกปลิดชีพไปแล้วกู้หว่านเยว่เช็ดมือ สายตาเลื่อนผ่านร่างไร้วิญญาณทั้งสองไปโดยปราศจากความใจอ่อนระหว่างทางที่นางมา ก็เห็นโครงกระดูกจำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นของคนงานเหมืองผู้บริสุทธิ์คนของห้องปรุงพิษแห่งนี้ ไม่ควรค่าแก่ความเห็นใจเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนถูกจัดการแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปมองเอกสารและขวดยาที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือนางเดินเข้าไปหยิบออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นเปิดดูคร่าว ๆ สิ่งที่เขียนอยู่ข้างในนั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมลงพิษสังหารคนอย่างราชาแมงป่องพิษ ก็เป็นยาต้องห้ามชนิดต่าง ๆ เช่
กู้หว่านเยว่พยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้เขาใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามตอนนี้นางต้องสืบความลับของห้องปรุงพิษนี้ให้กระจ่างเสียก่อน“ท่านผู้กล้าทั้งสอง คำถามที่พวกท่านต้องการถาม ข้าน้อยได้ตอบไปหมดแล้ว จะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง?”ชายคนนั้นคุกเข่าลง อ้อนวอนทั้งสองคน“พวกเราล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เดิมทีพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านที่ขุดเหมืองอยู่ข้างนอก แต่กลับถูกจับมาโดยไร้เหตุผลไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วขอรับ”พวกเขาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพ่อแม่ลูกเมียที่บ้านยังรอพวกเขาอยู่หรือไม่ แต่พวกเขาก็ยังอยากกลับไปดูสักหน่อย“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก”กู้หว่านเยว่เป็นคนรักษาสัญญา นางเคยบอกไว้ว่าขอเพียงคนเหล่านี้ตอบคำถามดี ๆ นางก็จะไม่ฆ่าพวกเขาในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางผิดคำพูดของตนเอง“หากพวกเจ้าเชื่อใจข้า ข้าก็จะพาพวกเจ้าออกไปด้วยกัน”การถูกคุมขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ ช่างน่าสงสารจริง ๆ หากกู้หว่านเยว่ไม่พบเจอพวกเขาก็แล้วไป แต่เมื่อได้พบแล้ว ก็ตั้งใจจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้“จริงหรือ ท่านยินดีช่วยพวกเราออกไปจริง ๆ หรือขอรับ?”คนเหล่าน
หลังจากตั้งใจแล้ว สายตาของเขาก็ฉายแววคลั่งไคล้ขึ้นมาแวบหนึ่ง ศาสตร์ความเป็นอมตะ สำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น จะเป็นสิ่งยั่วยวนใจอันยิ่งใหญ่สักเพียงไหนกัน?ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หวั่นไหวรวมทั้งชวีเฟิงก็เช่นกันชายที่ตอบคำถามเมื่อครู่กล่าวว่า “ที่แท้พวกท่านก็ไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ คงต้องเริ่มเล่าจากงูยักษ์ตัวที่อยู่ตรงหน้าพวกท่านตัวนี้”“เกี่ยวข้องอะไรกับงูยักษ์ตัวนี้หรือ?”กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้วไม่ใช่ว่านางเชื่อเรื่องศาสตร์ความเป็นอมตะ นางรู้ดีว่าเรื่องพรรค์นี้มันช่างเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ เพียงแต่สงสัยว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่“ที่นี่เดิมทีเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อสิบปีก่อนมีคนงานเหมืองคนหนึ่งพบงูยักษ์ที่นี่ ถึงแม้งูยักษ์ตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่ร่างของมันกลับไม่เน่าเปื่อย เรื่องนี้ไม่ทราบว่าไปเข้าถึงหูของราชินีได้อย่างไรราชินีทรงคิดว่า สามารถค้นพบความลับของความเป็นอมตะได้จากร่างของงูยักษ์ตัวนี้”ชวีเฟิงได้สติกลับมา สิบปีก่อน นั่นไม่ใช่ตอนที่ราชินีหนานเจียงสร้างห้องปรุงพิษขึ้นมาหรอกหรือ?“ดังนั
“ชู่ว์ หลบไปข้าง ๆ”คนที่มาค่อนข้างเยอะ ประมาณห้าหกคนได้ โชคดีที่พวกเขาหลบได้เร็วคนทั้งห้าหกคนนี้ สวมสิ่งที่คล้ายหน้ากากป้องกันแก๊สพิษไว้บนใบหน้า และในมือก็ถือเครื่องมืออยู่ด้วยตอนนี้กู้หว่านเยว่ยังคงอยู่ในสภาวะสับสนกับห้องปรุงพิษ อีกทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร จึงตัดสินใจแอบตามพวกเขาไปเงียบ ๆ เผื่อว่าจะได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรบ้าง“ต้องมาเอาของข้างในตัวงูนี่อีกแล้ว น่าขยะแขยงจริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบสิ้นสักที”เป็นไปตามคาด ตามไปได้ครู่เดียว พวกเขาก็ได้ยินคนบ่นขึ้นมา“ทน ๆ ไปเถอะน่า ก็อีกไม่เท่าไรแล้ว”“จะทนอย่างไรเล่า สามปีแล้ว สามปีแล้วที่ข้าไม่ได้ออกไปไหนเลย”คนอื่น ๆ ที่เหลือได้ยินดังนั้น ต่างพากันถอนหายใจพวกเขาไม่อยากออกไปหรืออย่างไรเล่าแต่เมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว การจะออกไปนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งแล้ว“พวกเจ้าว่า หากไม่มีงูตัวนี้แล้ว ราชินีจะปล่อยพวกเราออกไปหรือไม่?”“หรือว่า จะฆ่าปิดปาก?”หนึ่งในนั้นทำท่าทางบางอย่าง คนอื่น ๆ ก็หน้าซีดเผือดไปตาม ๆ กัน“เป็นไปไม่ได้หรอก”ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจพวกเขาก็ไม่ม