เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย!เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว ลูกต้องตายจาก พ่อแม่พี่ชายพลัดพราก ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง ช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง
ดูเพิ่มเติมบทนำ
หลี่อ้ายเฉินทุ่มเทเพื่อความรักอย่างหมดใจ แม้จะต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้นั้นมีอยู่จริง หวังเพียงแต่งงานมีครอบครัวที่รักอบอุ่นและรักใคร่ หวังเพียงได้พบเจอบุรุษที่รักนางที่นางเป็นนาง หาใช่ทรัพย์สมบัติที่ตระกูลนางมี แล้ววันหนึ่งนางก็ได้พบบุรุษผู้นั้น
เจ้าเมืองหนุ่มผู้เที่ยงธรรม
ทั้งสองแต่งงานกัน แต่หลังจากแต่งงานกันทุกสิ่งอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่นางหวัง หยางพ่านชุนเย็นชากับนางยิ่งกว่าแม่น้ำในหน้าหนาวเสียอีก
แม้เกิดเหตุร้ายครั้งใหญ่ เมืองหลวงอย่างลั่วหยางระส่ำ เมืองท่าห่างไกลอย่างเมืองเฉิงก็ได้รับผลกระทบ
หลี่อ้ายเฉินต้องพลัดพรากจากพ่อแม่พี่ชาย ด้วยหน้าที่ของเขาในฐานะเจ้าเมือง เขาสามารถช่วยชีวิตทุกคนในเมืองเฉิงเอาไว้ได้ เว้นแต่นาง เว้นแต่ครอบครัวของนาง ลูกคนเดียวต้องตายจาก เนื่องจากเขาไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวของนางได้
เลือกสามีผิดคิดจนตัวตาย! เป็นเช่นไรรู้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว
เมื่อมีโอกาสให้ย้อนกลับมาอีกครั้ง นางตัดสินใจที่จะถอยห่างจากเขาและอดีตที่เคยขมขื่น แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยนางไป ทั้ง ๆ ที่ในอดีตเขาเคยเย็นชากับนางอย่างยิ่ง ความพยายามตัดใจจากเขากลับกลายเป็นการท้าทายให้เขากลับมาหานางอีกครั้ง แม้ว่านางจะพยายาม
ตัดบัวไม่ให้เหลือใย ยามตัดใจย่อมไม่ให้เหลือรัก
แต่การตัดใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในเมื่ออดีตและความรู้สึกยังคงตามมาดั่งเงาตามตัว
บทที่ 1
เช้ามืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านหน้าต่างที่แง้มไว้ หลี่อ้ายเฉินนั่งอยู่บนเตียงนอนเก่า ๆ เพียงลำพัง
ห้องนอนที่เคยเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของบุตรชาย บัดนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาและความทรงจำที่แสนเจ็บปวด หญิงสาวผู้เคยงดงามสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีเงินงามอร่ามตา นางนั่งกอดภาพวาดเสมือนจริงของบุตรชายไว้แนบอก น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย
"หากบุตรชายข้ายังอยู่ ข้าคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้...เสี่ยวชิงเอ๋อร์ลูกแม่ เป็นแม่ที่ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้"
นางสะอื้อไห้กับตัวเองเสียงแผ่วเบา ราวกับจะให้เสียงนั้นไปถึงวิญญาณของบุตรชายที่ล่วงลับไปแล้ว
แสงเช้ามืดเริ่มส่องผ่านเล็ดลอดหน้าต่างเข้ามา จนสาดส่องให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นจากความทุกข์ทรมานของหลี่อ้ายเฉิน นางค่อย ๆ วางภาพวาดบุตรชายลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบจดหมายที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จดหมายลาตายที่นางเขียนถึงครอบครัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่...ขอโทษที่อ้ายเฉินไม่อาจอยู่ต่อได้อีกแล้ว ความทุกข์ทรมานนี้มันเกินที่ข้าจะทนไหว...ข้าไม่อาจทนมันได้อีกแล้ว”
นางจรดปลายพู่กันเขียนลงบนกระดาษขาว ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านลายมือที่สั่นเทา
หลี่อ้ายเฉินนึกย้อนกลับไปในวันที่บุตรชายตายจากไป วันนั้นฝนตกหนักมาก นางนั่งเฝ้าเสี่ยวชิงที่กำลังเจ็บป่วยบนเตียง มือน้อย ๆ ที่เคยจับนางไว้แน่นค่อย ๆ ผ่อนคลายลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออีกต่อไป
"ท่านแม่...ข้าหนาว..."
เสียงเล็ก ๆ แหบแห้งของบุตรชายยังดังก้องในความทรงจำ นางพยายามห่มผ้าให้เขาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ในที่สุดเสี่ยวชิงก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของนางเอง
หลี่อ้ายเฉินหลั่งน้ำตาออกมาราวกับจะกลายเป็นสายเลือด นางแทบสิ้นใจตามบุตรชายไปเสียเดี๋ยวนั้น นางกอดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายคนเดียวเอาไว้ทั้งคืนอยู่เช่นนั้น ไร้เงาของคนเป็นสามี คนเป็นบิดา
หลี่อ้ายเฉินหันกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ดวงตาหมองหม่นทอดมองไปยังภาพเหมือนเสี่ยวชิงที่ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดของนางท่วมท้นในใจ
"ท่านพี่...ทำไมท่านถึงเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ ลูกของเราต้องตายไปเพราะท่านไม่เคยใส่ใจ...ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา ท่านเป็นคนดี ทำหน้าที่เจ้าเมืองที่ดีดูแลปวงประชาอยู่เสมอ แต่เมื่อยามเป็นเรื่องของข้าหรือลูก ท่านกลับไม่เคยคิดใส่ใจ เพราะเหตุใดกัน เกลียดชังอันใดต่อข้านักหนางั้นหรือ หากเกลียดข้าแต่เสี่ยวชิงเป็นบุตรชายคนเดียวของท่าน ใยไม่เหลี่ยวแลเขาบ้าง สักนิดก็มีให้ได้เลยหรือ"
นางพูดกับตัวเองทั้งน้ำตา คำพูดที่ไม่เคยเอ่ยมา ตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าจวนเจ้าเมืองมา นางกล้ำกลืนความทุกข์ระทมนี้มาเพียงลำพังมาตลอด ผู้คนอาจกล่าวว่าหลี่อ้ายเฉินนั้นโชคดีเพียงไรที่ได้แต่งงานเป็นภรรยาของเจ้าเมือง ผู้เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลจากเมืองหลวง
แต่ไม่เลย
ภรรยาผู้นี้ไม่เคยได้รับความเมตตาจากสามีผู้แสนดีของชาวเมืองเลยสักครั้ง ความใจดีและเมตตาของเขามีไว้เพื่อประชาชน ชาวบ้านในเมืองเท่านั้น หาใช่คนในครอบครัวไม่ หาใช่สำหรับนางไม่
หลี่อ้ายเฉินนั่งกอดชุดของบุตรชายพลางร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด บุตรชายของนางจากไปหลายวันแล้วแต่ผู้เป็นบิดากลับยังไม่มีข่าวคราวและเงียบหาย
ตั้งแต่บุตรชายมีท่าทางแปลก ๆ นางก็ส่งจดหมายให้กับสามีที่ออกไปช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว การไม่มีข่าวคราวตอบกลับมามันเป็นเรื่องปกติ แต่นางก็ยังคิดว่าสามีจะกลับมาผ่านในวันสองวัน แต่ก็ไม่
“ฮูหยินกินอะไรบ้างเถอะเจ้าคะ หากฮูหยินไม่กินคุณชายน้อยรู้จะยิ่งเสียใจนะเจ้าคะ” สาวใช้ประจำตัวรวมถึงแม่นมไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับภรรยาเจ้าเมืองที่นั่งดวงตาเหม่อลอยอยู่ที่หน้าโล่งศพของบุตรชาย
มือเรียวของอ้ายเฉินจิกแน่นเข้าไปในมือที่จับชุดเอาไว้ มันแน่นจนเล็บของนางจิกเข้าไปในมือของตัวเองจนเลือดซึม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่นางได้รับจากการสูญเสียบุตรชายเลยแม้แต่นิด
เลือดและน้ำตาหยดใส่ชุดผ้าดิบหยดแล้วหยดเล่าก่อนที่ใบหน้าสวยที่ซีดเซียวจนไร้เรี่ยวแรงจะยิ้มเยาะให้กับชีวิตของตน
“พวกเจ้าออกไปเถอะ แล้วก็วันพรุ่งหากท่านเจ้าเมืองไม่กลับมาก็ฝังคุณชายน้อยเถอะ” ใครจะคิดว่านั่นจะเป็นคำสั่งสุดท้ายของนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมือง
หลี่อ้ายเฉินตัดสินใจแน่วแน่ หยิบยาพิษที่เตรียมไว้ขึ้นมาดื่มจนหมด ความเย็นไหลผ่านลำคอ นางรับรู้ได้ถึงความเย็นที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ก่อนที่จะทรุดตัวลงบนเตียง
"ลูกรัก...แม่จะตามไปหาเจ้าแล้ว"
เสียงสุดท้ายของนางเบาจนแทบไม่ได้ยิน ร่างบางกระอักเลือดออกมาคำโตจนกระทั่งร่างเล็ก ๆ ในชุดสีขาวเงินงดงามก่อนหน้านี้ จมอยู่กลางกองเลือดสีแดงชาด ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
ห้องนอนกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงภาพวาดบุตรชายที่ยิ้มแย้มบนภาพวาดที่ติดอยู่ข้างผนัง เปรียบเสมือนเป็นพยานแห่งความรักและความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมเลือนได้
ในตอนเช้าแม่นมและสาวใช้เจอฮูหยินในสภาพน่าสลด บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา แต่มันกลับมิได้ใส ที่คนว่าร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดคงจะเป็นจริงเสียแล้ว และร่างของฮูหยินที่ไร้ลมหายใจบนเตียงนอนเย็นเฉียบ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝั่งร่างบุตรชายไปไม่นาน
ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่มองรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เมื่อคนมีอายุมากกว่าต้องส่งคนอายุน้อยกว่าข้ามสะพานไน่เหอย่อมเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าฮูหยินของท่านเจ้าเมืองนางจะตายไปจริง ๆ
ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ความทรมานให้กับคนที่อยู่ด้านหลังที่ไม่สามารถชดเชยอะไรได้อีกแล้ว เพราะเลือกชีวิตของชาวบ้านนับร้อยจึงต้องแลกกับชีวิตของคนที่รักทั้งสองคน แม้จะสำนึกแต่ก็สายไปเสียแล้ว
บทที่ 41หลังจากการสอบสิ้นสุด จอหงวนใหม่ก็ถูกย้ายมาเป็นเจ้าเมือง แน่นอนว่าคนคนนั้น คือคนที่ทั้งเมืองแห่งนี้รู้จักดี เพราะคือบุตรชายของอดีตเจ้าเมือง ในยุคบิดาทำดีมาเช่นไร ยุคบุตรชายก็ทำดีไม่ต่างกัน เพียงแต่เพราะเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาและยังโสดแถมอายุก็ยังน้อยกว่ายามที่บิดาของตนมาเป็นเจ้าเมืองเสียอีก จึงยิ่งทำให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้ไม่ต่างจากสมัยบิดาและยิ่งทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มยังไม่ปักใจรักใคร่ใครเป็นพิเศษแล้ว ก็ต่างหวังว่าตนเองอาจจะมีสิทธิ์ แต่ดูเหมือนเชื้อจะไม่ทิ้งแถว ลูกไม้ย่อมไม่ตกไกลต้น เจ้าเมืองหนุ่มเอาแต่ทำงานจนบรรดาแม่นางทั้งหลายต่างเมินหน้าหนี“นิสัยเสียนี้ลูกดันไปเหมือนท่านได้อย่างไรกัน” เสียงตำหนิไม่จริงจังจากมารดา เสี่ยวชิงเพียงแค่ส่งยิ้มรับหยางพ่านชุนไม่ได้มองว่านี่ไม่ดี “เขายังเด็กกว่าข้า ทั้งยังไม่มีคนรัก อาจจะเหมือนข้าวัยเยาว์ที่เอาแต่อ่านตำราเพื่อสอบมากกว่า ที่สำคัญเพราะอาชิงใช้ความรักของพวกเราเลี้ยงมา เจ้าเห็นหรือไม่ ถึงเขาจะไม่กลับมาจวนทุกวันเพราะนอนที่จวนเจ้าเมือง แต่ก็กลับมาทุกอาทิตย์ หากเขามีคนรักข้าก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดี อีกทั้
บทที่ 40“แม่ไม่อยากให้เจ้าไปเมืองหลวงเลย” วันเวลาผ่านไปยามนี้เสี่ยวชิงเป็นหนุ่มแล้ว แต่เพราะความสนิทสนมในครอบครัวจึงทำให้อ้ายเฉินตัดใจให้ลูกจากไปไกลตาได้ยาก “เจ้าก็ให้ลูกไปเถอะ เขาจะไปสอบเพื่อจะกลับมาเป็นเจ้าเมืองแทนข้าไม่ดีหรือ” เรื่องนั้นย่อมเป็นเรื่องดีแต่การต้องจากบุตรชายเกือบสามปีและถ้าสอบได้อาจจะนานกว่านั้นทำให้น้ำตาของอ้ายเฉินไหล“เจ้าไปเถอะเสี่ยวชิง ยื้อกันไว้เช่นนี้วันนี้ก็คงไม่ได้ไป” อาการของภรรยาในวันนี้ทำให้หยางพ่านชุนอดคิดไปถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ ถึงจะแทบตัดพ่อตัดลูกไปแล้วแต่อย่างไรก็ยังคงแอบคิดถึงตอนเขาไปที่ใดก็ตามมีเพียงท่านพ่อบ้านที่ตอนนี้ชราเต็มทีแล้วพอนึกได้ว่าอีกฝ่ายจะจากไปในเวลาอันใกล้นี้ก็ส่งจดหมายไปขอบคุณ แม้ชางเกิงจะหลงผิดไปบ้าง แต่ชางเกิงก็เป็นคนที่ดูแลเขามาตลอด หยางพ่านชุนส่งคนไปรับชายชรากลับมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองกับเขาอีกครั้ง ตอนนี้ชางเกิงคงชรามากแล้วคงไม่สามารถทำอะไรภรรยาของเขาได้อีก อีกทั้งอำนาจในจวนเจ้าเมืองตอนนี้ล้วนเป็นของภรรยาเขา“ภรรยารัก ลูกไปเพื่อความเจริญนะ เหมือนที่ท่านพ่อที่ท่านพี่ของเจ้าต้องเดินทางไกลไปหาสินค้าแปลก ๆ มาขาย” อ้ายเฉินพยักหน้
บทที่ 39หลี่อ้ายเฉินกลับมาดูแลสามีของนางที่จวน เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้นางเกือบลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่คุยกับบิดา“ข้ากังวลแทบแย่คิดว่าท่านจะเป็นอะไรไปแล้ว” หยางพ่านชุนดึงคนรักเข้ามากอด “ข้าจะไม่ทำอะไรไม่ระวังตัวเช่นนี้อีก ครั้งนี้เพราะเด็กคนนั้นเขาเหมือนเสี่ยวชิงมากจริง ๆ ข้าที่กำลังกังวลหลาย ๆ เรื่องอยู่จึงเผลอกระโดดตามเด็กไป และที่จริงตอนแรกมันก็ไม่อันตราย แต่หลังจากข้าส่งเด็กขึ้นมาฝายก็พังทำให้น้ำไหลแรง จนดึงขึ้นฝั่งไม่ได้” หลี่อ้ายเฉินมองสามีด้วยสายตาไม่พอใจ“เมื่อก่อนก็ทำตัวเสี่ยงตายเช่นนี้ใช่หรือไม่” แม้จะอยากตอบว่าไม่แต่เขาก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ “ท่านพี่ต้องนึกว่าที่จวนมีข้ากับลูกรออยู่สิเจ้าคะ จะได้ระมัดระวังตัวเองมากกว่่านี้” หยางพ่านชุนเห็นภรรยาเป็นห่วงก็รู้สึกผิดเหมือนกัน “ต่อไปข้าจะระวังตัวตลอดเจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ที่จริงเรื่องนี้ข้าไม่ต้องไปดูเองก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านไปเลยแวะดูไม่นึกว่าจะมีปัญหา”“ของหลาย ๆ อย่างทำเอาไว้แล้วก็ต้องหาคนเฝ้า หาคนบูรณะ ไม่เช่นนั้นก็พังไปตามเวลา” แม้จะรู้ข้อที่ภรรยาบอกเป็นอย่างดี แต่พอมีเรื่องยุ่งหลาย ๆ อย่างจึงลืมที่จะส่งคนไปดูแลเป็นพิเศษ “ท่านพ
บทที่ 38“สามีของลูกเขาเป็นอะไรหรือเปล่าช่วงนี้เขาดูแปลก ๆ ไปนะ” บิดาของอ้ายเฉินถามบุตรสาว เพราะเป็นคนที่ทำการค้าจึงมองคนต่างจากคนอื่น และสัมผัสได้ไวกว่า“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนว่าเขายังคงติดอยู่กับความผิดครั้งก่อน” อ้ายเฉินพูดออกไปคล้ายจะเป็นการคาดเดาแต่จริง ๆ นางรู้ว่านี่แหละคือต้นตอของปัญหาในจิตใจของสามีของนางแม้ว่าหยางพ่านชุนจะทำทุกอย่างได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกส่วนหนึ่งที่อีกฝ่ายยังทิ้งไปไม่ได้“คุยกันบ้างหรือยังลูก เกี่ยวกับเรื่องครั้งก่อน” มารดาเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยนอ้ายเฉินพยักหน้า “แน่นอนเจ้าค่ะ หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี” คนเป็นพ่อได้ฟังก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อีกอย่างเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องที่หนักอกหนักใจทั้งบุตรสาวและลูกเขยนั่นคืออะไร “ลองเปิดใจคุยรายละเอียดกันดูอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เจ็บแต่นั่นก็สามารถช่วยทำให้แผลที่มีสมานได้” มารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้นางจะพูดน้อย นิ่งสงบในทุกเรื่อง แต่ยามใดที่ติดใจและสงสัย นางก็จะเรียกสามีมาคุยจนกว่าจะเข้าใจกัน ไม่เคยปล่อยผ่านให้เรื่องราวข้ามคืนเลยสักครั้ง จึงรักษาชีวิตคู่ที่สงบสุขมาได้จนถึ
บทที่ 37หลังจากอ้ายเฉินคลอดลูกคนแรกจวนทั้งสองก็ถูกทุบกำแพงเพื่อเปิดหากันตอนนี้หยางพ่านชุนถือว่าบิดาของภรรยากับพี่ชายภรรยาเป็นคนในครอบครัวมากกว่า ตระกูลใหญ่ของเขาซะอีก หลังจากเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ ผ่านไป เขาก็ไม่ได้กลับไปร่วมพิธีไหว้บรรพบุรุษที่เมืองหลวงอีกเลย แม้จะรู้สึกผิดแต่หากต้องเสี่ยงชีวิตลูกเมียเขายอมที่จะเป็นคนอกตัญญูวันเวลาหมุนผ่านไปจนเสี่ยวชิงโตจนวิ่งได้ เป็นบุตรชายของพวกเขามาเกิดใหม่อย่างแน่นอนเพราะใบหน้าที่คงยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่นิสัยกลับไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะการเลี้ยงดูและลุงกับท่านตาที่ตามใจจนบางทีหยางพ่านชุนก็กลัวบุตรชายคนโตจะเสียคนและตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวแต่ยังมีบุตรสาวอย่างอี้อี้ด้วย เสี่ยวชิงเป็นพี่ชายที่ดีคอยดูแลน้องสาว ไม่ได้เหงาโดดเดี่ยวเหมือนชาติก่อน ความสัมพันธ์ของครอบครัวตอนนี้ไม่ได้เหมือนกับชาติก่อน ทุกคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน และอยู่กันอย่างมีความสุข อะไรที่ไม่ดีก็ถูกตัดไปจากชีวิต พ่อบ้านที่เคยช่วยเหลือหยางพ่านชุนมาตั้งแต่เด็กก็ถูกส่งกลับไปอยู่ที่เมืองหลวง เขาจ้างคนใหม่ให้คอยดูแลคุณหนูและคุณชายน้อยต่อไปเด็กทั้งสองไม่เคยได
บทที่ 36การปราบโจรได้ทำให้การค้าในเมืองคึกคักขึ้นเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นระหว่างเดินทางข้ามเมือง ทุกอย่างค่อย ๆ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เรื่องนี้ทำให้ทั้งตระกูลหลี่ และเจ้าเมืองอย่างหยางพ่านชุนเจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก ต่างจากตระกูลใหญ่ของเจ้าเมืองหนุ่มที่หลังจากชิงเอ๋อร์กลับไปที่ตระกูลตน บิดาของเขาและบิดาของหญิงสาวก็ไม่ติดต่อกันอีกเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวทางตระกูลใหญ่ที่มักจะชอบใช้วิธีรวมหมู่รวมก๊ก พอพันธมิตรหลักไม่อยู่ซะแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหนีหน้า จากที่เคยกร่างได้ก็ต้องหลบอยู่แต่ในมุมของตนเอง เพราะถึงทุกคนจะรู้ว่ามีบุตรชายเป็นเจ้าเมืองและเป็นถึงขุนนางขั้นสามแต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งสองไม่ถูกกัน นั่นไม่ใช่เพราะใครแต่เพราะความปากมากของบิดาของหยางพ่านชุนเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอ่ยกับสหายสนิทว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับบุตรชายคนนี้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนโปรดและตอนที่หยางพ่านชุนได้ดี ก็ไม่เห็นขุนนางเฒ่าผู้นี้จะเอาเรื่องของบุตรชายมาโอ้อวดซึ่งแปลกจึงทำให้ทุกคนคิดว่าเรื่องที่บาดหมางกันนั้นคงจะเป็นจริง แน่ ๆถึงแม้ว่ายามนี้หยางพ่านชุนจะกลับมาทำงานเป็นเจ้าเมืองเหมือนเดิมแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาพ
บทที่ 35“ท่านพ่อตาข้าโง่เขลาได้โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย” คนมีอายุส่ายหัวก่อนจะหันไปสบตาคู่ชีวิตของตน“หากข้าบอกแล้วจะมีประโยชน์อะไร อะไรที่เคยทำผิดเจ้าก็เอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน อะไรที่ดีอยู่แล้วก็เก็บเอาไว้ ความสัมพันธ์มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจดูแลไม่ต่างจากงานหรอกนะท่านเจ้าเมือง ข้าพูดจนเหนื่อยแล้ว หากมีอะไรก็ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ ป่ะฮูหยินเราสองคนไปพักผ่อนกันเถอะ” หยางพ่านชุนพยักหน้ารับปล่อยให้พ่อตาโอบพยุงหลี่ฮูหยินกลับเรือนพักผ่อน แต่ก็ไม่วายร้องถาม “ข้าขอคุยกับอ้ายเฉินได้หรือไม่”“นั่นมันแล้วแต่นาง หลี่เม่าไปกินข้าวกันเถอะ” แม้จะบอกว่าแล้วแต่บุตรสาว แต่การเรียกไปแต่บุตรชายก็เหมือนจะเปิดโอกาสให้แล้ว“อ้ายเฉินทำเช่นไรดีเรื่องคงไม่ง่ายแล้ว” แม้เหมือนพ่อตาจะเปิดโอกาส แต่หยางพ่านชุนก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มเช่นไรหญิงสาวยิ้มอย่างพอใจ “ข้าว่าท่านพ่อก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ บางทีพวกเราอาจจะต้องใช้เวลากันอีกสักพัก”“แต่อีกไม่นานพระราชโองการก็จะมาถึง ข้าอยากให้เจ้าได้ตำแหน่งฮูหยินบันทึกเอาไว้ด้วย ที่จริงข้าส่งชื่อเจ้าไปแล้วด้วย”หลี่อ้ายเฉินได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “นิสัยชอบตัดสินใจเองของท่านนี่เมื่อไรจะหายเจ
บทที่ 34“ท่านพี่ให้เขาเข้ามาเถอะเจ้าค่ะ” อ้ายเฉินที่มาตั้งแต่เมื่อไรแล้วก็ไม่รู้เอ่ย “แต่ว่า” หลี่เม่ายังคงไม่ไว้ใจอดีตน้องเขยคนนี้เท่าไรนัก“ข้าเข้าใจที่ท่านจะไม่ไว้ใจข้า แต่วันนี้ข้าจะมาอธิบายเรื่องราวและขอโทษในสิ่งที่ข้าทำผิด” หลี่เม่าพ่นลมหายใจแรง “เหอะขุนนางอย่างท่านเนี่ยนะ จะมาขอโทษชาวบ้านเช่นนี้” หยางพ่านชุนคุกเข่าลงไปตรงหน้าพี่ชายภรรยา“ข้าไม่ได้ขอโทษชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ข้าขอโทษภรรยา ข้าทำผิดต่อนาง ที่ข้าเอาแต่ทำงานจนละเลยนาง ทั้งยังขอโทษคนตระกูลหลี่ที่ทำให้ได้รับชื่อเสียงเสียหายจากการหย่าด้วย แต่ข้าและอ้ายเฉินไม่เคยหย่าขาดกัน หากท่านพี่จะให้ข้าแต่งนางอีกครั้งข้าก็ไม่ขัด เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น” แม้หยางพ่านชุนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่การที่แม่นางชิงเอ๋อร์ผู้นั้นมาอยู่ในจวนเดียวกันกับชายหนุ่มนานนับเดือนก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดคำครหาได้หลี่อ้ายเฉินเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกพี่ชายพร้อมทั้งหยางพ่านชุนเข้าไปคุยด้านใน “ท่านพี่ลองฟังเขาก่อนเถอะ บางทีอาจจะเป็นข้าที่หุนหันไปเอง” หลี่เม่ามองหน้าน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ฟังคำพี่อีกแล้วหากเขาทำให้เจ้าเสียใจอีกเล่า
บทที่ 33แสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องผ่านเมฆหม่น มอบแสงสว่างอันอบอุ่นให้กับสถานที่ที่เงียบงัน แต่สำหรับเขา มันไม่มีความหมายอะไรเลย ความเศร้าโศกในใจเขาหนักหนาจนไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ ได้เขาคุกเข่าลงหน้าหลุมศพ วางมือสั่นเทาลงบนดินที่เย็นเยียบ ความทรงจำกับคนรักหลั่งไหลเข้ามาในใจ ทั้งเสียงหัวเราะและคำพูดหวานหูที่เคยพูดกัน ความเจ็บปวดในใจเขาเพิ่มขึ้นทุกวินาที เหมือนมีดบาดลึกเข้าไปในหัวใจอย่างไม่หยุดยั้งน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบงัน เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงไปบนดินและดอกไม้เหมือนกับความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ เขากระซิบคำพูดที่ไม่สามารถกล่าวได้เมื่อตอนนางยังมีชีวิตอยู่ "ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกินอ้ายเฉิน ทุกวันที่ผ่านไป มันเหมือนกับเวลาหยุดเดิน ข้าไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรที่ไม่มีเจ้า"ลมเย็นพัดผ่าน สายลมที่เย็นเฉียบเหมือนกับความเหงาและความเดียวดายที่เขารู้สึก เขาทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ โอบกอดป้ายชื่อของคนรักด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาลัย“นายท่านอย่าทำแบบนี้เลยขอรับ” น้ำตาที่เคยไหลออกมาตลอดการจากไปของภรรยาและบุตร ไหลออกมาอีกครั้ง “ข้าไม่อยากอยู่แล้วมันเจ็บเหลือเกิน” หยางพ่านชุนเอ
ความคิดเห็น