เหนือป้อมปราการของกำแพงเมือง มีทหารลั่นกลองเป็นสัญญาณ ประตูเมืองชายแดนค่อยๆ เปิดกว้าง เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่นกึกก้องทั่วพื้นดินห่างจากประตูเมืองคือลานกว้าง สู่ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง เห็นลิบๆ ว่าทัพศัตรูมีไม่น้อย พวกมันตัวโตกล้ามใหญ่ ขี่ม้าพันธุ์ดีตัวเขื่อง ท่าทางดิบเถื่อนทั้งบ้าระห่ำ กลิ่นอายน่าสะพรึงโอบล้อม อาวุธหนาหนักรูปร่างแปลกใหม่ในมือครบครัน นับหัวด้วยสายตาได้หลายหมื่นคนจอมทัพต้าถังคือรัชทายาทหนุ่มจ้าวเหว่ย เขาสวมชุดเกราะปีกเหล็กสีดำสนิทนั่งตระหง่านเป็นสง่าอยู่บนอาชาทมิฬ เรียวตาคมปลาบมองคลื่นมนุษย์เหล่านั้นเงียบงัน ใบหน้าหล่อเหลาไร้คลื่นอารมณ์อันใด ยังไม่ลืมใส่ใจหันมองภรรยาของตนแวบหนึ่งซานซานยกยิ้มบาง ส่งผ่านกระแสอบอุ่นสายหนึ่งให้สามี แววตาเปี่ยมพลังเชื่อมั่น ทั้งยังเด็ดเดี่ยวจริงใจพริบตานั้น ทั่วนภาคล้ายมีเมฆทะมึนลอยต่ำ กดทับผู้คนบนผืนดิน เหล่าทหารทุกแนวเคลื่อนพลพร้อมเพรียง กระจายตัวสี่ทิศแปดทาง ม้าศึกวิ่งตะบึงปานสายฟ้า ประสานเสียงฮึกเหิมของฝูงชนดังกึกก้อง ราวเคลื่อนพสุธาโยกภูผา ทัพศัตรูไม่น้อยหน้า เคลื่อนพลบ้าระห่ำปานดินถล่ม เสียงฆ่าฟันดังสนั่นเลื่อนลั่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ฝ่
ในเวลาเพียงไม่นาน กองทัพปีกเหล็กก็เคลื่อนพลมารวมกับกองประจำการชายแดนเหนือแต่ไหนแต่ไรมา ทหารต้าถังไม่เคยลิ้มรสกับคำว่าพ่ายแพ้ เพราะมีจ้าวเหว่ยบัญชาการกองทัพด้วยตนเองนั่นแลเมื่อรัชทายาทหนุ่มปรากฏตัว แม่ทัพประจำค่ายจึงเร่งรุดเข้ามารายงานสถานการณ์“ยามนี้ชนเผ่าป่าเถื่อนรุกล้ำเข้ามารอบตะเข็บชายแดน เผาบ้านเรือนแย่งชิงเสบียงจากชาวบ้าน คาดว่ากำลังคิดตั้งกองกำลังอยู่ทางฝั่งหนึ่งเพื่อบุกยึดอีกฝั่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวเหว่ยถามเสียงเรียบ “แม่ทัพเสิ่นกระจายกำลังออกไปช่วยเหลือชาวบ้านให้อพยพหลบภัยหรือยัง?”“พ่ะย่ะค่ะ ทันทีที่พวกเขาปลอดภัย กระหม่อมจึงปิดประตูเมืองเอาไว้ รอหยั่งเชิงตามคำสั่งรัชทายาท ไม่อาจวู่วาม”ยามรับฟังรายงาน ฝ่ามือหนาเปิดกระโจมแล้วเดินเข้าไป เมื่อเจอโต๊ะตัวใหญ่จึงกางแผนที่ภาพวาดตะเข็บชายแดนออก พลางร่ายแผนการรบด้วยเส้นเสียงเคร่งขรึมทรงพลัง“เผ่าซยงหนูกลุ่มนี้เดิมทีไม่เคยปรากฏตามแถบชายแดนทางเหนือของเรา ไม่แน่ว่าอาจได้ผู้นำคนใหม่ เกิดกระหายอำนาจขึ้นมา ทั้งยังต้องการประกาศศักดา ยึดครองแผ่นดินแถบนี้” รัชทายาทหนุ่มชี้นิ้วตรงจุดหนึ่งของแผนภาพลากยาวทั้งแถบอันเป็นพื้นที่สงบสุขมาช้านาน ไ
“อืม...ข้าจำได้ เจ้ามีโอกาสเจอกับเขาแล้วหรือ?”พวงแก้มอาหนิงแดงปลั่ง มิรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรืออะไร นางกระซิบต่ออย่างเขินอาย“มิใช่แค่เจอ...แต่ข้ากับเขาร่วมขับลำนำได้ครึ่งทางแล้ว”“...!?”ความหมายคือจุมพิตกันอย่างเร่าร้อน ลูบไล้วาบหวาม เหลือเพียงเปลื้องผ้าที่กั้นกลางแล้วทำขั้นตอนสุดท้ายอันร้อนแรงเพราะฤทธิ์สุราแน่ๆ ซานซานสรุปอาการกรุ่มกริ่มยามนี้ของอาหนิงได้ทันที เรื่องเช่นนี้ควรเล่าหรือไร?“ข้าคิดว่าเจ้าคงเมาแล้วล่ะ”คนเมามักปฏิเสธด้วยอาการคอเอียง โบกมือไปมา “ข้าไม่เมา...แค่ไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องราวดีๆ เช่นนี้ให้ใครฟัง มีแค่ครูฝึกซาน...”อาหนิงยังเล่าไม่จบ เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดังจากทางเบื้องหลัง “แต่ข้าว่าเจ้าเมามากแล้ว สมควรไปพักผ่อน”เสียงนั้นทำคนเมาสร่างทันที “ท่านรองแม่ทัพหยาง”หยางเฉิงส่งสายตาขออภัยมาทางซานซาน ก่อนเอื้อมมือจับต้นแขนคนตัวเล็กที่ต้องการเล่าอะไรบางอย่าง “มากับข้า”อาหนิงทำหน้ายู่ พลางลุกขึ้นยืนโงนเงน จังหวะนั้นยังถูกหยางเฉิงดุอีกว่า “ยามปกติข้าถามอะไรไม่เห็นกล้าเล่า”อาหนิงเดินตามการฉุดดึงบ่นอุบอิบ “ข้าแค่เล่าไม่เก่ง”หยางเฉิงเลิกคิ้วสูง “ยามนี้เก่งแล้ว”ห
กองพลมักจะนำขบวนด้วยแม่ทัพเสมอแม่ทัพหวังจึงขี่ม้าเหนือกลุ่มขบวนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซานซานนำพรรคพวกติดตามมาตลอดทาง ตรงกลางขบวนคือมหาบุรุษหนุ่มผู้เป็นจอมทัพ รัชทายาทจ้าวเหว่ย ท้ายขบวนคือกองกำลังของรองแม่ทัพหยางฟ้ามืดมิดลงทุกขณะ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายพิเศษของกองทัพทหาร แสงจันทร์สีนวลสาดส่องจากนภากว้างซานซานนั่งอยู่บนหลังอาชาขนสีน้ำตาล ร่างระหงนั่งตระหง่านอยู่บนนั้น ทั้งสง่าและผ่าเผยเกินอิสตรี เบื้องหลังนางคือทหารใหม่ทั้งกอง พวกเขาพร้อมติดตามครูฝึกซานไม่ว่าไปทางใดครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทหนุ่มออกศึกด้วยอาการตื่นเต้นไม่น้อย หัวใจบุรุษในอกแกร่งเต้นระส่ำอย่างมิอาจควบคุม สาเหตุล้วนเป็นเพราะได้ร่วมรบกับสตรีคนสำคัญนางงดงามและโดดเด่นปานนั้นใบหน้าไม่มีแม้ผงชาด มิได้ประทินโฉมเพียงนิด เรือนผมเพียงมัดรวบตึงเป็นทรงหางม้า อาภรณ์ยังเป็นสีเทาเข้มธรรมดา ชุดเกราะที่สวมยังดำสนิทกลมกลืนกับทหารทุกคนทว่าสายตาคมกลับมิอาจละไปจากนางได้เลยจ้าวเหว่ยลอบมองภรรยาอย่างเหม่อลอยตลอดการเดินทางออกศึกในครานี้จากเมืองหลวงไปยังชายแดนเหนือมีระยะทางไกลพอควรกองทัพเลือกหยุดพักกลางหุบเขาริมสายน้ำระหว่างทาง ท
ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนวัตถุดิบครบครันถูกจัดหาโดยชิงหลิวได้อย่างรวดเร็ว สองเดือนต่อมาเสี่ยเฟิงยังผลิตอาวุธต้นแบบได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจซานซานใช้เวลาเพียงไม่นานยังฝึกฝนให้ทหารใหม่ทุกคนใช้อาวุธร่วมกระบวนท่าจนแกล้วกล้าห้าวหาญ จัดกระบวนทัพร่วมกับหยางเฉิงจนเป็นรูปเป็นร่างพร้อมต้านศึกได้ทุกเมื่อการไว้ทุกข์ให้องค์ชายสามสิ้นสุดไปนานหลายเดือนแล้ว วันขึ้นปีใหม่ ราชสำนักจัดงานเลี้ยงขึ้น แต่ระหว่างงานเลี้ยง ทางการได้รับรายงานด่วนว่า กองทหารเผ่าซยงหนูกำลังเคลื่อนทัพมาใกล้ชายแดนเหนือ รัชทายาทหนุ่มทูลต่อฮ่องเต้เสนอตัวเองนำกำลังไปต่อต้านอย่างเร่งด่วน ทว่าโซวอ๋องจำต้องรั้งอยู่ที่วัง ระหว่างนี้ย่อมตามสืบคดีองค์ชายสามต่อไป ทั้งยังต้องนั่งฟังชายหญิงคู่หนึ่งถกเถียงกันเรื่องแต่งงานด้วยแน่นอนว่าศึกครานี้ย่อมเป็นโอกาสสร้างผลงาน ซานซานจึงเสนอตัวร่วมทัพทันทีที่รัชทายาทปรากฏกายในค่ายทหารคำปฏิเสธย่อมไม่มี สามีล้วนตามใจภรรยาแต่กฎระเบียบเคร่งครัดยังค้ำคอ จ้าวเหว่ยจึงค่อยๆ เลื่อนขั้นซานซานอย่างแนบเนียน ให้นางเป็นรองแม่ทัพหญิงไปก่อนทางด้านแม่ทัพหวังกับรองแม่ทัพหยางได้ฟังคำประกาศจากจอมทัพ ดวงตาพลันทอประกาย รัช
คดีสังหารองค์ชายสามยังคงไร้ร่องรอยให้สืบสาว และหลักฐานยังชี้เป้าเข้าหาโซวอ๋อง “โซวอ๋องสั่งให้ข้าเข้าหาองค์ชายสามเพื่อปั่นหัวให้พวกท่านทั้งสองทะเลาะกันเท่านั้น มิได้สั่งให้ฆ่าใครทั้งสิ้น”หยุนผิงช่วยยืนยันอีกเสียง แววตาหนักแน่นจริงใจยามมองโซวอ๋องสลับกับทุกคนในห้องยามนี้จ้าวเหว่ย โซวอ๋อง หยุนผิง ยังมีจ้าวหมิง นั่งล้อมวงปรึกษากันในห้องลับของจวนอ๋อง ทุกคนถูกรัชทายาทเชิญมาร่วมปรึกษาหารือเรื่องคดีองค์ชายสาม แต่สถานที่คือจวนของโซวอ๋อง“พยัคฆ์ร้ายฆ่าได้แต่หยามมิได้ ข้อนี้คือความจริง ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือของข้า จักต้องกลัวหรือไร”สุ้มเสียงเย็นเยียบกล่าวคำเนิบนาบ แววตาโซวอ๋องอำมหิตเหี้ยมเกรียม แผ่ซ่านไอสังหารเข้มข้น“เป็นไปได้ที่ผู้บงการต้องการยืมมือจากการตายครั้งนี้จัดการเราทั้งสองคน” จ้าวเหว่ยเอ่ยปากวิเคราะห์ด้วยท่าทีสุขุม ใบหน้าหล่อเหลาสงบเยือกเย็น“เป้าหมายคือให้ข้ากับเสด็จอาเปิดศึกใส่กัน หากท่านพ่ายบัลลังก์มังกรของเสด็จพ่อย่อมสั่นคลอน หากข้าแพ้ตำแหน่งรัชทายาทย่อมว่างลง ไม่ว่าฝ่ายใดปราชัย คนร้ายย่อมลอยตัว นั่งบนภูดูเสือกัดกันอย่างรื่นรมย์”“เป็นข้าที่พลาดเอง สังหารคนพวกนั้นจนหมด ไม่เหลือให้ส