เธอตายจากโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ จู่ ๆ ดันได้กลับมาเกิดใหม่เป็นสาวน้อยวัยห้าขวบ ฐานะยากจนที่ถูกญาติมิตรรังแก ถึงเวลาแล้วที่ฉินหลิวซีจะถกแขนเสื้อรื้อฟื้นโชคชะตา"ข้าจะพาครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่งให้ได้"
ดูเพิ่มเติมวันโลกาวินาศในนิยามของใครหลายคน อาจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือความหายนะที่มาเยือน ความเท่าเทียมที่ไม่ว่าสถานะของเจ้าตัวจะเป็นราชาหรือสามัญชนก็หนีไม่พ้น จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น
แต่ตรรกะของความเท่าเทียมที่เธอคิดนั้นก็พังทลายเพราะสิ่งที่ตัวเองมี ฉินหลิวซีในวัยสามสิบปียังคงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่ไวรัสปริศนากำลังระบาด และเป็นเช่นนี้มากว่าสิบปีแล้ว ไวรัสไม่ทราบที่มานี้คร่าชีวิตคนไปหลายพันล้าน และเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นซอมบี้ ที่ฉินหลิวซีสามารถอยู่รอดมาได้เป็นสิบปี เพราะพลังพิเศษที่ตื่น เธอมีมิติที่สามารถเก็บของได้ แม้มีพื้นที่จำกัดขนาดประมาณหนึ่งห้อง และเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้เอง แต่แค่นั้นก็ทำให้เธอได้เปรียบคนอื่นมากแล้ว เมื่อมนุษย์โลกมีจำนวนน้อยลง คนในศูนย์อพยพก็มีอัตราการแย่งชิงที่น้อย เพราะอาหารไม่ขาดแคลนเท่าแต่ก่อน ทว่าตัวเจ้าหน้าที่ที่ประจำแต่ละศูนย์ก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน กลับกันฝูงซอมบี้ที่ด้านนอกนั้นเพิ่มจำนวนขึ้น เรื่อย ๆ “ฉินหลิวซีเธอไปเอาอาหารหรือยัง” เพื่อนในค่ายอพยพคนหนึ่งถามเธอที่กำลังใจลอย “อ่า อื้ม ไปเอามาแล้วละ” หญิงสาวตอบกลับไป ยิ้ม ๆ “ได้ยินมาว่ามีผู้อพยพกลุ่มใหม่เข้ามาละ” “ผู้อพยพกลุ่มใหม่หรือ?” “ใช่ เห็นว่ามาจากศูนย์ใกล้ ๆ ที่แตกไปแล้วน่ะ” ฉินหลิวซีได้ฟังก็เผลอขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นศูนย์พักพิงของผู้อพยพ แต่ความจุที่แต่ละแห่งรองรับได้ก็มีจำกัด อีกทั้งสถานการณ์ที่ทุกครั้งที่มีค่ายพักพิงแตกไป ก็จะไปเพิ่มจำนวนคนให้ค่ายอื่น ๆ ที่แน่นขนัดอยู่แล้ว คนที่ไม่รอดก็กลายเป็นเพิ่มจำนวนให้ฝูงซอมบี้เข้าไปอีก แม้จะอยู่รอดมาเป็นสิบปี แต่เธอก็อดคิดไม่ได้เลยว่า นี่เป็นการนับถอยหลังของตัวเธอเอง ฉินหลิวซีอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี แต่ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้อพยพด้วยกัน เธอตั้งใจปลีกวิเวกอยู่ลำพังด้วยเหตุผลสองข้อ หนึ่งผู้มีพลังที่ตื่นขึ้นนั้นไม่ได้มีแต่เธอ แม้จะปลุกพลังวิเศษมิติได้ แต่เธอก็ไม่บอกใคร ฉินหลิวซีเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ความเมตตาและเอื้อเฟื้อไม่ช่วยให้อยู่รอด โลกนี้ไม่อาจเชื่อใจใครได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาเธอได้เห็นคนที่เปิดเผยว่ามีมิติถูกพวกนักวิจัยจับไปทดลอง ฉินหลิวซีไม่อยากเป็นหนูลองยาให้ใคร มีเพียงพลังธาตุไม้ที่เธอยอมเปิดเผย เพราะมันสามารถปกป้องตัวเองได้ และยังสามารถทำให้พืชผักงอกงาม น่าเสียดายพลังของเธอปลุกได้แค่ระดับสอง ทำให้พืชโตไม่กี่ต้นก็เหนื่อยแล้ว อีกทั้งมีคนมากมายที่มีพลังธาตุไม้ ทำให้ไม่มีคนสนใจการมีอยู่ของเธอเท่าไรนัก เหมือนเธอเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่พิเศษอยู่นิดหน่อยถึงแม้จะมีพลังก็ไม่ได้หวังพึ่งแต่มัน หากเธอใช้ความแข็งแกร่งของร่างกาย และประสบการณ์พลิกแพลงไม่ได้
คงไม่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ ข้อสอง เธอไม่ต้องการสนิทสนมกับใคร เพราะไม่รู้เลยว่า คนคนนั้นจะถูกฆ่าหรือกลายเป็นซอมบี้เมื่อไร เธอเกลียดความรู้สึกที่ต้องพลัดพรากจากคนที่รักครั้งแล้วครั้งเล่า จึงขออยู่โดยไม่มีพันธะผูกพันทางใจจะดีกว่า แน่นอนว่าถ้าติดเชื้อขึ้นมา หญิงสาวก็ยินดีจะผ่าหัวนั่นให้ และเธอก็หวังว่าคนในศูนย์อพยพจะทำแบบเดียวกับเธอได้ หากพลาดขึ้นมาก็ช่วยฆ่าให้ที ก่อนที่เธอจะกลายเป็นตัวอะไรแบบนั้น วันหนึ่งเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่ไม่ได้ดังมานานก็ดังขึ้น ปลุกทุกคนในค่ายอพยพให้ตื่น เสียงสัญญาณฉุกเฉินไม่เคยช่วยสร้างความสบายใจให้ใครได้ ทุกครั้งที่ได้ยินมีแต่ความวิตกกังวล บางคนได้ยินมาก ๆ ก็เกิดความเครียดสะสมจนกลายเป็นโรคประสาทหลอนก็มี “เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวถามคนที่นอนอยู่ถัดไปจากเธอหน้าเครียด “มีคนแย่งอาหารกันแล้วก็วิวาทจนไปทำให้ประตูรั้งชั้นในพังน่ะสิ” “อะไรนะ”พวกนั้นไม่มีสมองเหรอ จะวิวาทกันก็อย่าไปวุ่นวายกับระบบป้องกันสิ!
สถานการณ์วุ่นวายอยู่พักหนึ่งก็สงบลงเพราะเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดการ เรื่องอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดตั้งแต่วันที่อารยธรรมล่มสลาย มีการต่อสู้แย่งชิงเกิดขึ้นจนชินตา คนอ่อนแอตกเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแกร่งกว่า ชีวิตดำเนินมาแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดหลายปี ฉินหลิวซีก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการหาอาหาร และปกป้องไม่ให้พวกมันถูกแย่งไป แม้จะมีหน่วยงานช่วยสนับสนุน แต่หากไม่หาเองร่วมด้วยก็ไม่มีทางอิ่มท้องได้ เพราะถูกปลุกให้ตื่นจากความโกลาหล ทำให้วันนี้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดเกือบทั้งวัน ยิ่งไม่มีกล้าทักเธอเข้าไปใหญ่ ทั้งที่ปกติคนกล้าเข้าหาก็น้อยอยู่แล้ว หลังจากวันที่มีผู้อพยพเพิ่มเข้ามา ความขัดแย้งระหว่างผู้คนก็ยิ่งมากขึ้น เจ้าหน้าที่มีน้อยกว่าพลเมือง บางครั้งบานปลายจนห้ามไม่ได้ก็มี หลายวันมานี้ซอมบี้บุกเข้ามาภายในค่ายเป็นจำนวนมาก และมีผู้ติดเชื้อไม่น้อย ตอนนี้นอกจากนั่งภาวนาให้มีของกินเพียงพอก็ขอให้ตัวเองรอดไปอีกวัน แต่แล้วฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดผึง!"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
ความคิดเห็น