ได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงหัวเราะเบา ๆ ยกมือบีบปลายจมูกของเต๋อกุ้ยเฟย "เจ้านี่นะ! ไยต้องปากแข็งต่อหน้าข้าด้วย? หากเจ้าคิดว่าเจ๋อเอ๋อร์ตายเพราะนางจริง ๆ แล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ได้หรือ?"เต๋อกุ้ยเฟยถูกฮ่องเต้พูดแทงใจเข้าเต็ม ๆ กลับมิได้โกรธเคือง เพียงถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า "แต่... หากฝ่าบาทลงมือ เซียวเหิงจะไม่เคืองฝ่าบาทหรือเพคะ?"เซียวเหิงเป็นแม่ทัพเอกของฮ่องเต้ หากเพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความบาดหมางกัน แล้วอนาคตจะเป็นเช่นไร?ฮ่องเต้เพียงยิ้มจาง ๆ ไม่ตรัสสิ่งใดแต่เต๋อกุ้ยเฟยกลับเข้าใจในทันทีที่ฮ่องเต้ไม่ลงมือเอง ก็เพราะกังวลว่าเซียวเหิงจะเคือง จึงให้น้องชายของนางเป็นคนไปช่วยแทนนางรู้แต่ไม่พูดออกมา เพียงแย้มยิ้ม แล้วจึงถอนหายใจอย่างปลงใจ "ไม่ว่าจะอย่างไร แต่ก่อนเจ๋อเอ๋อร์ก็เคยรังแกนาง เวลานี้ ช่วยนางออกมาก็ถือว่าเป็นการสะสมบุญกุศลให้เจ๋อเอ๋อร์เถอะเพคะ ขอเพียงให้เจ๋อเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ในปรโลกน้อยลงสักหน่อยก็ยังดี"เต๋อกุ้ยเฟยเอ่ยพลางประนมมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ตั้งจิตอธิษฐานด้วยความจริงใจทว่ากลับไม่คิดเลยว่า สีพระพักตร์ของฮ่องเต้กลับกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาแทน"พูด
หากจะกล่าวว่ามีผู้ใดกล้าต่อกรกับเซียวเหิง อย่างน้อยก็คงมีเพียงซุนเซี่ยนผู้นี้เท่านั้นเพียงแค่...เบื้องหลังซุนเซี่ยน ยังมีทั้งตระกูลซุนอยู่ตระกูลซุนจะกล้างัดข้อกับเซียวเหิงหรือไม่นั้น… ก็ยังไม่แน่ชัดเห็นเซียวเหอยังไม่ลุกขึ้นในทันที ซูกงกงจึงรีบยื่นมือเข้ามาพยุงขาทั้งสองข้างของเซียวเหอเพิ่งหายดีได้ไม่นาน แม้ก่อนหน้านี้จะได้กินยาที่เซียวเหิงมอบให้ ซึ่งช่วยให้อาการดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แต่เมื่อต้องคุกเข่าอยู่เกือบสองชั่วยาม ก็ย่อมไม่อาจฝืนได้หัวเข่าทั้งสองข้างชาราวกับไร้ความรู้สึกเมื่อเห็นดังนั้น ซูกงกงก็รีบหยิบขวดยาดองออกมา แล้วเอ่ยว่า "คุณชายใหญ่เซียว นี่คือของประทานจากฮ่องเต้ ท่านย่อมเข้าใจดีว่าฮ่องเต้ทรงเอ็นดูท่านเพียงใด เพียงแต่ฮ่องเต้เองก็มีเหตุจำเป็นของพระองค์ หวังว่าคุณชายใหญ่เซียวจะเข้าใจ"ดวงตาของเซียวเหอพลันหม่นลง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่านี่คือคำเตือนของฮ่องเต้?เรื่องของตระกูลเซียว… อย่าได้ทำให้ฮ่องเต้ปวดหัวอีกได้ยินเช่นนั้น สองมือของเขาก็รับขวดยาดองไว้ และกล่าวว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท"จากนั้นก็หันหลังและค่อย ๆ เดินจากไปเขาเข้าใจดีเมื่อภารกิจสำเร็จแล้ว ผู้ที
ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเนี่ยนรู้ดีว่า ตนต้องตอบตามความจริงเท่านั้น จึงจะไม่ทำให้เซียวเหิงเกิดความสงสัยหากนางตอบตกลงทันทีว่าเป็นอาหารที่ตั้งใจทำให้เขา เกรงว่าเขาคงจะออกคำสั่งไม่ให้นางเข้าใกล้ห้องครัวอีกแม้แต่ก้าวเดียว!ส่วนเซียวเหิงเมื่อได้ฟังคำพูดของนาง ก็มิได้คิดมากอย่างที่คาดไว้ เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปาก "อืม อร่อยดี"เขาหัวเราะเบา ๆ พลางกินอย่างอารมณ์ดีเฉียวเนี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง สายตาหยุดอยู่ที่แขนซ้ายของเขาจริง ๆ แล้วนางเห็นตั้งแต่แรกว่าเขาบาดเจ็บ และก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเขาจึงได้รับบาดเจ็บทว่านางกลับไม่คิดจะถามนางไม่อยากให้เซียวเหิงเข้าใจผิดว่านางยังชอบเขายิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเขาเป็นทุกข์ ก็จะยิ่งหงุดหงิดเขายิ่งหงุดหงิด นางก็ยิ่งมีโอกาสที่จะหาทางหลบหนีได้มากขึ้นคิดได้เช่นนั้น เฉียวเนี่ยนก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงหยิบตะเกียบขึ้นมา ลองคีบอาหารเข้าปากคำหนึ่งทว่าไม่ทันไร พออาหารเข้าปากก็ต้องคายออกมาทันทีหรือคนขายเกลือจะถูกนางตีตายไปแล้วกันแน่?!มันเค็มจนขมปากเลยทีเดียว!เห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเฉียวเนี่ยนยู่ย่นเพราะฝืนกิน เซียวเหิงกลับยิ่งยิ้มสดใส กินอย่างมีความ
ต้องเป็นเซียวเหอที่ไปทูลขอฮ่องเต้ ฮ่องเต้ถึงได้ส่งองครักษ์มาที่นี่!หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอกได้ทุกเมื่อร่างของเฉียวเนี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย พลันก็อยากจะวิ่งไปหาซุนเซี่ยนโดยไม่รู้ตัวทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เท้าทั้งสองกลับหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ไม่อาจขยับแม้แต่ก้าวเดียวความหวาดกลัวอันไม่ทราบที่มาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เฉียวเนี่ยนได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม มองดูเซียวเหิงกับซุนเซี่ยนประสานมือคำนับให้กันอย่างไร้ทางเลือก"ข้าก็คิดอยู่ว่าผู้ใดกันถึงกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าซุนนี่เอง" เซียวเหิงกล่าวพลางยกมือชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะ แล้วเอ่ยต่อว่า "ใต้เท้าซุนจะอยู่ร่วมโต๊ะสักหน่อยหรือไม่?"ซุนเซี่ยนเหลือบมองอาหารบนโต๊ะแล้วเอ่ยเสียงเย็น "ข้ายังมีราชกิจสำคัญที่ต้องทำ เกรงว่าจะไม่สะดวก"พูดจบก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณทันทีองครักษ์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็แยกย้ายกันออกไปทันทีและเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เฉียวเนี่ยนก็รู้ได้ในทันทีว่าวันนี้นางไปไม่ได้แล้วแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่นานนัก เหล่าองครักษ์ที่แยกย้ายกันออกไปก็ทยอยกลับมาทีละคน คุกเข่ารายงานต่อซุนเซี่ยนว่า "ขอรายงา
ตกดึกซุนเซี่ยนเพิ่งกลับถึงจวน กำลังจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาเตรียมพักผ่อน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบดังมาจากด้านนอกเรือน "ข้าเซียวเหอ ขอพบใต้เท้าซุน"คิ้วของซุนเซี่ยนขมวดเป็นปมขึ้นมาในทันที เขารีบเปิดประตูออกไป ก็พบว่าใต้ชายคาหน้าประตู มีเพียงเซียวเหอยืนอยู่เพียงผู้เดียวส่วนเด็กรับใช้ที่ควรจะเฝ้าอยู่หน้าจวน กลับนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นไปหมดแล้วใบหน้าของซุนเซี่ยนพลันแข็งตึง สายตาที่มองเซียวเหอฉายแววไม่พอใจขึ้นทันตา "คุณชายใหญ่ตระกูลเซียว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?"กลางดึกย่องเข้าจวนเขา แถมยังเล่นงานเด็กรับใช้ของเขาให้สลบไปหมด เห็นชัดว่าไม่คิดมาดีแน่บนใบหน้าของเซียวเหอนั้น แม้จะปรากฏความเย็นชา ทว่าท่าทีของเขากลับสุภาพอ่อนน้อมอย่างยิ่งเขายกมือคำนับซุนเซี่ยนแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ใต้เท้าซุนรับพระบัญชาออกค้นหาโจรภูเขา จึงอยากเรียนถาม ไม่ทราบว่าพบเจอเบาะแสใดหรือไม่"ดวงตาของซุนเซี่ยนหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ "ว่าข้าจะได้อะไรหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะทูลฮ่องเต้ด้วยตนเอง ยังไม่ถึงคราวที่คุณชายใหญ่ตระกูลเซียวจะเข้ามาก้าวก่าย"เมื่อได้ยินดังนั้น บรรยากาศรอ
ห้องครัวไม่ได้กว้างนัก ตะกร้าใบใหญ่สองใบของพวกชาวสวนก็แทบจะกินพื้นที่ไปไม่น้อย บวกกับบรรดาพ่อครัวและเด็กรับใช้ที่กำลังยุ่งอยู่ภายในครัว ก็ยิ่งทำให้ดูแออัดยิ่งนักเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์จึงยืนรออยู่ด้านนอกของครัวเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้อย่างไรเสีย คนทั้งจวนล้วนเป็นคนที่เซียวเหิงคัดเลือกมาด้วยตนเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพูดคุยกับเฉียวเนี่ยนแม้แต่คำเดียวเฉียวเนี่ยนก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรมากนักในวันนี้ หากแต่ไม่คาดคิดว่า ชาวสวนคนใหม่กลับเดินเข้ามา "ฮูหยิน ท่านดูสิ ผักนี่สดมากเลยขอรับ!"นอกห้องครัว เฉียวเอ๋อร์เห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ก็ขมวดคิ้วทันทีนางจ้องริมฝีปากของชาวสวนเขม็ง นางอ่านปากได้ แม้มิได้อยู่ข้างกายเฉียวเนี่ยน ก็ยังรู้ว่าชาวสวนพูดว่าอะไรเฉียวเนี่ยนก็ชะงักไปเล็กน้อย มองชาวสวนด้วยความแปลกใจ แต่ก็เห็นเพียงสีหน้าใสซื่อจริงใจของอีกฝ่าย หาได้มีพิรุธอันใดไม่แต่เมื่อนางก้มตามอง ก็เห็นบนใบของผักกาดขาวนั้น กลับถูกสลักไว้ด้วยเล็บเป็นตัวอักษรว่า 'เหอ'ชาวสวนคนนี้ เป็นคนของเซียวเหอ!เฉียวเนี่ยนเห็นดังนั้น จึงรับผักกาดขาวใบนั้นมา แล้วก็ปัดใบที่มีตัวอักษรสลักอยู่ออกอย่างแน
อีกด้านหนึ่ง เซียวเหอก็ได้รับข่าวคราวมาแล้วแต่จี้เยว่กลับไม่เข้าใจ "เหตุใดนายหญิงน้อยใหญ่ถึงต้องการให้พวกเราแพร่ข่าวคราวของนางออกไป? ต่อให้คนทั้งเมืองหลวงรู้เรื่องแล้วอย่างไร? มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณชายรองคงไม่สนใจคำพูดคนรอบข้างแล้วมิใช่หรือขอรับ?"เซียวเหอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันหรือเนี่ยนเนี่ยนต้องการให้คำพูดของพวกชาวบ้านทำให้เรื่องนี้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงบีบบังคับเซียวเหิง ให้ปล่อยตัวนางออกมา?อย่างไรเสีย การแย่งชิงสะใภ้ใหญ่ ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของโลกภายนอกอยู่แล้วหากเหล่าขุนนางร่วมมือกันเล่นงานเซียวเหิง ย่อมถึงขั้นที่แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้แต่ว่า...ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จนั้น เรียกได้ว่าเล็กน้อยจนแทบจะเป็นศูนย์ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ตอนที่พวกเขาแพร่ข่าวจนทั่วทั้งเมืองนั้น เซียวเหิงก็ต้องใช้อำนาจของตนเองในการปิดเรื่องนี้ให้เงียบลงแม้จะเล็ดรอดไปถึงหูฮ่องเต้ แต่ด้วยนิสัยของเซียวเหิง เพียงคำว่า 'กระหม่อมไม่ทราบเรื่อง' ประโยคเดียว ต่อให้ฮ่องเต้สั่งลงโทษหนัก ใช้ไม้ตีทหารฟาดจนเลือดเนื้อเละเทะ เขาก็อาจไม่ยอมปริปากเลยก็ได้!เมื่อเห็นเซียวเหอไม่กล่าวอันใด จ
ข่าวลืองั้นหรือ?เซียวเหอคิดในใจว่าเป็นไปได้สูง ที่จะเป็นเรื่องที่เขาสั่งให้จี้เยว่ทำเมื่อคืนเขาขมวดคิ้วและถามกลับ "ใต้เท้าซุน นี่คือเหตุผลที่ท่านมาวันนี้หรือ?"แต่แล้วก็ได้ยินซุนเซี่ยนลดเสียงลงเอ่ยว่า "ท่านรู้หรือไม่ว่า พวกโจรภูเขาแห่งหยงเป่ย ปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้?"พวกโจรภูเขาแห่งหยงเป่ยหรือ?เซียวเหอตะลึง "นี่เป็นข้อมูลของเมื่อไหร่กัน?""ไม่กี่วันก่อนหน้านี้น่ะสิ! แม่ทัพเซียวก็รู้ ไม่เช่นนั้นบาทก็ไม่มีทางให้ข้าใช้ข้ออ้างนั้นหรอก!"เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ราษฎรแตกตื่น เรื่องนี้จึงยังไม่ได้แพร่ออกไป อย่าว่าแต่เซียวเหอเลย ต่อให้เป็นเหล่าขุนนางในราชสำนัก ก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำพูดของซุนเซี่ยน เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเซียวเหอในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าเหตุใดเฉียวเนี่ยนถึงให้คนส่งข่าว แพร่เรื่องที่นางถูกเซียวเหิงกักขังออกไปนางไม่ได้ต้องการให้ฮ่องเต้ช่วยนางด้วยซ้ำ ข่าวคราวเหล่านั้น นางจงใจแพร่ไปให้พวกโจรภูเขาแห่งหยงเป่ยได้ยิน!ก่อนหน้านี้ เซียวเหิงเคยนำทัพปราบปรามพวกโจรภูเขาจนรังโจรภูเขาของพวกมันพินาศย่อยยับ บัดนี้พวกมันปรากฏตัวในเมืองหลวง ยากนักท
ในเวลาเดียวกัน ที่หมู่บ้านเหอวานห่างออกไปถึงสามร้อยลี้ เฉียวเนี่ยนยังคงเหม่อมองกำไลหยกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ นั้นนางไม่ใช่คนที่ชอบคิดวกวนไปมา เมื่อเห็นกำไลหยกแตก นางย่อมรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดแต่เมื่อนางลองคิดกลับกัน การที่นางลอยมาตั้งไกลจากเมืองหลวงถึงที่นี่แล้วยังรอดชีวิตมาได้ อาจเป็นเพราะกำไลหยกที่แม่ของจิ่งเหยียนให้มานั้นช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัยก็เป็นได้ความคิดเช่นนี้ แม้จะทำให้นางยิ่งรู้สึกเสียใจ แต่ในใจก็พลันมีไออุ่นลอยแทรกขึ้นมานางมักจะรู้สึกว่า ในความลี้ลับเหนือธรรมชาติ จิ่งเหยียนได้ปกป้องนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าฉู่จืออี้นั่งลงหน้ากองฟืนอีกครั้งหยิบขวานขึ้น วางฟืนให้มั่น เสียง 'ผั่บ' ดังขึ้น ฟืนก็แยกออกเป็นสองท่อนเรียบร้อยเขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองเข้าไปในเรือนหน้าต่างไม้เปิดแง้มอยู่ เห็นเลือนลางถึงมือของนางที่กำลังประคองกำไลหยกไว้ฉู่จืออี้รู้ว่าจิ่งเหยียนมีน้องสาวคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขากับจิ่งเหยียนถูกล้อมอยู่ในหุบเขา เขาเคยถามจิ่งเหยียนว่าในครอบครัวยังมีใครเหลืออยู่บ้างจิ่งเหยียนบอกว่า เขามีน้องสาวคนหนึ่ง ความปรารถนาสูงสุดของเขาตลอดชีวิต คืออยากให้น้
เซียวเหิงโดนต่อยหนึ่งหมัด เขาไม่ได้หลบ กลับชกสวนกลับไปอย่างรวดเร็วหนึ่งหมัด "ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ต้องการนางแล้วหรือ? วันนั้นตอนที่นางถูกพาตัวไปยังกรมซักล้าง เหตุใดเจ้าถึงได้ปกป้องแต่หลินยวน!"หลินเย่ว์รับหมัดไปหนึ่งหมัด ถอยหลังไปสองก้าว แล้วก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง "แล้วเจ้าเล่า! หากเจ้ารักนางจริง เหตุใดถึงไม่ปกป้องนาง? ในเมื่อเมื่อก่อนก็ไม่ได้รักนางถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงกลับมากักขังนางไว้อีก! เป็นเจ้าต่างหากที่ทำให้นางตาย!""เจ้าหุบปาก!" เซียวเหิงโกรธจนสุดขีด เข้าตะลุมบอนกับหลินเย่ว์ทั้งสองมิได้ชักดาบออกมา และไม่ใช้ท่วงท่าวรยุทธ์ด้วยเช่นกันก็ราวกับเด็กสามขวบคนหนึ่ง เจ้าต่อยหนึ่งหมัด ข้าต่อยหนึ่งหมัด ไม่มีใครเอาชนะใครได้เสียทีไม่รู้ว่าต่อสู้กันไปนานแค่ไหน ในที่สุดทั้งสองก็ล้มลงนอนอยู่บนพื้นบนใบหน้าต่างมีรอยฟกช้ำ บวมเป่ง หน้าดำหน้าเขียวดวงตาของหลินเย่ว์เหม่อมองฟ้าอย่างไร้จิตวิญญาณ แต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพของเนี่ยนเนี่ยนสิ่งที่เซียวเหิงด่าก็ถูกแล้ว เขาซึ่งเป็นพี่ใหญ่คนนี้ ทำไมถึงจดจำนางไม่ได้?เขาน่ะหรือ คู่ควรจะเป็นพี่ใหญ่ของนาง?ส่วนเซียวเหิงก็มองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
ไม่นานนัก ท่านโหวหลินและฮูหยินหลินก็จากไปเซียวเหอก็พาคนลากโลงศพออกไปหลินเย่ว์หันกลับมามองคนของตน แล้วเอ่ยว่า "ตามหาต่อไป"แม้ในความคิดของเขา ศพนั้นน่าจะเป็นเนี่ยนเนี่ยนมากที่สุดแต่ในเมื่อยังมีโอกาสที่จะไม่ใช่ ก็ต้องตามหากันต่อเอ่ยจบกำลังจะจากไป กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกเซียวเหิงเรียกไว้"หมอตำแยแซ่เฉานี่อย่างไร?" เสียงของเซียวเหิงแผ่วเบา คำพูดของฮูหยินหลินเมื่อครู่ ดึงดูดความสนใจของเขาเขาเองก็รู้เรื่องที่จวนโหวรับหลินยวนกลับมาเมื่อหลายปีก่อนหมอตำแยที่ทำคลอดให้ฮูหยินหลินสับเปลี่ยนเนี่ยนเนี่ยนกับหลินยวนแล้วทำไมบัดนี้ถึงมีหมอตำแยแซ่เฉาโผล่มาอีกคนหลินเย่ว์มองเซียวเหิงด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดจะตอบเขา และกำลังจะหันหลังเดินจากไปแต่เดินออกไปได้แค่สองก้าว ความชั่วร้ายในใจก็ครอบงำเขาเขาค่อยๆ หันกลับมามองเซียวเหิง มุมปากยิ้มเยาะ "เมื่อครึ่งเดือนก่อน ก็คือวันที่สองหลังจากเนี่ยนเนี่ยนตกแม่น้ำฉางหยาง หมอตำแยแซ่เฉามาที่จวนโหว นางบอกว่าเนี่ยนเนี่ยนต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของจวนโหว"ทันทีที่คำพูดจบลง หลินเย่ว์ก็มองเห็นดวงตาลึกล้ำของเซียวเหิงค่อยๆ เผยความตกใจออกมาจากนั้น เขาก็พุ่งเข้
ทันทีที่โลงศพเปิดออก กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงก็โชยออกมาท่านโหวหลินแทบจะอาเจียนออกมาในทันที และเมื่อเห็นร่างในโลงศพ เขาก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวครึ่งเดือน ร่างกายก็เริ่มบวมเน่าแล้วใบหน้าของหญิงสาวไม่สามารถระบุลักษณะได้อีกต่อไป แม้แต่สีผิวก็เปลี่ยนไปแล้วทว่าแม้ท่านโหวหลินจะมองเพียงแวบเดียว เขาก็มั่นใจอย่างประหลาดใจว่า "นี่ไม่ใช่เนี่ยนเนี่ยน!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวเหิงราวกับถูกสะกดจิตก็เงยหน้าขึ้นมองท่านโหวหลินทันทีดวงตาของเขาราวกับเต็มไปด้วยความหวังหลินเย่ว์ก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาคิดว่าหากท่านโหวหลินมั่นใจเช่นนี้ บางทีอาจไม่ใช่นางจริงๆเซียวเหอเหลือบมองเซียวเหิงที่อยู่ไม่ไกลโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงถามว่า "ท่านโหวพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?"เสียงของท่านโหวหลินสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า "พวกเจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ? เนี่ยนเนี่ยนมีรอยแผลเต็มตัว! หรือตกลงไปในน้ำ รอยแผลจะหายไป?"ร่างของหญิงสาวนี้ไม่มีรอยแผลเป็นเลย!นี่คือสิ่งที่เซียวเหิงและเซียวเหอกำลังสงสัยเซียวเหอมองไปยังเซียวเหิงที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นจึงเอ่ยว่า "เหิงเอ๋อร์บอกว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยมอบยาทาแผลเป็นให้เนี่ยนเนี่ยน ฉะนั้นเนี
ทำไมถึงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบนี้...ดวงตาของเฉียวเนี่ยนเปียกชื้นในทันทีกำไลนี้เป็นตัวแทนการยอมรับของตระกูลจิ่งที่มีต่อนาง เป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์ของนางกับจิ่งเหยียน นางทะนุถนอมมันมาโดยตลอด แต่ในที่สุดก็แตกสลายอยู่ดีความรู้สึกเจ็บปวดในอกแผ่ซ่าน เฉียวเนี่ยนก้มหน้าลง ไม่ต้องการให้ไป๋อวี่เห็นความผิดปกติของนาง จึงเอ่ยเพียงเสียงทุ้มต่ำว่า "ขอบคุณพี่ไป๋มาก"เอ่ยจบก็หันหลังเดินกลับบ้าน กระโดดไปข้างหน้าและข้างหลังโดยจับผนังไว้ทว่าไป๋อวี่เห็นน้ำตาหยดนั้นที่หยดลงบนกำไลหยกในเวลานี้ เมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไปสามร้อยลี้ข่าวการค้นพบเฉียวเนี่ยนแพร่กระจายออกไป ทำให้ท่านโหวหลินและฮูหยินหลินรีบเร่งออกจากเมืองหลวงตลอดทางฮูหยินหลินรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก แม้ว่าท่านโหวหลินจะจับมือนางไว้ตลอดเวลา มือของนางก็ยังคงเย็นเฉียบเมื่อพวกเขาลงจากรถม้าที่ชานเมืองหลวงและเห็นโลงศพขนาดใหญ่ ขาของฮูหยินหลินก็อ่อนแรงทันที แทบล้มลงกับพื้นไม่ใช่ว่าพวกเขาพบคนแล้วหรือ?ทำไมถึงเป็นโลงศพ?ดวงตาของหลินเย่ว์เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เมื่อเห็นท่านโหวหลินและฮูหยินหลินเดินเข้ามา เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค
ฝ่ามือหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยแผลหนาแข็งแต่ความอบอุ่นนั้นกลับไม่ได้ถูกขัดขวางแม้แต่น้อย ค่อยๆ ส่งผ่านเข้าไปในใจของเฉียวเนี่ยนทีละนิด "เด็กน้อย ลำบากมามากแล้ว"เสียงถอนหายใจแผ่วเบา อาชุนเองก็ไม่คาดคิดว่าน้ำตาจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแต่ก็โทษนางไม่ได้จริงๆ เพราะรอยแผลเป็นบนตัวเด็กสาวน่าตกใจเหลือเกินไป๋อวี่บอกว่าเสื้อผ้าที่นางใส่วันนั้นเหมือนสาวใช้ของตระกูลร่ำรวยแต่ตระกูลร่ำรวยก็เกินไปจริงๆ ทำไมถึงตีสาวใช้ขนาดนี้?ชีวิตของสาวใช้ ไม่ใช่ชีวิตหรืออย่างไร?หากพ่อแม่ของเด็กคนนี้มาเห็นเข้า คงจะเสียใจมากเพียงใด!คำพูดเหล่านี้ อาชุนไม่ได้พูดออกไป กลัวว่าจะทำให้เฉียวเนี่ยนเสียใจแต่พอมองน้ำตาของอาชุน เฉียวเนี่ยนก็อดน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้ "อาชุนอย่าร้องเลย ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว"ยามนี้นางได้หนีห่างจากเมืองหลวง หนีห่างจากคนพวกนั้นทุกอย่างได้ผ่านไปแล้วคนพวกนั้นในเมืองหลวง หากหานางไม่เจอภายในสองสามวัน คงคิดว่านางตายไปแล้วแน่นอนว่าเด็กสาวหนิงซวงต้องเสียใจมากแน่ๆทว่ามีจี้เยว่คอยดูแลอยู่ หนิงซวงไม่น่าจะเป็นอะไรเซียวเหอก็จะคอยดูแลหนิงซวงให้นางอย่างแน่นอนฉะนั้นนางจึงไม่ต้องกังวลและเป็นห่วงอะไ
ฉู่จืออี้ไม่เคยคาดคิดเลยว่า ของที่เขาแกะสลักด้วยมือเมื่อหลายปีก่อน จะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้งในวันนี้หยกผิงอันขนาดเล็กราวกับกุญแจที่เปิดความทรงจำที่ถูกฝังไว้เมื่อหลายปีก่อนของเขาสงครามนองเลือด ซากศพเกลื่อนกลาด...ล้วนทำให้เขาตกใจยิ่ง"ขอบคุณพี่ไป๋มาก"เสียงหวานใสที่ดังขึ้น เรียกสติของฉู่จืออี้กลับคืนมาสายตาของเขาจึงละจากหยกผิงอัน มองไปที่เฉียวเนี่ยน พยักหน้านิดๆ แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำหญิงวัยกลางคนคุ้นเคยกับนิสัยของเขาดี จึงยิ้มให้เฉียวเนี่ยน "ไม่ต้องกลัว เขาเป็นคนแบบนี้ ไม่ชอบพูด แต่เป็นคนดีมาก! ยามนั้นหากไม่ได้เขา หมู่บ้านของเราคงถูกหมาป่าบนเขาทำลายไปแล้ว!"หญิงผู้นั้นพูดราวกับเปิดกล่องความทรงจำ กำลังจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้เฉียวเนี่ยนฟังแต่เฉียวเนี่ยนมีเรื่องอื่นในใจ จึงอดขัดจังหวะหญิงผู้นั้นไม่ได้ แล้วถามว่า "ขอถามท่านอาสะใภ้สักหน่อย ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงไกลแค่ไหนหรือ?""เมืองหลวง?!" หญิงผู้นั้นอุทาน ทำให้ฉู่จืออี้ที่กำลังผ่าฟืนอยู่ในลานบ้านถึงกับชะงักพอได้ยินเช่นนี้ หญิงผู้นั้นก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ "แม่นาง เจ้ามาจากเมืองหลวงหรือ? ลอย
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รีบตอบรับ จากนั้นก็เข้าไปลากตัวหลินยวนออกไปด้านนอกหลินยวนยังคงร้องขอความเห็นใจ “ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกสาวของท่านจริงๆ ท่านพ่อ! ท่านอย่าไปเชื่อคำพูดโกหกของคนอื่น!”ทว่าท่านโหวหลินไม่ได้มองนางอีกเลยครึ่งเดือนต่อมาเฉียวเนี่ยนค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือคานบ้านเก่าๆนางอยู่ที่ไหนกัน?ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมองเฉียวเนี่ยนจำได้ว่าตัวเองตกลงไปในแม่น้ำฉางหยาง หัวใจของนางก็เต้นแรงขึ้นด้วยความหวาดผวานางคิดว่าแม่น้ำฉางหยางไหลเอื่อย แม้จะตกน้ำก็คงปีนขึ้นมาได้ไม่ยากกลับนึกไม่ถึงว่าใต้น้ำจะไหลเชี่ยวเพียงนี้นางถูกกระแสน้ำพัดลงไปก้นแม่น้ำในทันที พยายามดิ้นรนหลายครั้ง แต่ด้วยพลังมหาศาลนั้น นางก็เหมือนใบไม้ ไร้ซึ่งพลังต้านทาน สติสัมปชัญญะของนางก็ดับวูบไปอย่างรวดเร็วแล้วยามนี้ นางอยู่ที่ไหนกัน?เฉียวเนี่ยนพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่ขาซ้ายของนางก็เจ็บปวดอย่างรุนแรงนางสูดลมหายใจเข้าอย่างเย็นเยียบ จากนั้นก็เปิดผ้าห่มออก และเห็นว่าขาซ้ายของนางถูกตรึงด้วยไม้กระดานหลายแผ่นหักแล้วหรือ?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูก็เปิดออก หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าธรรมดา ถือชาม
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” ท่านโหวหลินตกใจมาก ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วฮูหยินหลินเองก็เบิกตากว้างอย่างกะทันหัน มองหลินเย่ว์ด้วยความไม่เชื่อหลินยวนก็ตกใจมากเช่นกัน ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าทำไมหลินเย่ว์ถึงทำตัวผิดปกติเช่นนี้ก่อนหน้านี้ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้หรือ?เพราะเฉียวเนี่ยนตายแล้วรึ?แต่ในขณะนี้ หลินยวนไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อยสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความตื่นตระหนกเท่านั้นเฉียวเนี่ยนตาย แล้วนางจะปัดความรับผิดชอบเรื่องของย่าเฉาได้อย่างไร?นางจะโยนความผิดให้ใคร?ทำเช่นไรดี?หลินยวนรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุดแต่ไม่คิดว่าหลินเย่ว์จะพุ่งเข้ามาจับคอเสื้อของนาง “เจ้าเป็นใครกันแน่? พูดมา!”หลินยวนตกใจกลัวนางไม่เคยเห็นหลินเย่ว์ดุร้ายเช่นนี้มาก่อนน้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด แต่ก็ยืนกรานว่าตัวเองเป็นบุตรสาวสายตรงแห่งจวนโหว“พี่ใหญ่ อย่าขู่ข้าเลย... ข้าเป็นน้องสาวของพี่นะ!”“หมอตำแยพูดเองกับปากว่า ข้าถูกนางสลับตัว! นางพูดเองกับปาก!”“ข้าหน้าเหมือนแม่มากเลยนะ พี่ใหญ่ ดูข้าสิ! ข้าจะไม่ใช่ลูกของแม่ได้อย่างไร!”นางปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองไม่ใช่!มิเช่นนั้น ด้วยสภาพของคนในตระกูลหลินยามนี้ พวกเขาจ