ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
เหล่าเด็กสาวล้วนกล่าวว่าตนยินดีในแผ่นดินยุคนี้ ความบริสุทธิ์ของสตรีถูกให้ค่ามากยิ่งกว่าสิ่งใด แม้กระทั่งคืนแรกแห่งการแต่งงานยังต้องตรวจดูผ้าซับเลือดบริสุทธิ์เลยเชียว หากผ้าผืนนั้นปราศจากโลหิต เด็กสาวก็จะถูกส่งตัวกลับบ้านบางครอบครัวยังถือว่าดีอยู่บ้าง เพียงแค่ส่งบุตรสาวไปยังตำหนักเรือนในชนบทครอบครัวมั่งคั่งหน่อย ก็ส่งบุตรหลานเข้าสู่วัด แล้วมอบเงินให้วัดเป็นรายเดือนแต่ก็มีบางครอบครัวที่เมื่อบุตรสาวก้าวเท้าเข้าบ้าน เชือกก็ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว เพื่อให้บุตรสาวผูกคอตนเองบ้านของพวกบัณฑิต มักทำเรื่องทำนองนี้อยู่มิใช่น้อยพวกนางย่อมรู้จักครอบครัวของตนดี รู้ว่าหากกลับบ้านไปคงไร้หนทางมีชีวิตอยู่ ต่างจึงเห็นว่าหนทางที่ชีหยวนยื่นให้ คือหนทางที่ดีที่สุดชีหยวนตอบรับคำหนึ่ง สายตาเหลือบมองจิ้งคงที่เต็มไปด้วยบาดแผล ก้มตาต่ำพลางเอ่ยขึ้นว่า “วัดแห่งนี้ ข้าจะจุดไฟเผาทิ้งเสียอากาศแห้งแล้ง วัดวาเช่นวัดว่านอันก็มิใช่วัดใหญ่โตอันใด ข้าดูแล้ว กระถางธูปยังไร้ผู้ดูแล หากเกิดเพลิงขึ้นมา ย่อมเป็นเหตุการณ์ปกติ มิใช่หรือ?”จิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายของชีหยวน รีบพยักหน้ารัว ๆชีหยวน
จิ้งคงเกาศีรษะ เช็ดเลือดที่จมูกเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคงปรารถนาจะรับใช้พระพุทธองค์ต่อไป”ชีหยวนพยักหน้า “เจ้ามีเมตตา มีจิตใจดีงาม พระโพธิสัตว์ย่อมมองเห็น”นางส่งข่าวไปให้ซุ่นจื่อ เตรียมให้ซุ่นจื่อตามจิ้งคงพาเหล่าเด็กสาวเดินทางลงใต้ไปยังฮุ่ยโจวด้วยกันซุ่นจื่อก็ยังทำตามคำสั่งของนางก่อนหน้านี้ ไถ่ตัวเหล่ามือคุ้มกันมาได้หลายคน ได้นำมาใช้พอดิบพอดีกับภารกิจครั้งนี้ ไม่เอ่ยมากความก็รีบจัดของออกเดินทางทันทีส่วนชีหยวนหรือ? นางเพิ่งกลับถึงบ้านพักชนบท พอมาถึงก็พบกับเซียวอวิ๋นถิงสีหน้าของพระราชนัดดาองค์โตเปี่ยมไปด้วยโทสะที่ทั้งอธิบายไม่ถูกทั้งไม่ชัดเจน เขาเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ไปล้างเนื้อล้างตัวที่เรือนเจ้าก่อนเถอะ ทั้งตัวมีกลิ่นควันไฟฉุนไปหมดแล้ว”จริงอย่างที่ว่า ชีหยวนนางเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอันรุนแรงที่ติดบนตัวนางรับคำเบา ๆ โดยไม่ใส่ใจสีหน้าดูไม่ดีของเซียวอวิ๋นถิงแม้แต่น้อยเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงล่วงรู้เรื่องของวัดว่านอันแล้ว ปาเป่ากับลิ่วจินสองคนนั้น มักแอบช่วยเขาจับตาดูตนอยู่เป็นนิจ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักในบ้านพักชนบททุกอย่างพร้อมสรร
เขาไม่ได้กำลังราดน้ำเย็นใส่ชีหยวน เพียงแค่ต้องการให้ชีหยวนคิดให้รอบคอบหรือว่าเขาไม่อยากฆ่าผู่อู๋ย่งอย่างนั้นหรือ?ไม่ใช่เลย เจ้าขันทีสถุลนี่ เขาอยากฆ่าตั้งแต่กลับกลับเมืองหลวงแล้วแต่น่าเสียดาย เจ้าสุนัขขันทีคนนี้เป็นขันทีผู้ใหญ่แห่งกรมขันทีพระราชพิธี อำนาจล้นฟ้า จะหาหลักฐานมัดตัวเขายากเย็นเหลือเกินยามเขาออกนอกวัง ยังมีองครักษ์เสื้อแพรติดตามตลอดเวลา องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดมีเพียงเขากับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ และล้วนอยู่ใต้มือของมันแม้แต่การลอบสังหารก็ยังไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้น หากจะฆ่าผู่อู๋ย่ง ย่อมได้ แต่ต้องเตรียมการให้พร้อมชีหยวนหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “เขาจะไม่ได้ควบคุมองครักษ์เสื้อแพรไปตลอดหรอกเจ้าค่ะ”เซียวอวิ๋นถิงก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดเหล่านี้ของชีหยวน เขารู้ดีว่านางโกรธมากจริง ๆ นางเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อนเสมอครั้งนี้ผู่อู๋ย่งถือว่าได้เหยียบเข้าหางเสือเข้าแล้วจริง ๆ ไปแตะต้องคนของนางเข้าให้แล้วขณะที่พูดกันอยู่ ชิงเถาก็วิ่งเข้ามาอย่างลนลาน “คุณหนู แย่แล้ว แย่แล้ว เจ้าหมาน้อยหายไปแล้ว!”เจ้าหมาน้อย?!ชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิงต่างก็ทำหน้าง
ที่จริงแล้วชีหยวนมิใช่คนชอบหลอกคนแต่ในเวลานี้ขณะนี้ นางไม่ต้องการเปิดโปงความจริงเช่นนั้นต่อเด็กสี่ขวบคนหนึ่ง ย่อมโหดร้ายเกินไปนักเป็นจริงอย่างที่ว่า ความทุกข์ยากสามารถหล่อหลอมให้คนเติบโตแต่บางคน กลับต้องติดอยู่ในความทุกข์นั้นไปชั่วชีวิต ต่อให้ภายหลังจะครอบครองทุกสิ่ง แต่กลับไม่เข้าใจว่าจะมีความสุขอย่างไรนางไม่อยากให้เจ้าหมาน้อยกลายเป็นคนเช่นนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าหมาน้อยก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกมา จับมือของชีหยวนไว้ แล้วคลานออกมาจากในโพรงชีหยวนอุ้มเขาขึ้นมา ลูบแผ่นหลังเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้ว ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าแทนแม่ของเจ้าเป็นอย่างดี”เซียวอวิ๋นถิงมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เอ่ยกับชีหยวนว่า “เจ้าหมาน้อยไม่มีชื่อจริง เรียกเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่น่าฟัง เจ้าตั้งชื่อใหม่ให้เขาเถิด”ชีหยวนแทบไม่มีเยื่อใยหรือผูกพันใด ๆ กับโลกนี้จนน่ากลัวแต่เวลานี้เอง เซียวอวิ๋นถิงกลับมองเห็นแสงแห่งความหวังชื่อคือคาถาสะกดที่สั้นที่สุด เมื่อตั้งชื่อให้ย่อมมีพันธะชีหยวนเย็นชาเกินไป และไม่เคยเห็นค่าชีวิตของตัวเองเลยเขาหวังว่าฉีหยวนจะมีความผูกพันและความรักต่อโลกใบนี้มากข
เซียวอวิ๋นถิงเปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ ชีหยวนสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วแต่นางไม่ได้ใส่ใจ และก็ไม่คิดจะใส่ใจโลกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ใช่มีเพียงความรักเท่านั้นที่ควรค่าแก่การจดจำนางสัมผัสได้ว่าในชาตินี้เซียวอวิ๋นถิงชอบนางแต่ชอบก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ต้องชอบพอกันทั้งสองฝ่ายถึงจะมีความหมายแต่แม้จะชอบพอกันทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่มีประโยชน์ สิ่งที่นางต้องการคือความรักที่แน่วแน่ไม่แปรผัน คือการเลือกที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแต่ทั้งหมดนั้น เซียวอวิ๋นถิงให้นางไม่ได้นางรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงคือดอกไม้ที่งดงามที่สุดที่นางได้พบเจอแต่การชอบไม่ได้หมายความว่าต้องได้มาครอบครอง แค่เคยเห็นดอกไม้บานก็เพียงพอแล้ว แล้วจะไปสนใจอะไรว่าดอกไม้นั้นจะไปบานในสวนของใคร?นางควบม้าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง นางยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ยังมีความปรารถนาที่ยังไม่สมหวังอีกหลายข้อไม่มีเวลามาเสียความคิดกับเรื่องพวกนี้เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่เนิ่นนานในที่สุดเขาก็เข้าใจหัวใจตัวเองอย่างแท้จริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้าใจหัวใจของชีหยวนด้วยนางเป็นคนเฉลีย
ชีหยวนไม่มีเวลามานั่งคุยกับชีอวิ๋นจื่อนางรู้ดีว่าชีอวิ๋นจื่อเพิ่งกลับถึงบ้าน ย่อมยังรู้สึกอ่อนไหวและไม่อาจปรับตัวได้ทันที จึงตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า “ให้อวิ๋นจื่ออยู่ที่นี่กับท่านเถิด ท่านย่า?”ฮูหยินผู้เฒ่าชีไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบรับคำทันทีตัวนางเองก็มีความคิดนี้อยู่แล้วเช่นกันชีอวิ๋นจื่อเป็นบุตรชายสายตรงเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ของสายใหญ่ และบัดนี้ดูท่าเขาก็พึงใจในตัวชีหยวนยิ่งนักเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงพอที่จะชุบเลี้ยงฝึกฝนให้ดีฮูหยินผู้เฒ่าชีมองอวิ๋นจื่ออย่างเอ็นดู “พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเพิ่งกลับมา พวกเรายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับนางอีก เจ้าไปพักที่เรือนด้านหลังก่อนนะ อีกสองวันข้าจะให้คนจัดการเรือนฝั่งตะวันออกให้เรียบร้อย ให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันออก ดีหรือไม่?”ชีอวิ๋นจื่อพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายเมื่อเขาก้าวออกไป ชีเจิ้นก็รีบเอ่ยถามชีหยวนด้วยความร้อนรน “แม่หนูหยวน ลูกออกไปทั้งคืนบอกว่าจะไปจัดการเรื่องสำคัญ ไปจัดการเรื่องใดกันแน่?”ที่จริงเขาอยากถามว่าไปฆ่าใครมาแต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว คำถามเช่นนั้นดูจะตรงเกินไปชีหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเ
ชีหยวนไม่มีเวลามานั่งคุยกับชีอวิ๋นจื่อนางรู้ดีว่าชีอวิ๋นจื่อเพิ่งกลับถึงบ้าน ย่อมยังรู้สึกอ่อนไหวและไม่อาจปรับตัวได้ทันที จึงตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า “ให้อวิ๋นจื่ออยู่ที่นี่กับท่านเถิด ท่านย่า?”ฮูหยินผู้เฒ่าชีไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบรับคำทันทีตัวนางเองก็มีความคิดนี้อยู่แล้วเช่นกันชีอวิ๋นจื่อเป็นบุตรชายสายตรงเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ของสายใหญ่ และบัดนี้ดูท่าเขาก็พึงใจในตัวชีหยวนยิ่งนักเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงพอที่จะชุบเลี้ยงฝึกฝนให้ดีฮูหยินผู้เฒ่าชีมองอวิ๋นจื่ออย่างเอ็นดู “พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเพิ่งกลับมา พวกเรายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับนางอีก เจ้าไปพักที่เรือนด้านหลังก่อนนะ อีกสองวันข้าจะให้คนจัดการเรือนฝั่งตะวันออกให้เรียบร้อย ให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันออก ดีหรือไม่?”ชีอวิ๋นจื่อพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายเมื่อเขาก้าวออกไป ชีเจิ้นก็รีบเอ่ยถามชีหยวนด้วยความร้อนรน “แม่หนูหยวน ลูกออกไปทั้งคืนบอกว่าจะไปจัดการเรื่องสำคัญ ไปจัดการเรื่องใดกันแน่?”ที่จริงเขาอยากถามว่าไปฆ่าใครมาแต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว คำถามเช่นนั้นดูจะตรงเกินไปชีหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเ
เซียวอวิ๋นถิงเปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ ชีหยวนสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วแต่นางไม่ได้ใส่ใจ และก็ไม่คิดจะใส่ใจโลกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ใช่มีเพียงความรักเท่านั้นที่ควรค่าแก่การจดจำนางสัมผัสได้ว่าในชาตินี้เซียวอวิ๋นถิงชอบนางแต่ชอบก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ต้องชอบพอกันทั้งสองฝ่ายถึงจะมีความหมายแต่แม้จะชอบพอกันทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่มีประโยชน์ สิ่งที่นางต้องการคือความรักที่แน่วแน่ไม่แปรผัน คือการเลือกที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแต่ทั้งหมดนั้น เซียวอวิ๋นถิงให้นางไม่ได้นางรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงคือดอกไม้ที่งดงามที่สุดที่นางได้พบเจอแต่การชอบไม่ได้หมายความว่าต้องได้มาครอบครอง แค่เคยเห็นดอกไม้บานก็เพียงพอแล้ว แล้วจะไปสนใจอะไรว่าดอกไม้นั้นจะไปบานในสวนของใคร?นางควบม้าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง นางยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ยังมีความปรารถนาที่ยังไม่สมหวังอีกหลายข้อไม่มีเวลามาเสียความคิดกับเรื่องพวกนี้เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่เนิ่นนานในที่สุดเขาก็เข้าใจหัวใจตัวเองอย่างแท้จริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้าใจหัวใจของชีหยวนด้วยนางเป็นคนเฉลีย
ที่จริงแล้วชีหยวนมิใช่คนชอบหลอกคนแต่ในเวลานี้ขณะนี้ นางไม่ต้องการเปิดโปงความจริงเช่นนั้นต่อเด็กสี่ขวบคนหนึ่ง ย่อมโหดร้ายเกินไปนักเป็นจริงอย่างที่ว่า ความทุกข์ยากสามารถหล่อหลอมให้คนเติบโตแต่บางคน กลับต้องติดอยู่ในความทุกข์นั้นไปชั่วชีวิต ต่อให้ภายหลังจะครอบครองทุกสิ่ง แต่กลับไม่เข้าใจว่าจะมีความสุขอย่างไรนางไม่อยากให้เจ้าหมาน้อยกลายเป็นคนเช่นนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าหมาน้อยก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกมา จับมือของชีหยวนไว้ แล้วคลานออกมาจากในโพรงชีหยวนอุ้มเขาขึ้นมา ลูบแผ่นหลังเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้ว ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าแทนแม่ของเจ้าเป็นอย่างดี”เซียวอวิ๋นถิงมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เอ่ยกับชีหยวนว่า “เจ้าหมาน้อยไม่มีชื่อจริง เรียกเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่น่าฟัง เจ้าตั้งชื่อใหม่ให้เขาเถิด”ชีหยวนแทบไม่มีเยื่อใยหรือผูกพันใด ๆ กับโลกนี้จนน่ากลัวแต่เวลานี้เอง เซียวอวิ๋นถิงกลับมองเห็นแสงแห่งความหวังชื่อคือคาถาสะกดที่สั้นที่สุด เมื่อตั้งชื่อให้ย่อมมีพันธะชีหยวนเย็นชาเกินไป และไม่เคยเห็นค่าชีวิตของตัวเองเลยเขาหวังว่าฉีหยวนจะมีความผูกพันและความรักต่อโลกใบนี้มากข
เขาไม่ได้กำลังราดน้ำเย็นใส่ชีหยวน เพียงแค่ต้องการให้ชีหยวนคิดให้รอบคอบหรือว่าเขาไม่อยากฆ่าผู่อู๋ย่งอย่างนั้นหรือ?ไม่ใช่เลย เจ้าขันทีสถุลนี่ เขาอยากฆ่าตั้งแต่กลับกลับเมืองหลวงแล้วแต่น่าเสียดาย เจ้าสุนัขขันทีคนนี้เป็นขันทีผู้ใหญ่แห่งกรมขันทีพระราชพิธี อำนาจล้นฟ้า จะหาหลักฐานมัดตัวเขายากเย็นเหลือเกินยามเขาออกนอกวัง ยังมีองครักษ์เสื้อแพรติดตามตลอดเวลา องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดมีเพียงเขากับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ และล้วนอยู่ใต้มือของมันแม้แต่การลอบสังหารก็ยังไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้น หากจะฆ่าผู่อู๋ย่ง ย่อมได้ แต่ต้องเตรียมการให้พร้อมชีหยวนหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “เขาจะไม่ได้ควบคุมองครักษ์เสื้อแพรไปตลอดหรอกเจ้าค่ะ”เซียวอวิ๋นถิงก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดเหล่านี้ของชีหยวน เขารู้ดีว่านางโกรธมากจริง ๆ นางเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อนเสมอครั้งนี้ผู่อู๋ย่งถือว่าได้เหยียบเข้าหางเสือเข้าแล้วจริง ๆ ไปแตะต้องคนของนางเข้าให้แล้วขณะที่พูดกันอยู่ ชิงเถาก็วิ่งเข้ามาอย่างลนลาน “คุณหนู แย่แล้ว แย่แล้ว เจ้าหมาน้อยหายไปแล้ว!”เจ้าหมาน้อย?!ชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิงต่างก็ทำหน้าง
จิ้งคงเกาศีรษะ เช็ดเลือดที่จมูกเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคงปรารถนาจะรับใช้พระพุทธองค์ต่อไป”ชีหยวนพยักหน้า “เจ้ามีเมตตา มีจิตใจดีงาม พระโพธิสัตว์ย่อมมองเห็น”นางส่งข่าวไปให้ซุ่นจื่อ เตรียมให้ซุ่นจื่อตามจิ้งคงพาเหล่าเด็กสาวเดินทางลงใต้ไปยังฮุ่ยโจวด้วยกันซุ่นจื่อก็ยังทำตามคำสั่งของนางก่อนหน้านี้ ไถ่ตัวเหล่ามือคุ้มกันมาได้หลายคน ได้นำมาใช้พอดิบพอดีกับภารกิจครั้งนี้ ไม่เอ่ยมากความก็รีบจัดของออกเดินทางทันทีส่วนชีหยวนหรือ? นางเพิ่งกลับถึงบ้านพักชนบท พอมาถึงก็พบกับเซียวอวิ๋นถิงสีหน้าของพระราชนัดดาองค์โตเปี่ยมไปด้วยโทสะที่ทั้งอธิบายไม่ถูกทั้งไม่ชัดเจน เขาเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ไปล้างเนื้อล้างตัวที่เรือนเจ้าก่อนเถอะ ทั้งตัวมีกลิ่นควันไฟฉุนไปหมดแล้ว”จริงอย่างที่ว่า ชีหยวนนางเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอันรุนแรงที่ติดบนตัวนางรับคำเบา ๆ โดยไม่ใส่ใจสีหน้าดูไม่ดีของเซียวอวิ๋นถิงแม้แต่น้อยเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงล่วงรู้เรื่องของวัดว่านอันแล้ว ปาเป่ากับลิ่วจินสองคนนั้น มักแอบช่วยเขาจับตาดูตนอยู่เป็นนิจ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักในบ้านพักชนบททุกอย่างพร้อมสรร
เหล่าเด็กสาวล้วนกล่าวว่าตนยินดีในแผ่นดินยุคนี้ ความบริสุทธิ์ของสตรีถูกให้ค่ามากยิ่งกว่าสิ่งใด แม้กระทั่งคืนแรกแห่งการแต่งงานยังต้องตรวจดูผ้าซับเลือดบริสุทธิ์เลยเชียว หากผ้าผืนนั้นปราศจากโลหิต เด็กสาวก็จะถูกส่งตัวกลับบ้านบางครอบครัวยังถือว่าดีอยู่บ้าง เพียงแค่ส่งบุตรสาวไปยังตำหนักเรือนในชนบทครอบครัวมั่งคั่งหน่อย ก็ส่งบุตรหลานเข้าสู่วัด แล้วมอบเงินให้วัดเป็นรายเดือนแต่ก็มีบางครอบครัวที่เมื่อบุตรสาวก้าวเท้าเข้าบ้าน เชือกก็ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว เพื่อให้บุตรสาวผูกคอตนเองบ้านของพวกบัณฑิต มักทำเรื่องทำนองนี้อยู่มิใช่น้อยพวกนางย่อมรู้จักครอบครัวของตนดี รู้ว่าหากกลับบ้านไปคงไร้หนทางมีชีวิตอยู่ ต่างจึงเห็นว่าหนทางที่ชีหยวนยื่นให้ คือหนทางที่ดีที่สุดชีหยวนตอบรับคำหนึ่ง สายตาเหลือบมองจิ้งคงที่เต็มไปด้วยบาดแผล ก้มตาต่ำพลางเอ่ยขึ้นว่า “วัดแห่งนี้ ข้าจะจุดไฟเผาทิ้งเสียอากาศแห้งแล้ง วัดวาเช่นวัดว่านอันก็มิใช่วัดใหญ่โตอันใด ข้าดูแล้ว กระถางธูปยังไร้ผู้ดูแล หากเกิดเพลิงขึ้นมา ย่อมเป็นเหตุการณ์ปกติ มิใช่หรือ?”จิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายของชีหยวน รีบพยักหน้ารัว ๆชีหยวน
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส