ตอนที่ผู่อู๋ย่งได้รับข่าวการตายของฉือซานก็เป็นวันที่สิบของวันขึ้นปีใหม่ ตามปกติ ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ เขาจะเริ่มจัดแจงดูแลงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซียวในวังนอกจากนี้ ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่ได้กลับเมืองหลวงในช่วงปีใหม่ ต่างก็ต่อแถวกันเพื่อมอบของขวัญแก่เขาผู้ที่หวังจะโยกย้ายตำแหน่งในปีหน้า หรือเลื่อนขั้น ต่างก็รีบเร่งขอเข้าพบเขานี่คือช่วงเวลาที่เขารุ่งเรืองที่สุดในรอบปีเพราะหลานชายของเขา ที่เปรียบได้กับลูกแท้ ๆ ของเขาอย่างฉือซาน ก็จะกลับมาเมืองหลวงด้วย โดยอ้างว่าจะมาแสดงธรรมเทศนา แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับเขาหลายวันนั่นเป็นช่วงเวลาน้อยนิดที่เขาจะได้ลิ้มรสความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในทุก ๆ ปี กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดของเขาในปีนี้ตอนที่ได้รับข่าวการตายของฉือซาน หัวใจและทุกอวัยวะของเขาไม่มีส่วนใดที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด ราวกับว่าถูกคนแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งเป็น!ปีนั้นที่เขาจำต้องตัดสินใจตอนตัวเองเป็นขันที เพียงเพราะครอบครัวยากจนสิ้นหนทางหาเลี้ยงชีพแล้วการเข้าวังเป็นขันที คือทางรอดหนึ่งเดียวที่จะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตรอดแต่ใค
เขาควรจะส่งคนไปลอบฆ่าชีหยวนเสียให้สิ้นแต่แรก!ฆ่าชีหยวนซะ!นังปีศาจนั่น หากตายไปตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่เกิดขึ้น ฉือซานเองก็จะไม่ต้องตาย!องค์หญิงเป่าหรงเห็นความผิดปกติเล็กน้อย ปรายตาแล้วจิ๊ปาก “เป็นอะไรไปหรือผู่กงกง หรือว่าหลานรักของท่านเกิดเรื่องขึ้นแล้ว?”ตอนแรก องค์หญิงเป่าหรงยังคิดว่าผู่อู๋ย่งคงเสียพ่อไป แต่พอลองคิดดูให้ดี เจ้าสุนัขขันทีนี่ไม่มีพ่อเสียหน่อย พ่อของเขาตายไปนานแล้ว!กลับมีหลานชายอยู่คนหนึ่ง และเคยเอ่ยถึงต่อหน้าอ๋องฉีอยู่หลายครา ขอให้อ๋องฉีเมตตาช่วยดูแลในภายหน้าดูจากท่าทางคลุ้มคลั่งของผู่อู๋ย่งเช่นนี้ เกรงว่าคงโดนชีหยวนฟาดโดนจุดตายเข้าให้แล้ว ถึงขั้นทำให้ครอบครัวของผู่อู๋ย่งสิ้นทายาทสืบสกุลแล้วกระมัง?สีหน้าขององค์หญิงเป่าหรงก็หม่นลงเช่นกันนางอุทานในใจ ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมจริง ๆ เรื่องใดก็กล้าทำทั้งนั้นผู่อู๋ย่งดวงตาแดงก่ำ จ้ององค์หญิงเป่าหรงอย่างเดือดดาลองค์หญิงเป่าหรงรู้ได้ในทันที ว่าตนเดาถูกแล้วอ้อ เป็นหลานชายตายแล้วจริง ๆ นี่เองไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงฟาดฟันรุนแรงถึงเพียงนี้นางหัวเราะเบา ๆ “กงกง จะโมโหไปทำไมกัน? จะ
แสงจันทร์ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ทันใดนั้น สวี่อินอินก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีภูเขาลูกหนึ่งทับลงบนร่างกายของตนเองความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วอก นางรู้สึกราวกับปลาที่ขาดน้ำ พยายามอ้าปากเพื่อสูดอากาศหายใจ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ ใบหน้าที่ดูดุร้าย ส่วนประกอบบนใบหน้าดูแข็งกระด้างเป็นติงเฉิงหย่ง!สวี่อินอินตกตะลึงอย่างยิ่ง ฉากนี้ช่างคุ้นเคยเสียจริงแต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?นางยังไม่ทันได้ไตร่ตรอง เสียงเล็กแหลมของหลี่ซิ่วเหนียงก็ดังขึ้น “เจ้าจะเล่นก็เล่นไป แต่อย่าทำให้ตายเสียล่ะ!”เป็นหลี่ซิ่วเหนียง แม่บุญธรรมของนาง!สวี่อินอินโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบสามปีก่อน!ตอนที่นางเพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนหย่งผิงโหวในเมืองหลวงหลังจากที่จวนหย่งผิงโหวมาตรวจสอบแล้ว พวกเขาบอกว่าจะส่งคนมารับนางทว่า ในคืนนั้นเองนางก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หลี่ซิ่วเหนียงขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน แล้วพาติงเฉิงหย่งมา นางต่อสู้อย่างสุดกำลังจึงรอดพ้นจากการถูกข่มเหง แต่วันรุ่งขึ้น หลี่ซิ่วเหนียงก็พาคนมาจับนางในข้อ
หลี่ซิ่วเหนียงนำผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดฝ่าแสงจันทร์กลับไปที่นางหามา ล้วนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงขี้นินทาประจำหมู่บ้าน สามารถพูดจาบิดเบือนความจริงได้เมื่อคนเหล่านี้เห็นสวี่อินอินและติงเฉิงหย่งนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน คงจะถ่มน้ำลายรุมด่าทอสวี่อินอินจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่!ฮึ คุณหนูสูงศักดิ์ที่ยังไม่ทันกลับบ้านก็เสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว ยังจะเรียกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ได้อีกหรือ?นางเคยเป็นแม่นมอยู่ในจวนโหว ย่อมรู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงเหล่านั้นทั้งเรื่องมากและจู้จี้จุกจิก มีหรือที่จะอยากได้หญิงสำส่อนที่เคยนอนกับคนอื่นแล้ว?เมื่อถึงตอนนั้น หญิงสำส่อนที่เสียตัวก่อนแต่งงาน กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่มีความรู้ความสามารถ ต่อให้จวนหย่งผิงโหวหลับตาเลือก ก็คงเลือกได้ไม่ยากคิดจะกลับไปขวางทางลูกสาวของนาง ฝันไปเถอะ!คิดได้ดังนั้น หลี่ซิ่วเหนียงก็แทบทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะรีบกลับถึงบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลยใครจะไปรู้ว่า ห่างจากประตูบ้านประมาณหนึ่งร้อยเมตร หัวหน้าหมู่บ้านกลับพาคนกลุ่มใหญ่ถือคบเพลิงมาล้อมพวกนางเอาไว้หลี่ซิ่วเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าหมู่บ้าน? ท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”หัวหน้าหม
“ข้าก็คือสวี่อินอินน่ะสิ” นางแสยะยิ้มมุมปาก “เพียงแต่ไม่ใช่สวี่อินอินคนเดิมที่ยอมให้เจ้าข่มเหงรังแกอีกแล้ว”“แผนการของลูกสาวแท้ ๆ ของเจ้าล้มเหลว พวกเจ้าสองคนก็ตายแล้ว” สวี่อินอินโน้มตัวเข้าไปใกล้หลี่ซิ่วเหนียงน้ำเสียงของนางราวกับภูตผี “เจ้าเดาสิว่าหลังจากข้ากลับไป นางยังจะมีชีวิตที่ดีอีกหรือไม่?”หลี่ซิ่วเหนียงสติแตก ทันใดนั้นนางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงอยู่ในกรง “นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”สวี่อินอินกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว ล้มลงนั่งกับพื้นจากนั้นก็ร้องไห้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่ อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียง “จะตายอยู่แล้วยังไม่สำนึกผิด ชั่วร้ายที่สุด! ถ่วงน้ำเดี๋ยวนี้!”กรงถูกยกขึ้น สวี่อินอินมองหลี่ซิ่วเหนียงที่ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกรง จากนั้นค่อย ๆ ยิ้มอย่างชั่วร้ายทันใดนั้น เสียงตูมดังขึ้น กรงหมูก็ตกลงไปในทะเลสาบ เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดกระเซ็นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนจากจวนหย่งผิงโหวมาถึง เป็นแม่นมคนหนึ่งที่วางมาดใหญ่โตสวี่อินอินมองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า คนที่วางมาดโอหังยิ่งกว่านายหญิงคนนี
อากาศบนผิวน้ำสดชื่นกว่าอากาศในน้ำมากแม่นมฮวาคิดจะฆ่านางให้จมน้ำตายจริง น่าขันสิ้นดีนางต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มหัดกินข้าวเองได้เหล่าชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าทำนาให้กับเจ้าของที่ดิน หลี่ซิ่วเหนียงและคนขายเนื้อสวี่ก็ใช้สารพัดวิธีกดขี่ขูดรีดเงินจากนางขึ้นเขาเก็บเห็ด ตัดฟืน เก็บเมล็ดชา ลงน้ำจับปลา จับเต่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานถนัดของนางสวี่อินอินเงยหน้าโผล่พ้นน้ำ รู้สึกได้ว่าแรงดิ้นรนของแม่นมฮวาค่อย ๆ น้อยลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออยู่สายลมอ่อน ๆ พัดมาจากริมฝั่ง นางอ้าปากจาม กำลังจะดำลงไปลากแม่นมฮวาขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์ ‘วีรกรรมช่วยชีวิต’ ของนางแต่ใครจะรู้ว่าขณะที่ยกมือขึ้น ข้อศอกของนางกลับไปกระแทกเข้ากับบางอย่างสัมผัสนี้ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง สมองพลันว่างเปล่า จากนั้นก็ตระหนักได้ในทันทีว่า มีคนอื่นอยู่ในน้ำด้วย!หรือว่าแม่นมฮวาจะยังเตรียมคนไว้ในน้ำอีก?หากเป็นเช่นนั้น...ในชั่วพริบตา เลือดในร่างกายของนางก็เดือดพล่านขึ้น แต่สมองกลับสงบลงอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ปล่อยแม่นมฮวา และพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยอาศั
สวี่อินอินเป็นที่รักของผู้คนในหมู่บ้านต่างจากคนขายเนื้อสวี่และหลี่ซิ่วเหนียงที่ใจดำ สวี่อินอินเป็นเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความ คนเราย่อมมีความรู้สึก เห็นสวี่อินอินอายุยังน้อยแต่ต้องลำบากเช่นนี้ คนในหมู่บ้านจึงดูแลนางเป็นพิเศษสวี่อินอินก็เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณ กินข้าวบ้านไหนก็ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู ดื่มน้ำบ้านใครก็ไปช่วยเขาตัดฟืนดังนั้นตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านมองนาง ก็เหมือนกับมองลูกหลานของตัวเองยังไม่ทันได้กลับไป บ่าวไพร่ของจวนโหวก็คิดจะฆ่าสวี่อินอินแล้ว ถ้ากลับไป จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?อีกอย่าง อย่างน้อยในหมู่บ้าน สวี่อินอินก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี หากนางสามารถยืนหยัดอยู่ในจวนโหวได้ ในอนาคตก็จะเป็นผลดีต่อหมู่บ้านด้วยเขาตอบรับทันที “ได้! แม่หนูไม่ต้องกลัว ข้าจะไปแจ้งหน่วยปราบปรามเดี๋ยวนี้!”เห็นหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะไปแจ้งทางการจริง ๆ บ่าวไพร่ของจวนหย่งผิงโหวก็นั่งไม่ติดแล้วโดยเฉพาะสาวใช้ที่แต่งตัวงดงามคนนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมฮวาตั้งใจนัดสวี่อินอินไปที่ริมทะเลสาบ เพื่อจะฆ่าสวี่อินอินให้จมน้ำตายจริง ๆ หากแจ้งทางการจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จวนโหวจะเสียหน้าตัวนางเอ
แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้วนางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอกนางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกน
เขาควรจะส่งคนไปลอบฆ่าชีหยวนเสียให้สิ้นแต่แรก!ฆ่าชีหยวนซะ!นังปีศาจนั่น หากตายไปตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่เกิดขึ้น ฉือซานเองก็จะไม่ต้องตาย!องค์หญิงเป่าหรงเห็นความผิดปกติเล็กน้อย ปรายตาแล้วจิ๊ปาก “เป็นอะไรไปหรือผู่กงกง หรือว่าหลานรักของท่านเกิดเรื่องขึ้นแล้ว?”ตอนแรก องค์หญิงเป่าหรงยังคิดว่าผู่อู๋ย่งคงเสียพ่อไป แต่พอลองคิดดูให้ดี เจ้าสุนัขขันทีนี่ไม่มีพ่อเสียหน่อย พ่อของเขาตายไปนานแล้ว!กลับมีหลานชายอยู่คนหนึ่ง และเคยเอ่ยถึงต่อหน้าอ๋องฉีอยู่หลายครา ขอให้อ๋องฉีเมตตาช่วยดูแลในภายหน้าดูจากท่าทางคลุ้มคลั่งของผู่อู๋ย่งเช่นนี้ เกรงว่าคงโดนชีหยวนฟาดโดนจุดตายเข้าให้แล้ว ถึงขั้นทำให้ครอบครัวของผู่อู๋ย่งสิ้นทายาทสืบสกุลแล้วกระมัง?สีหน้าขององค์หญิงเป่าหรงก็หม่นลงเช่นกันนางอุทานในใจ ช่างเป็นคนที่โหดเหี้ยมจริง ๆ เรื่องใดก็กล้าทำทั้งนั้นผู่อู๋ย่งดวงตาแดงก่ำ จ้ององค์หญิงเป่าหรงอย่างเดือดดาลองค์หญิงเป่าหรงรู้ได้ในทันที ว่าตนเดาถูกแล้วอ้อ เป็นหลานชายตายแล้วจริง ๆ นี่เองไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงฟาดฟันรุนแรงถึงเพียงนี้นางหัวเราะเบา ๆ “กงกง จะโมโหไปทำไมกัน? จะ
ตอนที่ผู่อู๋ย่งได้รับข่าวการตายของฉือซานก็เป็นวันที่สิบของวันขึ้นปีใหม่ ตามปกติ ทุกปีเมื่อถึงเวลานี้ เขาจะเริ่มจัดแจงดูแลงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซียวในวังนอกจากนี้ ยังมีขุนนางอีกไม่น้อยที่ได้กลับเมืองหลวงในช่วงปีใหม่ ต่างก็ต่อแถวกันเพื่อมอบของขวัญแก่เขาผู้ที่หวังจะโยกย้ายตำแหน่งในปีหน้า หรือเลื่อนขั้น ต่างก็รีบเร่งขอเข้าพบเขานี่คือช่วงเวลาที่เขารุ่งเรืองที่สุดในรอบปีเพราะหลานชายของเขา ที่เปรียบได้กับลูกแท้ ๆ ของเขาอย่างฉือซาน ก็จะกลับมาเมืองหลวงด้วย โดยอ้างว่าจะมาแสดงธรรมเทศนา แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับเขาหลายวันนั่นเป็นช่วงเวลาน้อยนิดที่เขาจะได้ลิ้มรสความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในทุก ๆ ปี กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดของเขาในปีนี้ตอนที่ได้รับข่าวการตายของฉือซาน หัวใจและทุกอวัยวะของเขาไม่มีส่วนใดที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด ราวกับว่าถูกคนแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งเป็น!ปีนั้นที่เขาจำต้องตัดสินใจตอนตัวเองเป็นขันที เพียงเพราะครอบครัวยากจนสิ้นหนทางหาเลี้ยงชีพแล้วการเข้าวังเป็นขันที คือทางรอดหนึ่งเดียวที่จะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตรอดแต่ใค
ชีหยวนไม่มีเวลามานั่งคุยกับชีอวิ๋นจื่อนางรู้ดีว่าชีอวิ๋นจื่อเพิ่งกลับถึงบ้าน ย่อมยังรู้สึกอ่อนไหวและไม่อาจปรับตัวได้ทันที จึงตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าชีว่า “ให้อวิ๋นจื่ออยู่ที่นี่กับท่านเถิด ท่านย่า?”ฮูหยินผู้เฒ่าชีไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบตอบรับคำทันทีตัวนางเองก็มีความคิดนี้อยู่แล้วเช่นกันชีอวิ๋นจื่อเป็นบุตรชายสายตรงเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ของสายใหญ่ และบัดนี้ดูท่าเขาก็พึงใจในตัวชีหยวนยิ่งนักเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงพอที่จะชุบเลี้ยงฝึกฝนให้ดีฮูหยินผู้เฒ่าชีมองอวิ๋นจื่ออย่างเอ็นดู “พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเพิ่งกลับมา พวกเรายังมีเรื่องต้องพูดคุยกับนางอีก เจ้าไปพักที่เรือนด้านหลังก่อนนะ อีกสองวันข้าจะให้คนจัดการเรือนฝั่งตะวันออกให้เรียบร้อย ให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนฝั่งตะวันออก ดีหรือไม่?”ชีอวิ๋นจื่อพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายเมื่อเขาก้าวออกไป ชีเจิ้นก็รีบเอ่ยถามชีหยวนด้วยความร้อนรน “แม่หนูหยวน ลูกออกไปทั้งคืนบอกว่าจะไปจัดการเรื่องสำคัญ ไปจัดการเรื่องใดกันแน่?”ที่จริงเขาอยากถามว่าไปฆ่าใครมาแต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว คำถามเช่นนั้นดูจะตรงเกินไปชีหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเ
เซียวอวิ๋นถิงเปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ ชีหยวนสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วแต่นางไม่ได้ใส่ใจ และก็ไม่คิดจะใส่ใจโลกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ใช่มีเพียงความรักเท่านั้นที่ควรค่าแก่การจดจำนางสัมผัสได้ว่าในชาตินี้เซียวอวิ๋นถิงชอบนางแต่ชอบก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ต้องชอบพอกันทั้งสองฝ่ายถึงจะมีความหมายแต่แม้จะชอบพอกันทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่มีประโยชน์ สิ่งที่นางต้องการคือความรักที่แน่วแน่ไม่แปรผัน คือการเลือกที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแต่ทั้งหมดนั้น เซียวอวิ๋นถิงให้นางไม่ได้นางรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงคือดอกไม้ที่งดงามที่สุดที่นางได้พบเจอแต่การชอบไม่ได้หมายความว่าต้องได้มาครอบครอง แค่เคยเห็นดอกไม้บานก็เพียงพอแล้ว แล้วจะไปสนใจอะไรว่าดอกไม้นั้นจะไปบานในสวนของใคร?นางควบม้าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง นางยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ยังมีความปรารถนาที่ยังไม่สมหวังอีกหลายข้อไม่มีเวลามาเสียความคิดกับเรื่องพวกนี้เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่เนิ่นนานในที่สุดเขาก็เข้าใจหัวใจตัวเองอย่างแท้จริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้าใจหัวใจของชีหยวนด้วยนางเป็นคนเฉลีย
ที่จริงแล้วชีหยวนมิใช่คนชอบหลอกคนแต่ในเวลานี้ขณะนี้ นางไม่ต้องการเปิดโปงความจริงเช่นนั้นต่อเด็กสี่ขวบคนหนึ่ง ย่อมโหดร้ายเกินไปนักเป็นจริงอย่างที่ว่า ความทุกข์ยากสามารถหล่อหลอมให้คนเติบโตแต่บางคน กลับต้องติดอยู่ในความทุกข์นั้นไปชั่วชีวิต ต่อให้ภายหลังจะครอบครองทุกสิ่ง แต่กลับไม่เข้าใจว่าจะมีความสุขอย่างไรนางไม่อยากให้เจ้าหมาน้อยกลายเป็นคนเช่นนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าหมาน้อยก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกมา จับมือของชีหยวนไว้ แล้วคลานออกมาจากในโพรงชีหยวนอุ้มเขาขึ้นมา ลูบแผ่นหลังเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้ว ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าแทนแม่ของเจ้าเป็นอย่างดี”เซียวอวิ๋นถิงมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เอ่ยกับชีหยวนว่า “เจ้าหมาน้อยไม่มีชื่อจริง เรียกเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่น่าฟัง เจ้าตั้งชื่อใหม่ให้เขาเถิด”ชีหยวนแทบไม่มีเยื่อใยหรือผูกพันใด ๆ กับโลกนี้จนน่ากลัวแต่เวลานี้เอง เซียวอวิ๋นถิงกลับมองเห็นแสงแห่งความหวังชื่อคือคาถาสะกดที่สั้นที่สุด เมื่อตั้งชื่อให้ย่อมมีพันธะชีหยวนเย็นชาเกินไป และไม่เคยเห็นค่าชีวิตของตัวเองเลยเขาหวังว่าฉีหยวนจะมีความผูกพันและความรักต่อโลกใบนี้มากข
เขาไม่ได้กำลังราดน้ำเย็นใส่ชีหยวน เพียงแค่ต้องการให้ชีหยวนคิดให้รอบคอบหรือว่าเขาไม่อยากฆ่าผู่อู๋ย่งอย่างนั้นหรือ?ไม่ใช่เลย เจ้าขันทีสถุลนี่ เขาอยากฆ่าตั้งแต่กลับกลับเมืองหลวงแล้วแต่น่าเสียดาย เจ้าสุนัขขันทีคนนี้เป็นขันทีผู้ใหญ่แห่งกรมขันทีพระราชพิธี อำนาจล้นฟ้า จะหาหลักฐานมัดตัวเขายากเย็นเหลือเกินยามเขาออกนอกวัง ยังมีองครักษ์เสื้อแพรติดตามตลอดเวลา องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดมีเพียงเขากับฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ และล้วนอยู่ใต้มือของมันแม้แต่การลอบสังหารก็ยังไม่ง่ายเลยเพราะฉะนั้น หากจะฆ่าผู่อู๋ย่ง ย่อมได้ แต่ต้องเตรียมการให้พร้อมชีหยวนหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “เขาจะไม่ได้ควบคุมองครักษ์เสื้อแพรไปตลอดหรอกเจ้าค่ะ”เซียวอวิ๋นถิงก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดเหล่านี้ของชีหยวน เขารู้ดีว่านางโกรธมากจริง ๆ นางเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อนเสมอครั้งนี้ผู่อู๋ย่งถือว่าได้เหยียบเข้าหางเสือเข้าแล้วจริง ๆ ไปแตะต้องคนของนางเข้าให้แล้วขณะที่พูดกันอยู่ ชิงเถาก็วิ่งเข้ามาอย่างลนลาน “คุณหนู แย่แล้ว แย่แล้ว เจ้าหมาน้อยหายไปแล้ว!”เจ้าหมาน้อย?!ชีหยวนกับเซียวอวิ๋นถิงต่างก็ทำหน้าง
จิ้งคงเกาศีรษะ เช็ดเลือดที่จมูกเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคงปรารถนาจะรับใช้พระพุทธองค์ต่อไป”ชีหยวนพยักหน้า “เจ้ามีเมตตา มีจิตใจดีงาม พระโพธิสัตว์ย่อมมองเห็น”นางส่งข่าวไปให้ซุ่นจื่อ เตรียมให้ซุ่นจื่อตามจิ้งคงพาเหล่าเด็กสาวเดินทางลงใต้ไปยังฮุ่ยโจวด้วยกันซุ่นจื่อก็ยังทำตามคำสั่งของนางก่อนหน้านี้ ไถ่ตัวเหล่ามือคุ้มกันมาได้หลายคน ได้นำมาใช้พอดิบพอดีกับภารกิจครั้งนี้ ไม่เอ่ยมากความก็รีบจัดของออกเดินทางทันทีส่วนชีหยวนหรือ? นางเพิ่งกลับถึงบ้านพักชนบท พอมาถึงก็พบกับเซียวอวิ๋นถิงสีหน้าของพระราชนัดดาองค์โตเปี่ยมไปด้วยโทสะที่ทั้งอธิบายไม่ถูกทั้งไม่ชัดเจน เขาเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ไปล้างเนื้อล้างตัวที่เรือนเจ้าก่อนเถอะ ทั้งตัวมีกลิ่นควันไฟฉุนไปหมดแล้ว”จริงอย่างที่ว่า ชีหยวนนางเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอันรุนแรงที่ติดบนตัวนางรับคำเบา ๆ โดยไม่ใส่ใจสีหน้าดูไม่ดีของเซียวอวิ๋นถิงแม้แต่น้อยเห็นเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงล่วงรู้เรื่องของวัดว่านอันแล้ว ปาเป่ากับลิ่วจินสองคนนั้น มักแอบช่วยเขาจับตาดูตนอยู่เป็นนิจ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักในบ้านพักชนบททุกอย่างพร้อมสรร
เหล่าเด็กสาวล้วนกล่าวว่าตนยินดีในแผ่นดินยุคนี้ ความบริสุทธิ์ของสตรีถูกให้ค่ามากยิ่งกว่าสิ่งใด แม้กระทั่งคืนแรกแห่งการแต่งงานยังต้องตรวจดูผ้าซับเลือดบริสุทธิ์เลยเชียว หากผ้าผืนนั้นปราศจากโลหิต เด็กสาวก็จะถูกส่งตัวกลับบ้านบางครอบครัวยังถือว่าดีอยู่บ้าง เพียงแค่ส่งบุตรสาวไปยังตำหนักเรือนในชนบทครอบครัวมั่งคั่งหน่อย ก็ส่งบุตรหลานเข้าสู่วัด แล้วมอบเงินให้วัดเป็นรายเดือนแต่ก็มีบางครอบครัวที่เมื่อบุตรสาวก้าวเท้าเข้าบ้าน เชือกก็ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว เพื่อให้บุตรสาวผูกคอตนเองบ้านของพวกบัณฑิต มักทำเรื่องทำนองนี้อยู่มิใช่น้อยพวกนางย่อมรู้จักครอบครัวของตนดี รู้ว่าหากกลับบ้านไปคงไร้หนทางมีชีวิตอยู่ ต่างจึงเห็นว่าหนทางที่ชีหยวนยื่นให้ คือหนทางที่ดีที่สุดชีหยวนตอบรับคำหนึ่ง สายตาเหลือบมองจิ้งคงที่เต็มไปด้วยบาดแผล ก้มตาต่ำพลางเอ่ยขึ้นว่า “วัดแห่งนี้ ข้าจะจุดไฟเผาทิ้งเสียอากาศแห้งแล้ง วัดวาเช่นวัดว่านอันก็มิใช่วัดใหญ่โตอันใด ข้าดูแล้ว กระถางธูปยังไร้ผู้ดูแล หากเกิดเพลิงขึ้นมา ย่อมเป็นเหตุการณ์ปกติ มิใช่หรือ?”จิ้งคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจความหมายของชีหยวน รีบพยักหน้ารัว ๆชีหยวน
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค