“โอ้ ใต้หล้านั้นแตกต่างจากใต้หล้าของพวกเราหรือ?”หลงเพ่ยเพ่ยถูกเย่หรงกระตุ้นความอยากรู้ จึงจ้องมองพลางถาม“อืม บ้านเรือนที่นั่นสูงเท่าภูเขา สูงที่สุดอาจถึงร้อยชั้นได้ ทั้งยังมีรถมากมายที่มิต้องใช้ม้าลาก วิ่งได้เร็วมาก!”เย่หรงเล่าให้หลงเพ่ยเพ่ยฟังไปเรื่อย ๆเมื่อพูดถึงเครื่องบินก็ทำให้หลงเพ่ยเพ่ยเบิกตากว้าง นางมองเย่หรงอย่างงง ๆ “เจ้าโกหกกระมัง จะมีเครื่องมือที่สามารถบรรทุกคนขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างไร!”“มีจริง ๆ ข้ามิได้โกหกท่าน พี่หญิงหลิงหลิงจำได้มากกว่าข้าเสียอีก รอมีโอกาสให้นางเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็จะเชื่อว่าข้ามิได้โกหกท่าน!”เย่หรงเริ่มตื่นเต้น “ท่านหญิง ท่านปู่มิได้บอกหรือว่าคันฉ่องคุนหลุนของตงกู่อวี้สามารถพลิกฟ้าคว่ำปฐพีได้?”“หากพวกเราได้คันฉ่องคุนหลุนมา มิต้องรอเวียนว่ายตายเกิด ข้าจะพาท่านไปดูใต้หล้านั้น! ท่านจะต้องชอบใต้หล้านั้นอย่างแน่นอน!”เย่หรงพูดจนหลงเพ่ยเพ่ยใจเต้นระรัว นางกล่าวออกไปโดยมิต้องคิด “ได้ เช่นนั้นรอพวกเราช่วยแดนเทพผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ พวกเราหาคันฉ่องคุนหลุนเจอแล้วก็ไปด้วยกัน ไปดูใต้หล้าที่เจ้าพูดถึงกัน!”“ตกลงตามนี้!”เย่หรงยกมือขึ้น หลงเพ่ยเพ่
ชีวิตนี้หาสหายรู้ใจได้ยากนัก!หลงเพ่ยเพ่ยยิ้ม นางก็รู้สึกว่าตนกับเย่หรงพูดคุยสื่อสารกันง่ายเช่นกันเย่หรงฉลาด ที่สำคัญที่สุดคือมิใช่บุรุษประเภทหัวโบราณคร่ำครึ มิเหมือนพวกพี่สามที่เอะอะก็วางตนเป็นผู้ใหญ่สั่งสอนนางเฮ้อ หากสามีในอนาคตของนางสามารถพูดคุยกันได้เหมือนเย่หรง เช่นนั้นสามีภรรยาจะมิรักใคร่กลมเกลียวกันมากหรอกหรือ?หลงเพ่ยเพ่ยคิดแล้วพลันหน้าแดงเรื่อ นี่นางกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่!“พวกเรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่าอีกประเดี๋ยวหากพบเสด็จย่าแล้วจะทำอย่างไรดี!”หลงเพ่ยเพ่ยมิกล้าคิดฟุ้งซ่านต่อไป รีบเปลี่ยนเรื่องคุย“ท่านกังวลว่าท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋นจะก่อกวนหรือ?”เย่หรงก็ดึงความคิดกลับมา พวกเขาใกล้จะถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต้องคิดหาข้ออ้างให้ดี“อืม ท่านหญิงชิงเฉิงมิใช่คนประเภทที่จะเจรจาด้วยง่าย ๆ ท่านหญิงอวิ๋นยังพอคุยง่ายอยู่บ้าง แต่ในเมื่อพวกนางรับคำสั่งจากชายาเจ้าแห่งทะเลมาเพื่อถ่วงเวลาเสด็จย่า ย่อมมิยอมให้ข้าบรรลุเป้าหมายแน่!”หลงเพ่ยเพ่ยเผยสีหน้าอมทุกข์เย่หรงพลันนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับท่านหญิงอวิ๋นขึ้นมา แม้ท่านหญิงอวิ๋นจะเป็นธิดาแท้ ๆ ของชายาเจ้าแห่งทะเล แต่ช่วงห
สิ่งที่เย่หรงคิด หลงเพ่ยเพ่ยก็คิดถึงเช่นกัน นางกล่าวกับเย่หรงอย่างขัดแย้งในใจ“เจ้าคิดจะบอกเรื่องที่เฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ให้พี่หญิงอวิ๋นฟังรึ?”“แต่เช่นนี้ก็มิยุติธรรมกับพี่เขยหยวน เขาและพี่หญิงอวิ๋นก็มีลูกชายด้วยกันอีกคนแล้ว หากบอกพี่หญิงอวิ๋นว่าเฉาฮุยยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นการทำลายครอบครัวของพวกเขาเสียเปล่า!”“ข้ามิชอบที่ชายาเจ้าแห่งทะเลทำกับเฉาฮุยเช่นนี้ แต่พี่เขยหยวนและหลานชายตัวน้อยของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์!”“อีกอย่าง พี่เขยหยวนก็ดีต่อพี่หญิงอวิ๋นมาก ก่อนหน้านี้ข้ายังอิจฉาพี่หญิงอวิ๋นที่ได้ลงเอยกับคนที่ดี!”เย่หรงยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นยุติธรรมกับเฉาฮุยแล้วหรือ? เขายังมีบิดามารดาที่ต้องกตัญญูเลี้ยงดู ท่านหญิงอวิ๋นมิช่วยเขาออกมา แล้วจะมีใครช่วยเขาได้อีก?”“ชั่วชีวิตของเขาจะต้องอยู่ในคุกน้ำไปตลอดหรือ? นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเขาทิ้งเสียอีก!”หลงเพ่ยเพ่ยพูดมิออกเดิมทีเฉาฮุยมีอนาคตที่สดใส เพียงเพราะรักใคร่กับท่านหญิงอวิ๋น ถึงต้องตกอยู่ในชะตากรรมอันน่าเศร้าเช่นนี้มิอาจกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาได้ บุตรชายก็มากลายเป็นของผู้อื่น การที่เขาสามารถทนอยู่ต่อไปในคุกน้ำได้ คาดว่าคงเพราะยังมี
“เรื่องคู่ครองของข้ารึ?”หลงเพ่ยเพ่ยชะงักไปครู่หนึ่ง นางยังมิได้พูดคุยเรื่องแต่งงานเลย เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องคู่ครองของตนได้เล่า“นี่เป็นเพียงข้ออ้าง หลอกพวกนางไปก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องสำคัญกับเสด็จย่าของท่าน!”เย่หรงยิ้มกล่าว “อย่างไรเสีย เรื่องนี้ค่อยอธิบายให้เสด็จย่าของท่านเข้าใจทีหลังก็ได้!”ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองก็มาถึงศาลาพักร้อนแล้วท่านหญิงชิงเฉิงที่อยู่ในศาลาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยกับเย่หรงตามมาถึงที่นี่ ก็พลันนึกถึงคำกำชับของชายาเจ้าแห่งทะเลนางรีบชิงพูดก่อน “ท่านหญิงฉางเล่อก็มาด้วยรึ อ้าว นี่พาคุณชายมาด้วย!”“คุณชายผู้นี้หน้ามิคุ้นเลย เมื่อก่อนมิเคยเห็น เป็นคุณชายจากตระกูลใดกัน?”เย่หรงเห็นใบหน้างดงามของท่านหญิงชิงเฉิงแสดงท่าทีดูแคลนก็รู้ว่าอันที่จริงนางรู้ว่าตนเป็นใครเพียงแต่เหมือนกับพวกคนหัวสูงในเมืองหลวงแดนเทพ นางก็ดูถูกตนที่เป็นบุตรชายที่มิได้เรื่องของตระกูลเย่เช่นกันเสด็จย่าของหลงเพ่ยเพ่ยยังคงดูสดใสร่าเริง อายุหกสิบกว่าปีแล้วแต่ใบหน้ายังคงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แทบจะไม่มีริ้วรอยเลยฮองเฮาได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็มองมาอย่างสงสัย พินิจพิจารณาเย่หรง แล้วกล่าวพล
หลงอวิ๋นได้สติกลับคืนมา ตามปกติแล้วคนทั่วไปหากมิได้ยินคำพูดของท่านหญิงชิงเฉิงก็จะถามว่า “เมื่อครู่เจ้าว่ากระไรนะ?”แต่หลงอวิ๋นกลับมิทำตามปกติ ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เสด็จย่า เด็ก ๆ เดินไปไกลแล้ว หม่อมฉันไปตามพวกเขากลับมาดีกว่า ควรลงจากเขาได้แล้วเพคะ!”พูดจบ หลงอวิ๋นก็เดินออกจากศาลาพักร้อนไป ร้องเรียกสาวใช้ของตนว่า “พวกคุณชายใหญ่ไปทางไหนกันหรือ?”เนี่ยนจูนางรับใช้ของหลงอวิ๋นกล่าวพลางยิ้มประจบ “แม่นมจี้และเนี่ยนชิงพาพวกเขาไปทางนั้นเจ้าค่ะ มิน่าจะเดินไปไกล!”“ไป ไปดูกัน!”หลงอวิ๋นเดินตามทิศทางที่เนี่ยนจูชี้ไปโดยมิหันกลับมามองท่านหญิงชิงเฉิงมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปเช่นนั้นก็โกรธจนแทบจะด่าทอเสียงดังลั่นออกมา“พี่หญิงชิงเฉิง พี่หญิงอวิ๋นไปตามหาเด็ก ๆ แล้ว ท่านมิไปตามหาแก้วตาดวงใจทั้งสองของท่านบ้างหรือ?”หลงเพ่ยเพ่ยเห็นดังนั้นก็จงใจกล่าว “ผานกกระเรียนแห่งนี้แม้จะไม่มีสัตว์ร้าย แต่เด็ก ๆ ยังเล็กนัก เล่นอยู่ริมผา หากพลาดตกลงไป เช่นนั้นก็…”“เจ้าแช่งลูกข้ารึ?”ท่านหญิงชิงเฉิงมองหลงเพ่ยเพ่ยอย่างโกรธเคือง ด่าว่า “หลงเพ่ยเพ่ย เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ คบหากับเย่ห
หลงเพ่ยเพ่ยเห็นท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋น ในสมองพลันเกิดความคิดแวบขึ้นมา ถึงได้คิดข้ออ้างนี้ออกเมื่อเห็นเย่หรงตามแนวคิดของตนทัน หลงเพ่ยเพ่ยก็แอบชื่นชมในไหวพริบของเย่หรงในใจ แล้วกล่าวต่อไป“เสด็จย่า ท่านคงมิประสงค์ให้ท่านอาเจ้าแห่งทะเลต้องเสียหน้าใช่หรือไม่เพคะ!”“หากเย่หรงไปหาท่านปู่ของเขาให้ออกหน้า การกระทำอันเผด็จการเช่นนี้ของท่านอาเจ้าแห่งทะเลจะถูกผู้คนรังเกียจ ถึงเวลานั้นก็จะส่งผลกระทบต่อเกียรติของราชวงศ์พวกเรา!”“ในใต้หล้านี้มีสตรีมากมาย ท่านอาเจ้าแห่งทะเลก็มิได้ขาดสตรีที่มาเสนอตัวให้ เหตุใดต้องทำเรื่องทำลายวาสนาคู่ครองของผู้อื่นเช่นนี้ด้วย!”ครั้นฮองเฮานึกถึงความเหลวไหลของเจ้าแห่งทะเลก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก กล่าวเสียงเข้ม “เอาเถอะ ย่ารู้แล้ว จะออกพระราชโองการให้พวกเจ้าไปรับคนที่จวนเจ้าแห่งทะเล...”หลงเพ่ยเพ่ยและเย่หรงถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ทั้งสองยังมิทันลุกขึ้นยืน ก็มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากที่ไกล ๆได้ยินเสียงคนกำลังตะโกนแว่วมา “ช่วยด้วย เร็วเข้า ใครก็ได้ คุณชายน้อยตกลงไปใต้หน้าผาแล้ว...”ฮองเฮาพลันลุกขึ้นยืน ร้องเรียกอย่างร้อนรน “เร็ว ไปดูซิ ใครตกลงไป?”วันนี้
“ซานเอ๋อร์!”หลงอวิ๋นก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ทันใดนั้นในสมองก็ว่างเปล่า…ในฐานะมารดา นางจะมิรู้ได้อย่างไรว่าตนลำเอียงต่อบุตรชายทั้งสองคนหยวนซือและหยวนซานป่วยไข้พร้อมกัน นางกลับเฝ้าหยวนซือทั้งวันทั้งคืนส่วนหยวนซานกลับเป็นหยวนซิ่งสามีของนางที่คอยดูแลด้วยตนเองของประทานที่ได้รับจากมหาเทพและเจ้าแห่งทะเลผู้เป็นบิดาในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันสำคัญต่าง ๆ นางก็จะให้หยวนซือเลือกก่อน ที่เหลือถึงจะให้หยวนซานเรื่องเช่นนี้นับมิถ้วน แต่หยวนซานกลับถูกหยวนซิ่งบิดาของเขาสั่งสอนมาอย่างดี มิเคยบ่นว่าเรื่องความลำเอียงของนางเลย!บัดนี้มองดูหยวนซานกำลังจะตกหน้าผา หลงอวิ๋นในฐานะมารดาจะสามารถมองดูเฉย ๆ ให้บุตรชายตายตกไปเช่นนี้ได้หรือ?ฝ่ามือหลังมือก็เนื้อเดียวกัน นางทำให้หยวนซานมาสู่ใต้หล้าผืนนี้ หยวนซานมีความผิดอะไร นางมีสิทธิ์อะไรจะทำกับหยวนซานเช่นนี้“ซานเอ๋อร์!”เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิต เมื่อคิดว่าจะต้องสูญเสียบุตรชายคนนี้ไปตลอดกาล หลงอวิ๋นก็พลันเสียใจแต่ก็สายเกินไปนางมิสนใจอีกต่อไปว่าจะทำให้หยวนซือบาดเจ็บหรือไม่ นางใช้แรงดึงหยวนซือออกอย่างแรงแล้วพุ่งเข้าไปที่หน้าผา“ซานเอ๋อร์ แม่มาช่วยเจ้าแล้ว
“ท่านหญิง...”“เพ่ยเพ่ย...”ฮองเฮาเห็นหลงเพ่ยเพ่ยตกลงไปก็ตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผานกกระเรียนแห่งนี้เป็นปรปักษ์กับราชวงศ์หรืออย่างไร?เหตุใดถึงได้ตกลงไปทีละคนเช่นนี้?“เร็วเข้า ช่วยคน!”ฮองเฮาตะโกนลั่น นางกำนัลที่มีไหวพริบรีบไปตามองครักษ์มาช่วยทางด้านเย่หรงทรงตัวได้มั่นคงบนชะง่อนผาแล้ว เขาเพิ่งจะถอนหายใจโล่งอกก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากด้านบนเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหลงเพ่ยเพ่ยกำลังร่วงหล่นลงมาหัวใจของเย่หรงหดเกร็งวูบ มิทันได้คิด คว้าเถาวัลย์ข้าง ๆ แล้วโหนตัวไปหาหลงเพ่ยเพ่ยหลงเพ่ยเพ่ยตกใจจนหลับตาลงแล้ว เตรียมพร้อมยอมรับความตายแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนตนชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง จากนั้นร่างก็ถูกกอดไว้“ไปทางนั้น เร็วเข้า คว้าชะง่อนผานั่นไว้!”เย่หรงพลิกตัวกลางอากาศ เหวี่ยงหลงเพ่ยเพ่ยไปทางนั้น หลงเพ่ยเพ่ยพุ่งเข้าใส่ผนังผา แต่ใช้แรงมากเกินไปจนใบหน้าชนกับผนังผาจนถลอก นางเจ็บเสียจนหน้ามืดตาลายแต่นางมิสนใจความเจ็บปวดแทบขาดใจ เช่นเดียวกันกับเย่หรง เขาพยายามสุดชีวิตที่จะคว้าเถาวัลย์เหล่านั้นไว้โชคดีที่เถาวัลย์ฝั่งนี้ยังพันเกี่ยวกับกิ่งไม้มากมาย เถาวัลย์ที่พันกิ่งไม้ไว้นั้
หานเหมยพูดทุกสิ่งที่ควรจะพูดออกไปจนหมดหลังจากที่นางออกไป เซียวหลินเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานหานเหมยพูดถูก นิสัยของหลิงอวี๋เป็นคนประเภทที่ยอมหักมิยอมงอ นางไม่มีทางยอมที่ตนจะแต่งงานกับเก๋อเฟิ่งฉิงแน่ส่วนก่อนหน้านี้เขาเองก็มิได้มีแผนที่จะแต่งงานกับเก๋อเฟิ่งฉิงเช่นกันหากว่าเพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณที่เก๋อเฟิ่งฉิงที่ช่วยชีวิตไว้แล้วต้องแต่งงานกับนาง เช่นนั้นก็ดูจะเลอะเลือนมากเกินไปดังนั้นเมื่อเก๋อเฟิ่งฉิงมาดูแลเขา เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยออกไปตรง ๆ “น้องหญิงเก๋อ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับไปที่บ้านตระกูลเก๋อนะ!”เก๋อเฟิ่งฉิงตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “พี่ใหญ่ เป็นเพราะข้าอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้แล้วรบกวนพวกท่านใช่หรือไม่?”“ซูจู๋เด็กมิรู้ความผู้นั้น นางไปบอกกับท่านย่าของข้าว่าข้าออกไปเที่ยวเล่นกับท่าน หากจู่ ๆ กลับไปเช่นนี้ ท่านย่าของข้าจะต้องสงสัยเป็นแน่!”เมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินเรื่องนี้ก็รู้ทันทีว่าเก๋อเฟิ่งฉิงกำลังอ้าง แต่เขาก็มิอยากเปิดโปงนางเขาจึงนิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “เจ้านั่งลงสิ! ข้าอยากคุยกับเจ้าสักหน่อย!”เก๋อเฟิ่งฉิงมีลางสังหรณ์ที่มิ
หยางหงหนิงพูดพลางทำท่าทีหวาดกลัว และน้ำตาก็ไหลลงมาท่าทีที่ดูจริงใจอย่างมากต่อเย่หรงนั้นทำให้หลงเพ่ยเพ่ยมองแล้วรู้สึกขัดตาอย่างยิ่งนางจึงลากหลิงอวี๋หันหลังเดินไปแล้วเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด “พี่หญิงหลิงหลิง ข้าขอไปส่งท่านกลับเองแล้วกัน! วันนี้เหนื่อยสุด ๆ ตอนนี้ข้าคิดแค่อยากกลับบ้านไปนอนให้เสียเต็มอิ่มนัก!”หลงเพ่ยเพ่ยขึ้นรถม้าแล้วหันไปเห็นหยางหงหนิงยังคงร้องไห้ทั้งกำชับเย่ซื่อฝานว่าต้องดูแลเย่หรงอย่างไรนางจึงกระแทกม่านลงอย่างแรงความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง เหตุใดเมื่อก่อนจึงมิรู้สึกว่าหยางหงหนิงน่ารำคาญถึงเพียงนี้นะ!แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมิว่าจะมองหยางหงหนิงอย่างไรก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมดหลิงอวี๋มิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลงเพ่ยเพ่ย เมื่อครู่ตอนที่นางลงจากรถม้าส่งเย่หรงเข้าไป นางเพิ่งพบว่าในสายคาดเอวของตนมีเศษกระดาษอยู่หนึ่งใบแต่ต่อหน้าคนจำนวนมากถึงเพียงนี้ หลิงอวี๋มิสะดวกที่จะเปิดกระดาษออกมาดูตอนนี้นางจึงคิดเพียงแค่อยากรีบกลับ จะได้ดูว่าในกระดาษนั้นเขียนสิ่งใดเอาไว้นางกล้าสาบานว่าก่อนที่ตนจะเข้าไปในภูเขาศักดิ์สิทธิ์มิได้มีกระดาษใดอยู่ในสายคาดเอวทั้งสิ้นต
หลิงอวี๋ครุ่นคิดไปพลางเอ่ยไปด้วย “เพ่ยเพ่ย ข้าคาดเดาไว้เรื่องหนึ่ง”“สำนักซิงหลัวใช้ขี้ผึ้งหอมมาควบคุมบุตรหลานผู้มีอำนาจมิใช่หรือ? ขี้ผึ้งหอมนั้นสกัดออกมาจากพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่าฝิ่น!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดอยู่ว่า สำนักซิงหลัวได้ขี้ผึ้งหอมมาจากที่ใด?”“ตอนนี้รู้แล้วว่าอูอวี๋หลานจัดหาเครื่องยาสมุนไพรให้มหาปราชญ์ เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า อูอวี๋หลานปลูกต้นฝิ่นในแนวเขาของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดครองอยู่ มิฉะนั้นสำนักซิงหลัวไม่มีทางมีขี้ผึ้งหอมมากถึงเพียงนั้นแน่!”หลงเพ่ยเพ่ยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “พี่หญิงหลิงหลิง การคาดเดาของท่านอาจจะเป็นเรื่องจริง!”“รอข้ากลับไปคุยกับท่านพ่อและพี่สามก่อน แล้วพวกเราค่อยอาศัยโอกาสที่ไปช่วยแม่นมอูขึ้นเขาไปสืบสวน หากยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ก็จะสามารถกำจัดขี้ผึ้งหอมของสำนักซิงหลัวให้หมดสิ้นไปได้!”ดวงตาของเถาจื่อเปล่งประกายยิ่งขึ้นอีก หากส่งข่าวเหล่านี้ไปให้ชายาเจ้าแห่งทะเล ชายาเจ้าแห่งทะเลจะต้องดีใจเป็นแน่!นางแอบรู้สึกภูมิใจ หลิงอวี๋เชื่อใจตนจริง ๆ มิได้มีการปิดบังอะไรต่อหน้าตนเลยแม้แต่น้อยหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะต้องทำภารกิจที่ชายาเจ้าแ
ทุกคนเดินทางออกจากเขาเทพธิดาแล้วนั่งรถม้ากลับสู่เมืองหลวงแดนเทพกันหยางหงหนิงใช้ข้ออ้างว่าต้องดูแลเย่หรง จึงไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเย่หรงส่วนหลงเพ่ยเพ่ยและหลิงอวี๋นั่งรถม้าคันเดียวกันหลิงอวี๋ได้ยินจากมู่ตงมาเพียงว่าเกิดอุบัติเหตุกับเย่หรง ยังมิได้เข้าใจสถานการณ์โดยละเอียด นางจึงเอ่ยถามขึ้นหลงเพ่ยเพ่ยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หลิงอวี๋ฟัง จากนั้นนางก็ยิ้มขมขื่นแล้วเอ่ยออกมา “ก่อนหน้านี้ข้ากังวลว่าเย่หรงจะต้องตายไปเช่นนี้เสียแล้ว โชคดีที่เขามีบุญ สุดท้ายจึงรอดชีวิตมาได้!”หลิงอวี๋สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างรวดเร็ว “เจ้าบอกว่ามีคนผลักเจ้าหรือ?”“อืม ตอนนั้นพวกนางกำนัลเหล่านั้นกำลังช่วยท่านหญิงอวิ๋นช่วยเหลือหยวนซานอยู่ คาดว่าคงจะมิระวังจึงมาชนข้าเข้า!”หลงเพ่ยเพ่ยนึกถึงภาพน่าหวาดเสียวก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ตอนนั้นนางคิดว่าจะต้องตายแน่ ๆ คาดมิถึงว่าเย่หรงจะสละชีวิตมาช่วยตนไว้หลิงอวี๋นึกถึงเรื่องที่หยางหงหนิงก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แล้วนางก็ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา “กลัวก็แต่ว่าเรื่องราวจะมิได้ง่ายเช่นนั้นสิ!”“เพ่ยเพ่ย เรื่องระวังคนอย่าได้ขาด ความคิดของหยางหงหนิงท
สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าจนใจ “คนเหล่านั้นอาศัยอยู่บนภูเขากันมาเป็นเวลานาน ทั้งยังมีความคิดซื่อบริสุทธิ์ จึงมิได้สงสัยว่าอวี๋หลานโกหก!”“พวกเขาล้วนเชื่อคำโกหกของอวี๋หลาน บอกกันว่าข้าเป็นแม่มด ข้าสาปแช่งพวกเขา และต้องการจะจับตัวข้าไปเผาสังหารข้าเสีย!”“หลิงอวี๋ คนตระกูลข้าถูกพวกเขาลอบโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงสิบปีนี้จำนวนคนจึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ”“ข้าเคยคิดว่าจะละทิ้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และมอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ให้กับอูอวี๋หลานไปเสีย จากนั้นก็จะพาคนของข้าลงจากภูเขาไปหาแนวทางกันใหม่ แต่พวกเขาล้วนมิยอม!”“พวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์กันมาหลายชั่วอายุคน จึงมิยินดีที่จะไปจากแผ่นดินแห่งนี้!”หลิงอวี๋เข้าใจความคิดของคนเหล่านี้ หากมิได้ถึงขั้นจำใจต้องทำ ใครจะอยากจากบ้านเกิดไปเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ที่มิคุ้นเคยกันเล่า!“ข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?”หลิงอวี๋นึกถึงเด็กที่ไม่มีความผิดอะไรเหล่านั้น บิดามารดาทอดทิ้งพวกเขาไป คงจะคิดว่าพวกเขาตายไปแล้วอย่างแน่นอนหากอูอวี๋หลานได้ครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ นางจะต้องสังหารเด็กทั้งหมดนี้เป็นแน่“ช่วยข้าช่วยอูจิ่งออกมาที!”เมื่อสตรีศัก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าย่อมทำนายมิได้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมีนามว่าอันใด แต่สามารถทำนายได้ว่าจะมีคนที่เกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้ายและจะมาที่ใต้หล้าแห่งนี้!”“เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลหลง ทั้งยังเป็นคนที่มีเส้นชีวิตถึงสามเส้นอยู่ในฝ่ามืออีก ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในตัวของเจ้า!”“หลงอวี๋ เจ้าเกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้าย มาเพื่อช่วยตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ และช่วยคนทั้งใต้หล้า!”ก่อนหน้านี้เย่ซงเฉิงก็เคยบอกหลิงอวี๋เช่นนี้ แต่เมื่อหลิงอวี๋ได้เห็นภาพน่าสังเวชที่ดูรกร้างย่ำแย่ในภาพลวงตา แต่นางมิได้รู้สึกว่าตนมีอะไรยิ่งใหญ่พอที่จะสามารถช่วยคนทั้งใต้หล้าได้“หลงอวี๋ ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าตามลำพังมากนัก พวกเรามาคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเถิด!”สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาอย่างรีบร้อน “พี่หญิงของข้าคือแม่นมอูที่เจ้ารู้จัก นางมิได้ตกอยู่ในมือของข้า แต่ตกอยู่ในมือของอวี๋หลาน!”“อย่าเรียกข้าว่าหลงอวี๋ ข้าชื่อหลิงอวี๋!”เจ้าแห่งทะเลมิได้เห็นว่าตนเป็นบุตรีของเขา ดังนั้นหลิงอวี๋ก็จะมิยอมรับเขาเช่นกัน“ได้ ๆ หลิงอวี๋ก็หลิงอวี๋ แต่ถึงอย่างไรมิช้าก็เร็วสกุลของเจ้าก็จะต้อง
หลิงอวี๋เดินตามสตรีสวมหน้ากากขึ้นไปบนเรือนยกพื้นสูง มิรู้เช่นกันว่าเรือนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยใด แต่ว่ามันแข็งแกร่งดุจหินผา และไม้กระดานใต้ฝ่าเท้าก็เช็ดถูจนสะอาดเป็นเงางามเช่นกันในทุกระยะสิบกว่าเมตรของทางเดินจะมีนางรับใช้สวมหน้ากากยืนอยู่หนึ่งคน พวกนางทั้งหมดสวมชุดสีขาว นอกจากส่วนสูงและน้ำหนักแล้ว ก็มิอาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใครตามทางเดินจะมีกลิ่นของยาโชยมาและมีอีกกลิ่นบางส่วนที่มิรู้ว่าคือกลิ่นอะไรด้วย จึงทำให้หลิงอวี๋รู้สึกว่าอากาศในนี้สกปรกมากกระทั่งเดินไปจนสุดทางก็เป็นประตูบานหนึ่ง ที่ด้านนอกประตูมีสตรีสวมหน้ากากยืนอยู่สองคน และเมื่อพวกนางเห็นทั้งสองคน จึงโค้งความเคารพพร้อมกัน“แม่นางเฟิ่ง!”สตรีสวมหน้ากากที่พาหลิงอวี๋เข้ามาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสตรีสวมหน้ากากสองคนก็เปิดประตูให้แม่นางเฟิ่งเดินนำหน้าเข้าไป หลิงอวี๋เองก็เดินตามเข้าไปเช่นกันห้องแห่งนี้ใหญ่โตมาก แต่การตกแต่งก็แปลกประหลาดมาก ตรงคานบนเพดานนั้นมีธงผ้าสีเหลืองแบบโบราณแขวนอยู่เป็นจำนวนมาก บนธงผ้านั้นมีอักษรที่ดูประหลาดเขียนอะไรไว้มากมายทีเดียวด้านหน้าเป็นแท่นทรงกลม และมีสตรีที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงก
นั่นคงมิใช่ไม้จินสื่อหนานใช่หรือไม่?หลิงอวี๋สงสัย เพราะถ้าเป็นไม้จินสื่อหนานจริง ๆ หากเป็นในยุคปัจจุบันตระกูลอูก็จะเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอยู่ในอันดับต้นทีเดียวบริเวณรอบ ๆ ลานกว้างมีเรือนยกพื้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอูส่วนตรงกลางลานกว้างมีแท่นบูชาอยู่ และด้านหลังแท่นบูชาก็คืออาคารที่มีขนาดใหญ่ราวกับวัง อีกทั้งตัวอาคารทั้งหมดก็เปล่งประกายแสงสีทองอ่อนอีกด้วยขณะที่พวกหลิงอวี๋เดินผ่านลานกว้างไป นางก็เห็นคนจำนวนมากในเรือนยกพื้นสูงเหล่านั้นกำลังจ้องมองพวกตนอยู่พวกเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ข้าง ๆ ลานกว้างต่างก็เปลือยครึ่งตัว มีเพียงส่วนสำคัญเท่านั้นที่ใช้ผ้ามาปกปิดไว้นี่มิใช่เพราะพวกเขายากจนเสียจนไม่มีอาภรณ์ใส่ แต่เป็นธรรมเนียมประเพณี“คุณหนู ที่ก้นของคนผู้นั้น…”เถาจื่อมิได้มีความสามารถในการควบคุมตนเช่นหลิงอวี๋และเผยอวี้ เมื่อเห็นเด็กเหล่านั้นนางจึงมองไปแล้วก็เห็นในบรรดาเด็กเหล่านั้นมีเด็กคนหนึ่งสวมเพียงกางเกงแบบที่เปิดตรงเป้า และที่หลังก้นก็มีหางห้อยลงมา นางจึงตกใจกรีดร้องออกมา“หาง!”ยังมิทันที่จะได้ตะโกนออกมา ก็ถูกหลิงอวี๋ปิดปาก
หลิงอวี๋มาที่เมืองหลวงแดนเทพได้สักพักหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอูเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าตระกูลใหญ่ ๆ หลายตระกูลเนื่องจากพวกนางได้ปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า และควบคุมเครื่องยาสมุนไพรชั้นยอดอันล้ำค่าที่เหล่าบรรดาตระกูลใหญ่และผู้บำเพ็ญตนในแดนเทพต้องการ ดังนั้นตระกูลเหล่านี้จึงเคารพพวกนางมากอีกทั้งนี่ยังทำให้เกิดเป็นตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตัวสูงส่งมิเห็นหัวใครและอวดดีอีกด้วยแต่ก็เช่นเดียวกับที่ตระกูลหลงนั่งอยู่อย่างมั่นคงในแผ่นดินของแดนเทพมาหลายร้อยปีนี้ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็มิได้ให้ความเคารพต่อตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปเหล่าตระกูลใหญ่ส่วนมากต่างก็รู้สึกว่าเครื่องยาสมุนไพรของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ฟ้าดินประทานให้ทุกคน เหตุใดจึงต้องให้ตระกูลหลงและตระกูลอูเป็นผู้ควบคุมและจัดสรรให้ทุกคนด้วยเล่า?ในตอนนี้เมื่อได้ยินมู่ตงบอกว่าตระกูลอูมิได้เห็นฮองเฮาและท่านหญิงอยู่ในสายตา หลิงอวี๋ก็รู้สึกเป็นห่วงตระกูลอูขึ้นมาการยั่วยุอำนาจจักรพรรดิและตระกูลใหญ่เหล่านั้นเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลอูจะปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ในท้ายที่สุด