หยุนจิงเดินโซซัดโซเซกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยหัวใจอันเต้นรัว มือเล็กกำแน่นขณะที่ดวงตากวาดมองรอบห้องซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศแบบโบราณ บานหน้าต่างไม้สลักลวดลายงดงามอีกคำรบ
ในขณะเดียวกันกลิ่นหอมของธูปจาง ๆ ยังคงลอยคลุ้งในอากาศ ทุกอย่างล้วนยืนยันถึงความเป็นจริงอันน่ากลัว
ในตอนนี้หยุนจิงตระหนักได้อย่างแน่นอนแล้วว่าเธอหลงข้ามกาลเวลามาอยู่ในนิยายเรื่อง พยัคฆ์ล่มราชวงศ์
“ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับฉัน... แล้วฉันจะทำยังไงต่อไป?” เธอพึมพำกับตัวเอง
ในระหว่างที่หญิงสาวในร่างเด็กกำลังพึมพำอยู่กับตัวเองอยู่นั้น ด้านนอกประตูห้องของเธอพลันปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ก่อนที่บานประตูไม้จะถูกผลักเปิดออก
“เยว่ฮวา เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ลูก?” เสียงของหลิวอวี้เฟยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนระคนห่วงใย ร่างของนางในชุดผ้าไหมสีอ่อนก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอาทร
หยุนจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงตรงหน้า ในหัวใจปะปนไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งอบอุ่นและปวดร้าว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้คือ “แม่” ในร่างใหม่ของตน แต่เธอไม่สามารถห้ามความรู้สึกอึดอัดบางอย่างที่พุ่งขึ้นมาได้
“ข้า... ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หยุนจิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางพยายามเก็บซ่อนความตื่นตระหนกที่ยังคงหลงเหลืออยู่
หลิวอวี้เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เดินเข้ามานั่งข้างเตียงของบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียว มือบางของเธอเอื้อมมาแตะหน้าผากของลูกสาวเบา ๆ
“ไม่มีไข้แล้ว แต่ทำไมเจ้าดูซีดเซียวเช่นนี้”
หยุนจิงพยายามยกยิ้มออกมาเพื่อลดความกังวลของอีกฝ่าย “เพียงแค่ฝันร้ายเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง”
หลิวอวี้เฟยยังคงจ้องมองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลระคนกังขาถึงท่าทีของเด็กหญิง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อปัดความรู้สึกเหลวไหลทิ้งไป
(อาจจะเป็นเพราะนางไม่สบายจึงได้ดูเปลี่ยนไป)
“เจ้าอย่าฝืนตัวเองนะลูก หากมีสิ่งใดไม่สบายใจ เจ้าบอกแม่ได้ทุกเมื่อ”
หยุนจิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากคำพูดเหล่านั้น เธอพยักหน้าและตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจดจำไว้แล้ว”
หลิวอวี้เฟยลูบศีรษะลูกสาวด้วยความอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก
“พักผ่อนเถิดลูก หากมีสิ่งใดมากวนใจเจ้าแม่จะจัดการเอง อีกประเดี๋ยวแม่จะให้ไป่ซินนำอาหารบำรุงมาให้”
“เจ้าค่ะ...” หยุนจิงตอบรับพลางมองตามร่างบางของหลิวอวี้เฟยที่เดินออกจากห้องไป
เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของความเป็นแม่ที่ตัวเธอในชีวิตก่อนนั้นแทบไม่เคยได้รับ เมื่อประตูปิดลงความเงียบก็กลับเข้ามาอีกครั้ง
หยุนจิงถอนหายใจยาวก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้ฉันต้องหาทางปรับตัวให้ได้... และต้องหาทางอยู่รอดในโลกนี้ไม่ให้มีจุดจบเหมือนกับในนิยาย”
ในขณะที่เธอกำลังคิดทบทวนเรื่องราว เสียงแผ่วเบาแต่ก้องกังวานดุจระฆังดังขึ้นจากหน้าต่างราวกับเสียงเรียกจากอีกโลกหนึ่ง...
“หยุนจิง... จงอย่ายอมแพ้...”
เสียงนั้นดังขึ้นในความเงียบสงัดก่อนตามมาด้วยเสียงกระพือปีกเบา ๆ เริ่มดังใกล้เข้ามา เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยและพบกับนกตัวหนึ่งบินตรงเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้
“นก?” หยุนจิงขมวดคิ้วมองด้วยความรู้สึกกังขา นกตัวนี้มีขนสีเขียวแกมฟ้าสดใส แววตากลมโตเป็นประกายเหมือนมีชีวิตจิตใจ มันโฉบลงมาเกาะที่ขอบเตียงใกล้กับตัวเธอ
“เจ้ามาจากไหนกัน?” เธอถามด้วยความรู้สึกเอ็นดู
นกชิงเหนียวเอียงคอมองเธอก่อนจะส่งเสียงร้องแหลมต่ำ มันกระพือปีกขึ้นแล้วบินวนรอบตัวเธอเหมือนกำลังสำรวจ
หยุนจิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแปลกประหลาดสายหนึ่งที่แผ่ออกมาจากตัวมัน ในที่สุดนกชิงเหนียวก็หยุดบินและเอียงหัวมองเธออีกครั้ง
ในปากของเจ้าตัวเล็กมีวัตถุชิ้นหนึ่ง สิ่งนั้นออกมาจากกระเป๋าหนังที่ผูกไว้กับขาของมันก่อนจะทิ้งลงตรงหน้าของเธอ
“นี่คืออะไร?” หยุนจิงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างลังเล วัตถุชิ้นนั้นเป็นผ้าไหมสีขาวมีลวดลายดอกเหมยปักอยู่และมีตัวอักษรโบราณที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ตัวอักษรนี่...” เธอยังพูดไม่ทันจบ
ทันใดนั้นเสียงร้องของนกชิงเหนียวก็ดังขึ้นอีกครั้งราวกับมันพยายามกระตุ้นให้เธออ่าน เธอจ้องมองตัวอักษรเหล่านั้น พลางรู้สึกว่ามันดูคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนบางอย่างในหัวของตนปลดล็อก
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” หยุนจิงพูดพร้อมกับจ้องมองนกตัวนั้นอีกครั้ง ดวงตาของมันจ้องกลับมาราวกับเข้าใจคำถามของเธอ
นกชิงเหนียวกระพือปีกอีกครั้งก่อนจะบินออกไปเกาะที่หน้าต่าง ทิ้งให้หยุนจิงนั่งอยู่กับความคิดของตัวเอง เธอพลิกดูผ้าไหมในมืออีกครั้งและรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้ต้องมีความสำคัญก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงอ่านข้อความในผ้าไหม
ผู้ถือตราแห่งจันทรา จะนำแสงสว่างมาสู่เงามืด มองหามิตรแท้ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดวงจันทร์จะนำพาเจ้าสู่ความจริงและโชคชะตา
หยุนจิงอ่านข้อความในผ้าไหมอย่างตั้งใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ตราแห่งจันทรา... นี่เกี่ยวข้องกับข้าอย่างนั้นหรือ? แล้วมันคืออะไรกันล่ะ”
นกชิงเหนียวที่ยังคงเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างส่งเสียงตอบ “แน่นอนว่าเกี่ยวข้อง เจ้าเป็นผู้ถูกเลือกผู้เดียวที่สามารถถือครองตราแห่งจันทราได้”
“เฮ้ย!!...นะ..นกพูดได้ นี่คงจะไม่ใช่ว่าข้าถูกผีหลอกกลางวันหรอกใช่ไหม” หยุนจิงโยนสิ่งที่อ่านทิ้งยกผ้าบุนวมข้างกายขึ้นมาคลุมตัวจนมิดไม่เว้นแม้แต่ศีรษะ
นกชิงเหนียวกลอกตาวนไปมา “เจ้าสิเป็นผี ข้าเป็นนกของเจ้าแม่ซีหวังมู่เลยนะ พระนางส่งให้ข้ามาช่วยเหลือเจ้า” น้ำเสียงของเจ้าตัวเล็กแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
“ห๊ะ! ในนิยายมีกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ ทำไมเหม่ยหลินไม่เคยพูดให้ฟัง” หยุนจิงแสดงสีหน้าสงสัยพลางลดผ้าบุนวมลงโผล่ลูกตาออกมาเล็กน้อย
สายตาของนางจ้องนกตัวเล็กด้วยแววตาแห่งความสับสนระคนกังขา ดูเหมือนว่านกชิงเหนียวจะรับรู้ว่านางคิดอะไร
“เจ้าลุกขึ้นมาคุยกันดี ๆ ได้แล้ว” นกตัวเล็กบินมาเกาะอยู่บนโต๊ะข้างเตียงพูดขึ้นอีกครั้ง
“ก็ได้...ว่าแต่เจ้าไม่ใช่ผีแน่นะ”
“เจ้าสิเป็นผี ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นนกของเจ้าแม่ซีหวังมู่ หากเจ้ายังว่าข้าเป็นผีอีก ข้าจะแปลงร่างเป็นวิญญาณแล้วตามหลอกหลอนเจ้าหึหึ” นกตัวเล็กถลึงตามองหยุนจิงพลางข่มขู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าท่าทางเช่นนี้น่ารักมากกว่าน่ากลัว
(แล้วยังจะบอกตัวเองไม่ใช่ผีอีก) หยุนจิงคิด
“ก็ได้ ข้าเชื่อแล้ว ว่าแต่เจ้าช่วยตอบคำถามข้าได้หรือไม่ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นนกเทพของเจ้าแม่ที่ส่งมาช่วยข้า” หยุน จิงยอมลงให้เจ้าตัวเล็ก
“ได้! ว่าแต่เจ้าจะถามอะไรล่ะ”
“ตราแห่งจันทรานี้คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญนัก?”
นกชิงเหนียวเงียบไปชั่วจิบชา “ตราแห่งจันทราไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้ มันคือพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเจ้า พลังที่จะเปลี่ยนชะตากรรมแห่งราชวงศ์และตัวเจ้าเอง หากเจ้ารู้วิธีใช้มันอย่างถูกต้อง”
มือของหยุนจิงกำเข้าหากันแน่น ก่อนถามออกมาเสียงเบาหวิว “แล้วข้าต้องทำอย่างไรต่อไป?”
นกชิงเหนียวเอียงหัวเล็กน้อยก่อนตอบ “เริ่มจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าจะพบสิ่งที่จะไขปริศนาเกี่ยวกับตราแห่งจันทราและเริ่มต้นเส้นทางที่แท้จริงของเจ้า”
หยุนจิงพยักหน้าช้า ๆ แม้ในใจยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เธอรู้ว่าตอนนี้เธอต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางครั้งสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ขอบคุณเจ้ามาก ว่าแต่เจ้ามีชื่อหรือไม่” หยุนจิงพยายามปรับอารมณ์ให้คืนสู่ปกติ
นกชิงเหนียวกระพือปีกบินวนรอบตัวเด็กหญิงพลางเอียงคอมองนางอย่างงุนงง
“ตั้งแต่เกิดพระนางก็เรียกข้าว่านกชิงเหนียว”
“ถ้าอย่างนั้นนกชิงเหนียวแบบเจ้ามีเยอะไหม” หยุนจิงรู้สึกสนใจเจ้าตัวเล็กถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ก็มีหลายตัวอยู่ ว่าแต่เจ้าถามทำไม” เจ้าตัวเล็กเลื่อนบินมาเกาะบนบ่าของนางถามขึ้นอีกด้วยความฉงน
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าอวิ๋นซิง พวกเราจะเป็นคู่หูร่วมทุกข์ร่วมสุขกันดีหรือไม่” นกตัวเล็กมองใบหน้าของคนพูดก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ แล้วต่อไปนี้เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเจ้าเพียงแค่คิดก็พอหากอยากสนทนากับข้า เพราะนอกจากเจ้าแล้วพวกเขาจะเห็นข้าเป็นนกธรรมดา”
ได้ แบบนี้ใช่ไหม หยุนจิงทดสอบดูทันที
อืม เสียงเล็ก ๆ ของอวิ๋นซิงตอบรับ
หยุนจิงรู้สึกว่าท่ามกลางความสับสนประเดประดังในตอนนี้การที่มีคู่หูเป็นนกวิเศษก็นับว่าไม่ได้แย่จนเกินไป
ก่อนที่เธอจะพยายามมองโลกในแง่ดีถึงการเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยเธอก็รู้เรื่องของมันมาบ้าง ในเมื่อการเป็นตัวร้ายจะต้องตายเธอก็แค่เปลี่ยนบทก็เท่านั้นเอง เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะหนีจากชะตากรรมเดิมไม่พ้น
อันดับแรก เธอจะต้องวางแผนให้แม่ของร่างนี้หย่าขาดจากพ่อบัดซบที่มีใจทะเยอทะยานร่วมกันก่อกบฏแล้วใส่ร้ายครอบครัวของท่านตาที่เป็นไท่เว่ย
อันดับสอง กลับไปพึ่งบารมีของท่านตา รวมถึงท่านลุงแต่ว่าตอนนี้ท่านลุงอยู่เมืองเตี้ยนหวง เอ๊ะ! ใช่แล้วจะว่าไปเมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ใช่หรือ
หยุนจิงยกมือขึ้นกุมศีรษะพยายามเรียบเรียงความคิดของตนเอง แววตาของเธอเริ่มมีความหวังขึ้นมาทีละน้อย แสดงว่าทิศตะวันตกเฉียงใต้ย่อมเป็นพันธมิตรของฉัน
“ใช่แล้ว!” เธอกัดฟันพลางลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายอย่างมุ่งมั่น “ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ”
นกชิงเหนียวกระพือปีกด้วยความตกใจในท่าทางของเด็กหญิงที่เมื่อครู่ยังดูเซื่องซึมทว่ามาบัดนี้กลับกระโดดโลดเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
(เจ้าแม่เจ้าขา ท่านคงไม่ได้ส่งให้ข้ามาช่วยคนวิปลาสใช่หรือไม่) นกตัวน้อยแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปยังทิศทางที่เจ้าแม่ซีหวังมู่ประทับเอ่ยตัดพ้อในใจ
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม