ภายในเรือนเล็กของหยุนจิง บรรยากาศเงียบสงบกว่าที่เคย เด็กหญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยคู่ใจกับเบาะรองนั่งอันคุ้นเคย แผ่นหลังเล็ก ๆ พิงพนักพลางทอดสายตามองออกไปนอกบานหน้าต่าง เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ไกล ๆ ทำให้เธอเผลอคิดถึงอวิ๋นซิงขึ้นมา
“หายไปนานเหมือนกันนะ...หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจระบายความกลัดกลุ้ม ใจหนึ่งก็อยากให้เจ้าตัวจิ๋วรีบกลับมาเร็ว ๆ พร้อมข่าวดี แต่อีกใจก็กลัวว่าข่าวที่ได้อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง
“หวังว่าเจ้าจะเจอหนังสือหย่าที่ถูกซ่อนไว้… ถ้าเจอจริง ๆ คงเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ข้าช่วยแม่ได้ง่ายขึ้น”
น้ำเสียงอ่อน ๆ พึมพำกับตัวเอง ดวงตาของหยุนจิงฉายแววกังวลเล็กน้อย เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะใช้หนังสือหย่าเป็นเครื่องมือหลักในการเรียกร้องความชอบธรรมให้แม่ แต่มันต้องผ่านการยืนยันด้วยหลักฐานที่แน่นหนา หาไม่ผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างหลี่เจี้ยนเฉิงคงไม่ปล่อยมารดาเธอออกไปง่าย ๆ แน่
เวลาผ่านไปราวสองเค่อ หยุนจิงก็ได้ยินเสียงปีกกระพือเบา ๆ ดังขึ้นแถวริมหน้าต่าง แม้ว่าเสียงของมันจะจนแทบไม่ได้ยินแต่เธอก็ยังรู้สึกได้จึงรีบหันไปดู
อวิ๋นซิง! หยุนจิงเบิกตากว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นนกชิงเหนียวสีฟ้าอมเขียวตัวจิ๋วบินเข้ามาเกาะบนขอบหน้าต่าง เจ้าตัวจิ๋วกระพือปีกสองสามครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นเหมือนมองเธอเชิงบอกให้เด็กหญิงเข้ามาใกล้ ๆ
เป็นเยี่ยงไรบ้าง สืบอะไรได้หรือไม่ เธอถามเสียงเบาอย่างร้อนรน
เจ้านี่เก่งแต่ถาม ทว่าไม่เก่งในความอดทนเลยนะ เยว่ ฮวา… ข้ายังไม่ทันได้พักหายใจเลยด้วยซ้ำ อวิ๋นซิงอดไม่ได้ที่จะตำหนิออกมาพร้อมกับท่าทางสะบัดปีกอย่างงอน ๆ ของเจ้าตัว
โอเค ข้าผิดเอง ข้าขอโทษเจ้าด้วยที่ใจร้อนเกินไป ถ้าอย่างนั้นขอเชิญเจ้าพักให้สบายเสียก่อน ว่าแต่เจ้าอยากจะกินเหอเถา[1]หรือไม่ข้าได้ให้เถาจูเตรียมมาให้แล้ว
อวิ๋นซิงหันกลับมากระพือปีกน้อย ๆ และเอียงคอมองอย่างข้องใจ
โอเค… คือสิ่งใด เยว่ฮวา เจ้าช่วยพูดภาษาคนให้ข้าฟังเข้าใจง่าย ๆ ไม่ได้หรือ
หยุนจิงพลันฉุกคิดว่าตนเองเผลอพูดคำศัพท์สมัยใหม่เข้าดังนั้นเธอจึงหลุดยิ้มแห้ง ๆ เล็กน้อย ก่อนจะอธิบายให้นกชิงเหนียวตัวจิ๋วฟัง
เอ่อ... มันเป็นคำอุทานในโลกเก่าของข้าเอง เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก มันหมายความประมาณว่า ตกลง ข้ารับทราบแล้วอะไรทำนองนี้
อื้ม… โลกของเจ้านี่มีศัพท์แปลก ๆ เต็มไปหมดเลย
อวิ๋นซิงกระพือปีกเล็กน้อยพร้อมคล้ายทำท่าทางจะกลอกตามองบนอย่างชวนขำ
หยุนจิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม ใช่… ก็มันเป็นภาษาที่ติดมาตั้งแต่ตอนที่ข้ายังอยู่ที่นั่น
เธอพูดจบก็หยิบถ้วยที่ใส่เมล็ดเหอเถาขึ้นมาวางใกล้ ๆ นกชิงเหนียวเพราะเจ้าตัวจิ๋วเคยบ่นว่าอร่อย
นี่ไง ลองกินดูอีกสิ อาจจะช่วยให้เจ้ารู้สึกผ่อนคลายบ้าง
อืม… คงต้องลองสักหน่อย จะได้หายเหนื่อยจากการสืบข่าว
อวิ๋นซิงจิกเมล็ดเหอเถาเบา ๆ ราวกับกำลังดื่มด่ำกับรสชาติในขณะที่เจ้าตัวจิ๋วกำลังเพลิดเพลิน พอหยุนจิงเห็นท่าทางของมันนางก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
เมื่อเจ้าอิ่มแล้วก็พักเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ลำบากบินไปบินมาจนทั่วจวน
พักหน่อยก็ดีเหมือนกัน…แต่เจ้าเองก็อย่าซุกซนไปไหนล่ะ นกชิงเหนียวบ่นหงุงหงิงในลำคอก่อนจะกระพือปีกสองสามทีแล้วกระโดดไปเกาะขอบหน้าต่างที่แสงแดดอุ่นกำลังส่องลงมา
หยุนจิงจึงเดินกลับมาทิ้งก้นลงบนเบาะนั่งของตนตามเดิม นางทำทีเป็นทอดตามองไปข้างนอกเรือนที่เริ่มสงบเงียบ บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่กำลังทำงานของตนเองอยู่ด้านนอก หรือไม่ก็อยู่เรือนอื่น
ข้าจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ หรอกน่า ข้าวางแผนไว้แล้วว่าจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน เช่นหาวิธีเกลี้ยกล่อมคนรอบข้าง แม่ของข้าจะได้ไม่ลำบากจนเกินไป
ก็ดี… แต่จงจำไว้ว่าเจ้ามีร่างกายแค่วัยห้าขวบ สู้เรี่ยวแรงใครไม่ได้หรอกนะ อย่าเผลอใช้ทักษะในยุคเดิมแบบเกินตัวล่ะ อวิ๋นซิงย้ำเสียงเข้มก่อนจะหลับตาลงเหมือนเป็นการพักสายตา
หยุนจิงหลุดขำ ก่อนจะก้มมองมือตัวเองที่เล็กจ้อย
อืม… ข้าจะระวังตัวเอง ขอบใจเจ้ามากที่คอยเตือน
(เธอยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ การตามหาหนังสือหย่า การวางแผนให้แม่พ้นจากเงื้อมมือพ่อเลว และการปกป้องครอบครัวฝั่งท่านตาที่อีกไม่นานอาจถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ ทุกอย่างเริ่มต้นจากเธอ…ทั้งสิ้น) เด็กหญิงวัยห้าขวบที่มีจิตวิญญาณของตำรวจสาวจากโลกอนาคตคิด
ก่อนที่นางจะแหงนคอมองเพดานเรือนเล็กที่ตนอาศัยอยู่ นับจากนี้ไปสิ่งที่เรียกว่าชีวิตในนิยายของเธอจะเปลี่ยนไปอย่างไร เป็นเรื่องที่เธอเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรรับรองได้ว่าจุดจบจะต้องไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
“ข้าจะทำให้ได้… ทั้งเพื่อแม่ของข้าและเพื่อร่างนี้ที่ให้โอกาสข้ามีชีวิตใหม่”
เมื่อนึกได้ดังนี้สายตาของเด็กหญิงก็กลับมาจดจ่อกับแผนในหัว เสียงลมเอื่อย ๆ พัดผ่านขอบหน้าต่างเกิดเป็นบรรยากาศสงบเหมาะแก่การใช้เวลาคิดวางกลยุทธ์ต่อไป
เมื่ออวิ๋นซิงหลับใหลไปแล้ว หยุนจิงก็เอนกายลงพิงพนักเก้าอี้เตี้ย ดวงตากลมโตเพ่งพิศมองไปยังกระดาษที่เธอเคยจดแผนการง่าย ๆ เอาไว้ บนกระดาษนั้นมีรอยขีดเขียนหยัก ๆ จากลายมือของเด็กห้าขวบ แต่หากพินิจดี ๆ จะเห็นร่องรอยความเป็นตำรวจในโลกเก่าของเธออยู่เป็นนัย
“เริ่มจาก… หาทางรู้ข้อมูลของพ่อเลว... มัดตัวให้แน่นหนา… ช่วยแม่ให้เป็นอิสระ…”
เธออ่านทวนข้อความสั้น ๆ ที่ตัวเองจดไว้ด้วยความมุ่งมั่นเต็มหัวใจพลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“แต่จะทำยังไงให้พ่อเลวถูกเปิดโปง… ข้าคงต้องอาศัยทั้งคนในจวนและคนนอกจวนช่วยด้วยแล้วล่ะ ไม่ได้สิคนในย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ สถานที่แห่งนี้เปรียบประดุจถ้ำเสือรังหมาป่าไม่มีใครไว้ใจได้” หยุนจิงพึมพำคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น ในอกพลันรู้สึกถึงความหนักอึ้ง
เยว่ฮวา... เจ้ากำลังคิดสิ่งใด
เสียงเล็ก ๆ ของอวิ๋นซิงดังขึ้นอย่างงัวเงีย
เจ้าตื่นแล้ว สายตาของหยุนจิงย้ายไปมองทางต้นเสียง
อืม ข้าคิดว่าข้าหลับมานานกว่าหนึ่งเค่อ ตอนนี้สบายตัวมากเลย แล้วข้าก็พร้อมแล้วที่จะเล่าในสิ่งที่ได้ยินมาให้เจ้าฟัง
หยุนจิงพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตาของเธอสบเข้ากับดวงตาเปล่งประกายของนกชิงเหนียวอย่างมีความหวัง
ข้าพร้อมฟังแล้วอวิ๋นซิง เจ้าได้ยินอะไรมาบ้าง รีบบอกข้าเถิด
อวิ๋นซิงขยับปีกน้อย ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ข้าไปถามเจ้านกที่เกาะอยู่บนระเบียงเรือนเหลียนฮวาของจงเสวี่ยเหม่ยมา มันบอกว่าช่วงค่ำวานนี้มันเห็นนางจัดข้าวของบางอย่างใส่ห่อผ้าหนา ๆ ก่อนจะสั่งคนสนิทชื่ออาอิ๋นให้เอาไปเก็บไว้ที่เรือนชนบทหลังเก่า และมันยังได้ยินมาอีกว่านางเคยแอบเอาของสำคัญบางอย่างไปซ่อนไว้ใต้เตียงมาครั้งหนึ่งแล้วด้วย
หยุนจิงเบิกตากว้างทันที เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกเพื่อควบคุมความตื่นเต้นที่กำลังพลุ่งพล่าน
(ของสำคัญ… ) เธอพึมพำในใจ แต่ก็อดถามออกมาตรง ๆ ไม่ได้
เจ้าคิดว่าของสำคัญที่ว่าอาจจะเป็นหนังสือหย่า
อืม ข้าฟังนกตัวนั้นพูด มันบอกจงเสวี่ยเหม่ยใช้คำว่าตำราบางอย่างที่มีตราประทับ... อีกทั้งนางยังกล่าวกำชับลูกน้องว่าห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้ ข้าว่ามีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะเป็นหนังสือหย่า จริง ๆ
หยุนจิงเม้มปากแน่น งั้นก็แปลว่าที่ข้าคาดไว้ไม่ผิด จงเสวี่ยเหม่ยอาจจะต้องการเก็บหนังสือหย่าจากหลี่เจี้ยนเฉิงไว้เป็นไม้ตาย เพื่อบีบให้เขายอมตามใจ... หรือเป็นเงื่อนไขบางอย่าง ข้าต้องเอามันออกมาให้แม่ดูให้ได้
อวิ๋นซิงกระพือปีกสองสามที แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อเล่า
เด็กหญิงหลุบตาลงต่ำราวกับใช้สมาธิทบทวนแผน ก่อนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ อย่างแรกคือ ข้าต้องสืบดูว่าที่เรือนชนบทหลังเก่านั้นใครเป็นคนถือกุญแจและมีคนเฝ้าเวรหรือไม่ จากนั้นข้าค่อยวางแผนจะไปเอาหนังสือหย่าออกมา ถ้ามันใช่จริงก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะให้แม่ใช้ยื่นขอหย่าได้ง่ายขึ้น
เข้าใจแล้ว อวิ๋นซิงส่งเสียงร้องออกมาอย่างเห็นด้วยก่อนที่จะพูดต่อ แล้วเจ้าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามไปล่ะ หากถูกจับได้เจ้าจะยิ่งลำบากมากขึ้น
อืม ข้าเข้าใจแล้ว
หยุนจิงพยักหน้ารับฟัง แต่ก่อนที่อวิ๋นซิงจะเงียบเสียงของตนลง จู่ ๆ นกตัวจิ๋วก็คิดถึงเรื่องหนึ่งออกก่อนจะพูดขึ้นอีกคำรบเยว่ฮวา เหตุใดเจ้าไม่หาคนช่วย
เจ้าคิดว่าจะมีคนยื่นมือมาช่วยข้าเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ หยุนจิงย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัย
ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่เจ้านกกระจิบตัวนั้นบอกว่ามันเคยได้ยินคนของต้าชิงหลิง (สำนักฝ่ายตุลาการ) มาสืบเรื่องเกี่ยวความสัมพันธ์ของจงเสวี่ยเหม่ยกับพ่อของเจ้าด้วยนะ เจ้าไม่คิดว่าคนของต้าชิงหลิงจะเป็นพันธมิตรได้หรอกหรือ
ต้าชิงหลิง? หยุนจิงพึมพำพร้อมกับใช้ความคิดว่าในนิยายได้มีกล่าวถึงคนในสำนักต้าชิงหลิงหรือไม่ ก่อนที่ดวงตาคล้ายตากวางของนางจะเบิกกว้าง
“ซุนเหวิน”
[1] วอลนัท
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม