Share

บทที่ 7

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
แม้ว่าจักรวรรดิเฉียนอู่จะก่อตั้งขึ้นด้วยการทหาร ทว่า ขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ก็ยังคงเข้มงวดอย่างยิ่ง

องค์รัชทายาทคือองค์รัชทายาทของจักรวรรดิ การที่องค์ชายรองเรียกชื่อของเขาตรง ๆ นับเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง หากเป็นในยามปกติ หยางเฉินคงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้ว

แต่ว่า ตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว หากลงมือขึ้นมา ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด

องค์ชายรองกล่าวเย้ยหยันหยางเฉินว่าเป็นคนพิการต่อหน้าเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ เดิมทีแล้วก็เพื่อต้องการที่จะยั่วยุหยางเฉิน และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อให้เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ได้เห็นว่า ตนเองแข็งข้อกับองค์รัชทายาทอย่างไร?

แน่นอนว่า นี่ก็เป็นการบอกแก่ขุนนางที่เคยสนับสนุนหยางเฉินว่า ยุคของหยางเฉินได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกท่านสามารถเลือกข้างใหม่ได้แล้ว

“พี่รอง ความหมายของท่านคือท่านคู่ควรที่จะเป็นองค์รัชทายาทสินะ” หยางเฉินกล่าวพลางแค่นเสียงเย็น

“อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนพิการ ไม่ใช่คนไร้ค่า เจ้าว่าจริงหรือไม่?” หยางคุนถามกลับเสียงเย็น

“เมื่อก่อนยามเจอหน้าข้า ก็เหมือนหนูเจอแมว ไม่เดินเลี่ยงก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น คนไร้ค่าอย่างท่านยังกล้ามาเยาะเย้ยข้าอีกหรือ? ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

“อย่างไรเล่า? ตอนนี้ข้าบาดเจ็บ ท่านก็คิดว่าท่านจะเหิมเกริมได้แล้ว คิดว่าสามารถเป็นศัตรูกับข้าได้แล้วหรือ คนโง่อย่างท่าน ไม่รู้จริง ๆ ว่าความกล้าของท่านมาจากที่ใด?”

“ข้าจะบอกอะไรให้ หว่านเอ๋อร์ตายอย่างไร? ข้าจะทำให้คนที่ฆ่านาง ได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน!”

หยางเฉินมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ตวาดเสียงดัง และยังกล่าวถึงการตายของหว่านเอ๋อร์

“หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่ข้าที่ฆ่า เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!” หยางคุนร้อนรน รีบปฏิเสธทันที

“ข้าพูดแล้วหรือว่าท่านฆ่าหว่านเอ๋อร์? ข้าเหมือนจะยังไม่ได้พูดเลย? นี่ท่านร้อนตัวรับสารภาพเองมิใช่หรือ?” หยางเฉินกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

องค์ชายเจ็ดหยางอวี๋เห็นพี่รองถูกเหยียดหยาม ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง “หยางเฉิน หว่านเอ๋อร์กัดข้า ข้าฆ่านางแล้วจะทำไม? นางก็เป็นแค่ทาสรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น หรือเจ้ายังคิดจะแก้แค้นแทนนางอีกหรือ?”

เมื่อหยางเฉินได้ยินว่าเขาเป็นคนฆ่าหว่านเอ๋อร์ ไอสังหารอันเย็นเยียบก็แผ่กระจายออกมา สีหน้าเขียวคล้ำพลางเอ่ยขึ้น “ข้าเคยพูดไว้แล้ว หว่านเอ๋อร์ตายอย่างไร? ข้าก็จะทำให้ฆาตกร ได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน!”

“หยางเฉิน เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นองค์รัชทายาทอยู่อีกหรือ? ข้าจะบอกอะไรให้ วันนี้ที่ฝ่าบาททรงเรียกพวกเรามา ก็เพื่อที่จะประกาศปลดเจ้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” องค์ชายเจ็ดพลั้งปากเปิดโปงออกมา

ซ่างกวนหลินและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ตระหนักได้ว่าองค์ชายเจ็ดคงจะได้รับข่าวมาก่อนอย่างแน่นอน จึงได้เผลอหลุดปากออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าเจ็ด ไม่ทราบว่าเจ้าได้ข่าวมาจากที่ใด? หรือว่าเจ้าแอบส่งคนไปไว้ข้างกายฝ่าบาท?” หยางเฉินเอ่ยถามเสียงเย็น

อะไรนะ? แอบส่งคนไปไว้ข้างกายฝ่าบาท?

หากฝ่าบาททรงทราบเข้า นี่นับเป็นโทษมหันต์!

“หยางเฉิน เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ข้าจะกล้าส่งคนไปไว้ข้างกายเสด็จพ่อได้อย่างไร? ท่านอย่ามาพูดจาเหลวไหล!” องค์ชายเจ็ดรีบปฏิเสธเสียงดัง ตะคอกใส่หยางเฉินอย่างเกรี้ยวกราด

องค์ชายรองเห็นน้องชายเกือบจะหลุดปากพูดออกมา ก็รีบดึงเขาไว้ แล้วกระซิบว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าอย่าไปถือสาคนไร้ค่าคนหนึ่งเลย”

องค์ชายใหญ่หยางเฉียนมองพวกเขาโต้เถียงกันด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้เอ่ยปากเลยแม้แต่คำเดียว เห็นได้ชัดว่าต้องการจะรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความขัดแย้งของผู้อื่น

ซ่างกวนหลินและเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ต่างพากันเงียบกริบ เกรงว่าลูกหลงจะมาโดนตนเข้า ทว่า ตอนนี้ในใจของพวกเขาก็เริ่มคำนวณแล้วว่า ควรจะเลือกข้างอย่างไรดี?

“ฝ่าบาทเสด็จ!” ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงของขันที

“ถวายบังคมฝ่าบาท!” เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊คุกเข่าลงกับพื้น ต้อนรับฮ่องเต้ของพวกเขา

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงสวมกวานบนศีรษะ สวมเสื้อคลุมมังกร เสด็จมาพร้อมกับฮองเฮาอวี่เหวินเฟยเฟิ่งที่สวมชุดเสื้อคลุมหงส์สีม่วง ท่ามกลางการถวายบังคมของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ ก็ค่อย ๆ ก้าวไปยังบัลลังก์ฮ่องเต้ที่ผู้คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันถึง

ในฐานะองค์รัชทายาท หยางเฉินก็ย่อมจะขาดมารยาทไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้เขานั่งอยู่บนรถเข็น จึงไม่สามารถทำความเคารพด้วยการคุกเข่าได้

สายพระเนตรของฮ่องเต้อู่เต๋อย่อมต้องจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา บนพระพักตร์ฉายแววไม่พอพระทัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง

อย่างไรเสีย ก็เป็นพระองค์ที่ให้คนไปแจ้งให้หยางเฉินมา ตอนนี้ขาของเขาพิการไปแล้ว และยังสูญสิ้นวรยุทธ์ การให้เขามาเข้าร่วมประชุมขุนนางก็นับว่าเป็นการฝืนใจเขาอยู่บ้างแล้ว

“ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้น!” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเสมอกัน ตรัสเสียงดัง

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”

เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ต่างพากันเปล่งเสียงดังกึกก้องสะท้านเก้าชั้นฟ้า แสดงให้เห็นถึงความเกรียงไกรของจักรวรรดิเฉียนอู่

สายพระเนตรของฮ่องเต้อู่เต๋อมองไปยังหยางเฉิน ตรัสถามเสียงดัง “องค์รัชทายาท ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงเป็นห่วง ร่างกายของลูกฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ขาไม่สะดวก ไม่สามารถถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉินทูลตอบเสียงดัง

“เจ้านั่งบนรถเข็นเถิด พ่อกับแม่ไม่ถือโทษเจ้าหรอก” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงเห็นเขาสามารถนั่งรถเข็นมาเข้าร่วมประชุมได้ ก็ทรงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งแล้ว

“เสด็จพ่อ เมื่อครู่นี้เจ้าเจ็ดบอกว่าเสด็จพ่อจะทรงปลดลูกออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หยางเฉินเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงชะงักไปเล็กน้อย หันไปมององค์ชายเจ็ดแล้วตรัสถามเสียงเย็น “เจ้าเจ็ด เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใด?”

องค์ชายเจ็ดหยางอวี๋ตกใจจนตัวสั่น คุกเข่าลงกับพื้นดังตุบ

หยางเฉินรีบโยนความผิดในทันที ทูลเสียงดัง “ทูลเสด็จพ่อ คาดว่าเจ้าเจ็ดคงจะแอบส่งคนไปไว้ข้างกายท่าน จึงได้ทราบเรื่องพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ากระไรนะ? แอบส่งคนมาไว้ข้างกายเราหรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตกพระทัยอย่างยิ่ง

“เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ! ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดใส่ร้ายป้ายสีของหยางเฉิน! ลูกจะกล้าส่งคนไปไว้ข้างกายเสด็จพ่อได้อย่างไรกัน?” องค์ชายเจ็ดรีบอธิบาย

“เราก็คิดว่าเจ้าไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้น?” ฮ่องเต้อู่เต๋อแค่นเสียงเย็น

องค์ชายรองเห็นเจ้าเจ็ดถูกหยางเฉินฟ้อง ก็แทรกขึ้นมาเสียงดัง “ทูลเสด็จพ่อ หยางเฉินพูดจาเหลวไหลทั้งเพ ท่านอย่าได้เชื่อคำพูดไร้สาระของเขาเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ!”

“พี่รอง เมื่อครู่นี้เจ้าเจ็ดพูดว่าเสด็จพ่อจะทรงปลดข้าออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทมิใช่หรือ? ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะได้ยินกระมัง?” หยางเฉินถามกลับทันที

“ขออภัย ข้าหูตึง ไม่ได้ยินเลย” องค์ชายรองหยางคุนกล่าวอย่างท้าทาย

อะไรนะ? ท่านหูตึงหรือ?

หยางเฉินชะงักไปเล็กน้อย หันไปมองซ่างกวนหลินแล้วเอ่ยถามเสียงดัง “ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านได้ยินคำพูดขององค์ชายเจ็ดหรือไม่?”

องค์ชายเจ็ดพูดออกมาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ อีกทั้งรอบ ๆ ยังมีขันทีนางกำนัล พวกนางย่อมต้องได้ยินอย่างแน่นอน

ฝ่าบาทเพียงแค่สุ่มจับคนมาถามสักคน ก็จะรู้ได้ว่าองค์ชายเจ็ดพูดหรือไม่ เรื่องเช่นนี้องค์ชายรองจะช่วยน้องชายปกปิดได้อย่างไร?

หากตอนนี้ซ่างกวนหลินบอกว่าไม่ได้ยิน หากฮ่องเต้อู่เต๋อทรงทราบความจริงขึ้นมา ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของเขาเกรงว่าคงจะต้องถูกโยกย้ายแล้ว

ทว่า การล่วงเกินองค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดต่อหน้าธารกำนัล ก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินเซวียกุ้ยเฟยไปพร้อม ๆ กัน

จะทำอย่างไรดี?

ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงได้ยินหยางเฉินเอ่ยถามซ่างกวนหลิน สายพระเนตรก็หันไปมองเขาโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อครู่นี้องค์ชายเจ็ดได้กล่าวจริง ๆ ว่าฝ่าบาทจะทรงปลดองค์รัชทายาทในวันนี้ แต่กระหม่อมคิดว่าเขาคงได้ยินมาจากข่าวลือ ไม่น่าเชื่อถือพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่างกวนหลินตอบได้อย่างไม่มีที่ติ

เดิมทีฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตั้งพระทัยที่จะปลดองค์รัชทายาทในวันนี้จริง ๆ ทว่า ตอนนี้กลับถูกองค์ชายเจ็ดเปิดโปงออกมาก่อน ทำให้พระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หากตอนนี้ปลดองค์รัชทายาท นั่นไม่เท่ากับว่าองค์ชายเจ็ดได้ล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วหรือ ไม่ได้พูดจามั่วซั่ว เช่นนั้นแล้วอำนาจของฮ่องเต้จะอยู่ที่ใด? พระพักตร์จะไม่ถูกหยามจนป่นปี้หมดหรอกหรือ?

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 100

    เวลานี้ ภายห้องโถงใหญ่ของพระตำหนัก ฮ่องเต้อู่เต๋อกำลังนำฮองเฮาถวายพระพรและถวายของขวัญให้ไทเฮา ไทเฮาที่นั่งอยู่ตรงกลางดีพระทัยจนแย้มสรวลไม่หยุด รีบสั่งให้คนจัดที่นั่งให้ฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ที่มาร่วมงานคล้ายวันพระราชสมภพในวันนี้ ถูกฮองเฮาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้ามาอวยพรวันเกิดเป็นกลุ่มแรกย่อมเป็นบรรดาพระญาติพระวงศ์ ที่สำคัญก็คือเหล่าองค์ชายและพระราชนัดดา แม้แต่องค์หญิงใหญ่หยางจิ่นอวี๋ก็มาด้วยแล้วต่อจากฮองเฮาก็คือเหล่าพระสนมวังหลัง ที่ตามมาติดๆ กันคือเซวียกุ้ยเฟย เซียวซูเฟย และยังมีเจาหรง เจาอี๋ ไฉเหริน และกุ้ยเหรินจากตำหนักในด้วยแม้แต่มารดาของหยางเฉิน ‘พระสนมฉิงกุ้ยเฟย - หลีหว่านฉิง’ ก็ยังมาอวยพรวันเกิดไทเฮาด้วยทว่านอกจากฮองเฮาและกุ้ยเฟยอีกไม่กี่นางแล้ว เหล่านางสนมที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นไม่มีแม้แต่ที่นั่ง จึงทำได้เพียงจากไปทางประตูข้างหยางเฉินในฐานะองค์รัชทายาทและผู้นำของทายาทรุ่นที่สาม แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนสิ้นและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าฐานะของเขายังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่เข้าสู่ห้องโถงเช่นกัน“หลานหยางเฉินขออวยพรเสด็จย่า ขอพระองค์ทรง ‘โชควาสนาเปี่

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 99

    ด้วยความสามารถระดับสามัญวชิระของเขาในอดีต ต่อให้เป็นเพียงพลังยุทธ์สามส่วน ก็สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นแปดลงไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีวิชาลับอันร้ายกาจที่เพิ่มพูนความสามารถได้อีกวันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จย่า หยางเฉินเลือกของขวัญที่ดูเข้าเกณฑ์สองชิ้น เตรียมไปอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่าเรื่องใหญ่อย่างงานคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ย่อมมีฮองเฮาประมุขแห่งวังหลังเป็นผู้กำกับดูแล และมีการเชื้อเชิญเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กับครอบครัว กล่าวได้ว่าครึกครื้นอย่างที่สุดพระตำหนักฉือหนิง เป็นตำหนักที่ประทับของไทเฮา ผู้เป็นพระพันปีหลวงในตอนที่หยางเฉินมาถึงที่นี่ บรรดาเสด็จพี่เสด็จน้องชายทั้งหลายก็ต่างมาถึงกันแล้ว ต่างกำลังเข้าแถวรออยู่นอกตำหนัก เพื่อเข้าไปมอบของขวัญและอวยพรวันเกิดแก่พระพันปี“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง วันนี้พวกท่านไม่ไปเจรจาสันติภาพหรือ?” หยางเฉินแกล้งถามอย่างประหลาดใจ“พอองค์หญิงได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ก็ให้พวกเรามาอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากันต่อ” องค์ชายใหญ่ตอบด้วยรอยยิ้มองค์ชายรองยิ้มแทรกขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงผิงหยางผู้นี้คิดได้รอบ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 98

    คนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงทั้งสองต่างวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย เจ้าวางแผนใส่ข้า ข้าก็วางแผนใส่เจ้า!ในขณะที่องค์หญิงผิงหยางกำลังยินดีนั่นเอง สาวใช้ทั้งสองคนของนางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน คุกเข่าลงกับพื้นทั้งคู่“ทูลองค์หญิง ภารกิจล้มเหลวแล้วเพคะ!”“ว่าอย่างไรนะ? ล้มเหลวแล้ว? หรือถูกเขาค้นพบเข้าแล้ว?” องค์หญิงผิงหยางตกตะลึง“องค์หญิง พวกเราวางกำลังดักซุ่มถึงสองครั้ง แต่ในขณะกำลังจะเข้าสู่หลุมพราง เจ้าหยางเฉินผู้นี้ล้วนวกรถม้ากลับไป ทำให้แผนการของเราล้มเหลวทั้งหมด!” ถัดมา อวิ๋นจือก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งองค์หญิงผิงหยางฟังคำรายงานของสาวใช้ ในใจพลันกระตุกขึ้นมา โพล่งออกมาว่า “หรือหยางเฉินจะพบว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขาจริงๆ ?”“องค์หญิง พวกเรามิได้ถูกเปิดโปงเพคะ เขาน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขา!” ชูเซี่ยส่ายหัว คิดว่าหยางเฉินไม่มีทางสังเกตเห็นพวกนาง“หรือเขาคิดได้ระหว่างทางจริงๆ เลยยอมรับข้อเสนอของข้าแล้วย้อนกลับมาบอกข้า?” องค์หญิงผิงหยางคาดเดา“ข้อเสนออะไรหรือเพคะ?” สาวใช้อวิ๋นจือถาม“ข้าคิดขจัดความสงสัยของเขา จึงบอกไปว่าจะแต่งงานกับเขา แล้วช่วยให้ตำแ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 97

    “เป็นไปไม่ได้ หากฮ่องเต้กล้าปลดท่าน ข้าก็จะให้จักรวรรดิตงเซิ่งเริ่มทำสงคราม หรือฮ่องเต้จะไม่กลัวราษฎรต้องทุกข์ร้อนหรือ?” องค์หญิงผิงหยางเต็มไปด้วยความอหังการหยางเฉินขมวดคิ้ว กล่าวหน้ามุ่ยว่า “องค์หญิง ท่านก็อย่างได้จ้องจะจับข้าอีกเลย ไม่งั้น ท่านไปทำร้ายเสด็จพี่ใหญ่ หรือเสด็จพี่รองแทนเถอะ?”“หยางเฉิน…เจ้ามัน…” องค์หญิงผิงหยางรู้สึกว่าโมโหจนแม้แต่ปอดก็จะระเบิดแล้ว“องค์หญิง ขอลาก่อนล่ะ!” หยางเฉินกลัวจนต้องรีบเผ่นองค์หญิงผิงหยางมองเงาหลังที่จากไปของเขา ความโมโหบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นรอยยิ้มเยาะหยันที่แสนเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกแทน……หลังหยางเฉินขึ้นรถม้าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางพระราชวัง เตรียมกลับไปที่ตำหนักรัชทายาททว่า หลังจากรถม้าแล่นออกไปได้ไม่ไกล หัวใจของหยางเฉินที่นั่งอยู่ในรถม้าก็สั่นสะท้านขึ้นมา เขารีบเปิดใช้วิชาสดับฟ้าแผ่ขยายออกไปทันที“หยุดรถ!” หยางเฉินออกคำสั่งเสียงดังยอดฝีมือที่สำนักตรวจการส่งมาคุ้มครองเขามีราวยี่สิบคน แต่ฝีมือของคนพวกนี้กลับมิได้สูงมากนัก“องค์รัชทายาท เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้รถม้าแล้วกระซิบถาม“พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นว่า

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 96

    ซยงหนูเคลื่อนลงใต้มารุกรานที่ราบภาคกลาง นี่เป็นภัยคุกคามที่มีมานานของจักรวรรดิส่วนการรุกรานในครั้งนี้ของพวกซยงหนู จะเป็นการร่วมมือกับจักรวรรดิตงเซิ่งหรือไม่ หรือจะเป็นเพราะซยงหนูเห็นจักรวรรดิตงเซิ่งปิดล้อมป้อมปราการเกอเอ่อเติง อยากฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ จับปลาในน้ำขุ่น จึงเคลื่อนทัพลงใต้ก็ยากที่จะบอกได้อันที่จริงแล้ว ในสายตาของหยางเฉิน ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นตัวกลับมาได้สามส่วนแล้ว ขอเพียงฟื้นฟูกลับมาได้ห้าส่วน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าเขาก็ไม่กลัว สามารถนำทัพออกศึกได้แล้วตามการขยายขอบเขตของ ‘วิชาสดับฟ้า’ ตอนนี้เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะยี่สิบเมตรแล้ว หากเขาฝึกฝนต่อไป ระยะหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันเมตรก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาขอเพียงมีวิชาลับนี้อยู่ เขาก็จะไม่มีทางตกสู่หลุมพรางของศัตรูอีกเมื่อเผชิญกับท่าทีบีบคั้นผู้คนขององค์หญิงผิงหยาง หยางเฉินก็มิได้ใส่ใจเลย เขากลับหลุดหัวเราะออกมาราวได้ยินเรื่องตลกว่า “องค์หญิง ท่านคิดว่าคำข่มขู่เล็กๆ นี้ของท่าน จะทำให้พวกเรายอมแพ้ได้หรือ?”“ความหมายขององค์รัชทายาทคือ จะรอจนพวกเราตีป้อมปรา

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 95

    การเจรจาสันติภาพของนางกับองค์ชายทั้งสองในวันนี้ ไม่อาจเรียกว่าการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่ามีแมลงวันสองตัวกำลังส่งเสียงหึ่งหึ่งอยู่ข้างหูนาง และทุกครั้งที่พูดถึงประเด็นสำคัญ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมคุยที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือ องค์ชายใหญ่จะเชิญนางไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ ส่วนองค์ชายรองก็จะเชิญนางไปร่วมชมจันทร์ทันทีที่นึกถึงองค์ชายทั้งสองผู้ใช้ร่างกายท่อนร่างแทนสมอง องค์หญิงผิงหยางก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า เมื่อนางแสร้งส่งสัญญาณเป็นนัยว่าตนสนใจหยางเฉิน ก็สามารถปลุกเพลิงโทสะในตัวองค์ชายทั้งสองขึ้นมาได้สำเร็จหากกระตุ้นพวกเขาต่อไป ไม่แน่อาจทำให้พวกเขากำจัดหยางเฉินทิ้งก็ได้นับแต่โบราณมา ‘อุบายหญิงงาม’ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร้อยครั้งสัมฤทธิ์ผลร้อยครา องค์หญิงผิงหยางใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ องค์ชายทั้งสองย่อมติดกับเป็นธรรมดาในความเป็นจริงแล้ว เพื่อต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายทั้งสองก็มีความคิดจะสังหารหยางเฉินมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งคนไปลอบโจมตีเรือนรับรองทิงเฟิงครั้งนี้ องค์หญิงผิงหยางแค่กระตุ้นพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็พลันเกิดจิตสังหารต่อหยางเฉินแล้ว

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status