LOGINนางเป็นสตรีร้ายกาจ หน้าตาดุดัน นิสัยไม่เหมือนใคร ส่วนเขาเป็นถึงโอรสแห่งมังกร ทั้งสูงส่งงามสง่า เป็นที่หมายปองของเหล่าสตรี จีนโบราณโรแมนติกย้อนยุคแอบรักครอบครัว
View Moreคำนำ
หงเหม่ยหลง สตรีร้ายกาจ หน้าตาดุดัน นิสัยไม่เหมือนใคร
นางร้ายวัยสะพรั่งที่บังเอิญถูกใจกับหนุ่มรูปงาม
บุรุษอะไรช่างมีเสน่ห์เกินห้ามใจ...
****
องค์ชายหลี่ซ่งหมิน
บุตรชายคนสำคัญขององค์จักรพรรดิทั้งยังคงเป็นองค์รัชทายาทของแคว้น โอรสสวรรค์ผู้มีรูปร่างสง่างามเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีเขา...ผู้ซึ่งไม่เคยสนใจสตรีนางใด
นอกจากนาง
นางช่างแตกต่างจากสตรีอื่น...
***
เมื่อโชคชะตานำพาให้ชายหนุ่มหญิงสาว
ได้มาพบเจอกัน
เกิดถูกชะตาถูกใจกัน
ความโรแมนติกจึงบังเกิด...
****
****
อารัมภบท
หลี่ซ่งหมิน รู้สึกได้ถึงการตามมาของใครคนหนึ่ง เขาจึงหันหน้าไป ทันใดนั้นลำคอของเขาก็เจอเข้ากับมีดสั้นเล่มหนึ่ง
“ท่าน...เป็นคนที่ข้าตามหาหรือ” เจ้าของประโยคนั้นเป็นหงเหม่ยหลงนั่นเอง นางกำลังจ้องมองหลี่ซ่งหมินอย่างเอาเรื่อง
หลี่ซ่งหมินชะงักงันกับสตรีตรงหน้าก่อนเรียกเสียงเบา
“หลงเอ๋อร์...”
ทั้งสองเพียงยืนจ้องหน้ากันนิ่งงัน มิได้เอ่ยคำใดออกมา...
รอบด้านพลันเงียบกริบ คล้ายกาลเวลาหยุดเคลื่อนขับ ทุกสรรพสิ่งหยุดเคลื่อนไหว
หลี่ซ่งหมินรู้สึกหายใจไม่ออก ลมหายใจคล้ายติดขัด เขารู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก
หลงเอ๋อร์ของเขา
ทำไม...
“ท่านอย่าหวัง” เสียงของหงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน
“ว่าจะหนีไปจากข้าได้อีก”
ประโยคนั้นทำเอาหลี่ซ่งหมินต้องกระพริบตาปริบๆ
“เจ้า” หลี่ซ่งหมินยังไม่เชื่อหูตนเองจึงเอ่ย “ว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกว่า ท่านไม่มีสิทธิ์หนีข้าไปไหนได้อีก”
ประโยคหนึ่งเหมือนธารน้ำใส หล่อเลี้ยงหัวใจที่แห้งเหี่ยวมาแรมปีของหลี่ซ่งหมิน
สตรีตรงหน้าเขา มักทำอะไรให้หัวใจของเขารู้สึกแบบนี้ได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าเมื่อไหร่
ไม่ว่านานเพียงใด
“หลงเอ๋อร์” หลี่ซ่งหมินเรียกชื่อของหงเหม่ยหลงขณะก้มมองนางพลางยิ้มอบอุ่น มิได้สนใจมีดที่จ่อคออยู่แม้แต่น้อย
“ท่านยิ้มอะไร ข้ามิได้ล้อท่านเล่น” หงเหม่ยหลงยังคงเอ่ยเสียงเครียด
“ต่อไป ข้าจะไม่ให้ใครเข้าใกล้ท่านอีก ข้าจะฆ่าทิ้งให้หมด” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาดื้อรั้น
จนหลี่ซ่งหมินนึกขัน
“ข้ารู้ เจ้าเป็นนางมารน้อยของข้า หลงเอ๋อร์” เขากล่าวพลางยกมือขึ้นบิดแก้มนวลนั้นอย่างนึกเอ็นดู
นางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
แล้วเขาจะเปลี่ยนได้อย่างไร....
บุคคลผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่แผ่รังสีอำมหิตผิดมนุษย์นั่งตระหง่านอยู่บนหลังอาชาตัวเขื่อง“ท่านตา!” น้ำเสียงดีอกดีใจพลันดังขึ้นจากเด็กน้อยหลี่หงจินหยาง ทำให้ทุกผู้คนรู้ชัดแจ้งในทันทีว่าบุคคลเหนือขบวนผู้มาใหม่เป็นใครโดยไม่ต้องอธิบายแนะนำตัวใดๆเพียงอึดใจกลุ่มขบวนผู้มาใหม่ก็โถมเข้าใส่กลุ่มสมุนผู้ทรยศในทันทีเหล่าทหารแม้ยังตะลึงตะลานกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังมีสติมากพอจึงรีบถอยร่นออกมาอย่างรู้งานเสียงฟาดฟันพลันดังสนั่นระห่ำดุเดือดมากกว่าเดิมกลุ่มคนของเมืองหลวงจึงวิ่งออกมาอีกระยะหนึ่งเพื่อขยายอาณาเขตให้กลุ่มผู้มาใหม่กระโจนเข้าใส่กลุ่มทรยศได้โดยง่ายมากยิ่งขึ้นยามนี้... เป็นภาพการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มอิทธิพลมืดผู้มาใหม่กับกลุ่มอิทธิพลมืดผู้ทรยศทั้งสองขุมกำลังขนาดใหญ่กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด สูสี โดยมีกลุ่มพลทหารยืนมองดูกันอย่างลุ้นระทึกซักพักผ่านไปเมื่อมีกำลังผู้มาใหม่เข้ามาจัดการกับกลุ่มทรยศได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกลุ่มคนของหลี่ซ่งหมินจึงได้เบาใจขึ้นมาหลายส่วน“พวกเรา มาคุยกันทางนี้ดีกว่า” เฟิงเหวินเรียกรวมกลุ่มสหายให้ไปนั่งรวมกันอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเฟิงเหวินได้รับรู้เรื่องราวขอ
ซุนตี้ที่อยู่เหนือรูปขบวน แสยะยิ้มเย็นยะเยือกเขาชนะแน่นอน อย่างไม่ต้องสงสัย... หลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงต่างปกป้องกันและกันขณะต่อสู้ พวกเขาจะตายไม่ได้ยังมีลูกน้อยหลี่หงจินหยางรอพวกเขาอยู่การต่อสู้จึงยังคงดำเนินต่อไปต่อไปและต่อไป...แม้เรี่ยวแรงจะเริ่มอ่อนล้าเต็มที...“ข้ามาแล้ว!” เสียงบุรุษผู้หนึ่งพลันเอ่ยขึ้นขณะเข้าร่วมขบวนเข้าฟาดฟันไปที่ฝ่ายผู้ทรยศ“เฟิงเหวิน ข้าคิดถึงท่าน” เสียงเจินเจินเอ่ยทักทายทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร“มันใช่เวลาหรือไม่” เสียงของเฟิงเหวินเอ่ยตอบ“ไม่คิดว่าจะได้ห้ำหั่นกับพวกพ้องเดียวกัน” เสียงของอิ้งเจิ้นเอ่ยขึ้นเนิบๆ ขณะพาร่างกำยำของตนเข้าปะทะกับบุรุษร่างกำยำของฝ่ายตรงข้าม บุคคลผู้มาใหม่ที่เข้าร่วมต่อสู้เคียงข้างหลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงนั้น แม้ทั้งสองจะยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่สองชายหญิงกลับมั่นใจอยู่หลายส่วน ว่ามิใช่ศัตรู“พวกท่าน ตามข้ามา” หลิวฉวนหยู่ร์ตะโกนก้องอยู่ไม่ไกลพลางส่งสัญญาณมือให้ตามตนไปทั้งหมดของฝ่ายหลี่ซ่งหมินและหงเหม่ยหลงจึงตามไปอย่างไม่ลังเลขบวนของฝ่ายซุนตี้ จี้ตามติดอย่างไม่ลดละครู่ใหญ่ต่อมากลุ่มคนทั้งหมดทั้งฝ่ายถูกล่าและฝ่
ไม่นานต่อมา เหล่าสมุนของสำนักหมื่นโลกันต์ทั้งหลายที่ถูกซุนตี้ครอบงำจนสำเร็จก็มารวมตัวกันภายใต้การประกาศกร้าวของซุนตี้ “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าต้องการผู้นำที่เชื่อถือได้ ใช่หรือไม่” ซุนตี้ตะโกนคำราม “ต้องการให้สำนักยังคงยิ่งใหญ่ต่อไป ใช่หรือไม่” เสียงซุนตี้ดังก้องต่อเนื่อง“ประมุขหงซือกวนทอดทิ้งพวกเจ้า ธิดาและบุตรเขยของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม พวกเจ้ายังต้องการอยู่หรือไม่” ซุนตี้ยังคงประกาศก้องดังกังวานเหล่าบรรดาสมุนรูปร่างใหญ่ยักษ์ส่งเสียงคำรามดังกระหึ่มเกรียงไกรเขาเฝ้ารอมานานอีกไม่นานหรอกเขาจะเข้ายึดสำนักแห่งนี้ยึดตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ของที่นี่อีกไม่นานไม่นานฮึฮึฮึ! ซุนตี้แสยะยิ้มพลางคิดในใจท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวใกล้ตายโดยรอบมีแต่ความแห้งแล้งไม่มีแม้ดอกของต้นหญ้าโผล่ขึ้นมาให้ได้สีสันแต่อย่างใด ณ ที่แห่งนี้กำลังปรากฎร่างของบุรุษผู้หนึ่งกับสตรีนางหนึ่ง กำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น ประหนึ่งว่าอยู่ท่ามกลางสวนสวยของมวลบุปผานานาพรรณบนแดนสรวงสวรรค์อยู่ก็ไม่ปาน“ท่านนึกสิ่งใดได้บ้างหรือไม่” หงเหม่ยหลงถามขึ้นไปทางหลี่ซ่งหมินในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่ง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”เสียงแหลมสูงของเมิ่งลู่ตวาดใส่หน้าของมนุษย์เงาอี้หลง “นางยังไม่ตาย และอยู่กับท่านประมุขหลี่ซ่งหมิน” หญิงสาวพลันชะงักงันด้วยเพราะเริ่มรู้สึกตัวว่าเสียงของตนเองเริ่มที่จะดังจนเกินไปยามนี้นางแอบอยู่ตรงมุมเล็กมุมหนึ่งของสำนักเพื่อรอรับข่าวสารจากอี้หลง นางจึงปรับเสียงให้เบาลง“เจ้าบอกว่านางตายแล้ว มิใช่รึ”“ข้าโกหก” มนุษย์เงาอี้หลงยอมรับเนือยๆ“ทำไม” นางกระซิบถามเสียงเครียด“ข้าชมชอบนาง” อี้หลงตอบรับ“เจ้าบ้า” เมิ่งลู่ด่าทอก่อนเอ่ยเสียงขรึม“เราคงได้ตายกันหมดเป็นแน่ครานี้” เมิ่งลู่กล่าวพลางทำท่าครุ่นคิดเวลาผ่านไปซักพักหญิงสาวจึงเอ่ยออกมาในที่สุด“ไม่ได้การ ข้าต้องทำอะไรซักอย่าง ไม่อย่างนั้นเราสองคนไม่รอดแน่” นางเอ่ยแค่นั้นขณะทำท่าครุ่นคิดอย่างต่อเนื่องอยู่ตรงมุมเล็กมืดทึบแห่งนั้น...ห้องๆ หนึ่งภายในสำนักหมื่นโลกันต์“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เสียงตวาดลั่นของซุนตี้ทำเอาเจินเจินที่กำลังเดินสวยอยู่ตรงมุมหนึ่งของสำนักหมื่นโลกันต์ถึงกับสะดุดกึก ก่อนจะย่องเข้ามาอีกนิดเพื่อแอบฟังช่วยไม่ได้ มันเป็นนิสัยของนาง! เจินเจินคิดในใจ“เหม่ยหลงความจำเลอะเลือนเช่นนั้นหรือ” ซุนตี้ยังคงย้ำเส