Share

บทที่ 6

Penulis: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
หากต้องการช่วงชิงอำนาจใต้หล้า ในอดีตหยางเฉินเคยคิดว่าขอเพียงตนเองแข็งแกร่งพอ องค์ชายองค์อื่น ๆ ก็ไม่นับว่าเป็นที่น่ากังวลแต่อย่างใด

ทว่า ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนไร้ค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เขายังไม่ได้เริ่มฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ ดังนั้น ในช่วงเวลานี้เกรงว่าคงต้องใช้กลอุบายเพื่อถ่วงเวลาองค์ชายองค์อื่น ๆ ไปก่อน

การที่เขาโยนปัญหานี้ไปให้ซ่างกวนหลิน ก็เป็นการหยั่งเชิงเขาเช่นกัน เพราะซ่างกวนหลินในตอนนี้ ย่อมต้องมีแผนการในใจที่มากกว่า

เป็นไปตามคาด เมื่อซ่างกวนหลินได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มอย่างเฉยเมยแล้วเอ่ยขึ้น “ความโปรดปรานที่ฝ่าบาททรงมีต่อองค์รัชทายาทนั้น เป็นสิ่งที่องค์ชายองค์อื่นมิอาจเทียบได้ กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ”

หยางเฉินมองดูคำพูดบ่ายเบี่ยงของซ่างกวนหลิน ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ขณะที่ในใจกำลังทอดถอนใจกับความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจผู้คน กลับรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอย่างบอกไม่ถูก

ตอนนี้เขาสูญสิ้นวรยุทธ์ และยังเป็นคนพิการ ก็เป็นการดีที่จะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าในราชสำนักนี้ ผู้ใดกันแน่ที่เต็มใจจะติดตามตนเองอย่างแท้จริง?

ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนที่แน่วแน่ที่สุดของเขาอย่างแน่นอน หากเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ย่อมต้องเป็นคนแรกที่ทรยศต่อเขา

“ท่านอัครมหาเสนาบดี เสด็จพ่อทรงเชื่อใจท่านที่สุด ท่านต้องช่วยทูลสิ่งดี ๆ เกี่ยวกับข้าให้มากหน่อยนะ!” หยางเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“องค์รัชทายาททรงล้อเล่นแล้ว หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” ซ่างกวนหลินเตรียมจะจากไปในจังหวะที่เหมาะสม

หยางเฉินโบกมือ มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป สายตาเพิ่มความเย็นชาและจิตสังหารขึ้นอีกหลายส่วน

...

ภายในห้องของจวนองค์รัชทายาท

เมื่อคืน หยางเฉินได้เปิดเซวี่ยหลิงหลงโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้รับการสืบทอดมรดกของบรรพชนตระกูลหยาง

หลังจากกลับมาถึงห้อง หยางเฉินก็ค่อย ๆ ซึมซับเคล็ดวิชาและวิชาลับที่บรรพชนสืบทอดลงมา ในใจก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

แน่นอนว่า แผนการในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการเร่งด่วนที่สุดก็คือการฟื้นฟูพลังของตนเอง ดังนั้น จึงเตรียมที่จะเริ่มฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’

ในร่างกายมนุษย์นั้น มีเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น และก็ยังมีชีพจรซ่อนเร้นอีกสิบสองเส้น เมื่อใดที่ชีพจรซ่อนเร้นถูกเปิดใช้งาน ไม่เพียงแต่จะสามารถฟื้นฟูพลังได้ ยังสามารถซ่อมแซมเส้นลมปราณที่เสียหายได้อีกด้วย

ทว่า เคล็ดวิชานี้มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือผู้ฝึกจะต้องมีเส้นลมปราณขาดสะบั้นไปจนหมดสิ้น หรือไม่ก็เป็นคนที่ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน จึงจะสามารถฝึกฝนได้

ตอนนี้หยางเฉินมีเส้นลมปราณขาดสะบั้นทั้งหมด จึงสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้พอดี ทุกสิ่งในความมืดมนนี้ ราวกับเป็นลิขิตสวรรค์

‘เพลงทวนอหังการผลาญชีวา’ ที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลหยาง มีทั้งหมดสิบสองกระบวนท่า มีเพียงสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ ทว่า หลังจากที่หยางเฉินได้รับมรดกสืบทอดแล้ว ก็พบว่าเพลงทวนชุดนี้กลับมีถึงสิบสามกระบวนท่า

พูดอีกอย่างก็คือ เพลงทวนที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ปัจจุบัน ได้ขาดกระบวนท่าที่ร้ายกาจที่สุดไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว

แน่นอนว่า นอกจากเพลงทวนชุดนี้แล้ว ยังมีเคล็ดวิชาและวิชาลับอีกมากมายที่บรรพชนได้รับมา หลังจากที่ปราบปรามใต้หล้าจนสงบแล้ว ซึ่งก็ถูกบรรพชนซ่อนไว้ในเซวี่ยหลิงหลงเช่นกัน เพื่อทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลานรุ่นหลัง

ก่อนหน้านี้หยางเฉินฝึกฝนเพลงทวนที่สืบทอดกันมาในราชวงศ์ ซึ่งแข็งกร้าวดุดัน ทรงพลังอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับการสังหารศัตรูในสนามรบ

ทว่า หลังจากได้รับการสืบทอดมรดกแล้ว หยางเฉินกลับสนใจวิชากระบี่บิน ‘วิชากระบี่สวรรค์โกลาหล’ ที่บรรพชนทิ้งเอาไว้มากกว่า หลังจากฝึกฝนวิชากระบี่นี้แล้ว จะสามารถใช้วิชา ‘เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่’ และ ‘กระบี่สวรรค์’ ได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทะลวงประตูสวรรค์ ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนได้

ส่วนวิชาลับอื่น ๆ นั้น มีวิชาแพทย์ ‘คัมภีร์สวรรค์หวงจี๋’ ไม่เพียงแต่จะสามารถใช้พลังชี่แท้ในการรักษาโรคช่วยชีวิตคนได้ ยังสามารถช่วยคนทะลวงเส้นลมปราณเริ่นและตู ทำให้ยอดฝีมือขั้นเก้าจำนวนมากสามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับปรมาจารย์ได้

ยังมี ‘วิชาพลังศักดิ์สิทธิ์ไร้รูป’ ที่น่าสะพรึงกลัวอีกอย่างหนึ่ง หลังจากฝึกฝนแล้ว จะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เปลี่ยนโฉมหน้าของคนได้ นับเป็นสุดยอดวิชาลับสำหรับการหลบหนีเอาชีวิตรอดโดยแท้

หยางเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มต้นฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ เป็นอันดับแรก โดยหลักคือการกระตุ้นชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรก ซึ่งชีพจรเส้นนี้ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งสะดือ หรือก็คือตำแหน่งตันเถียนที่ใช้เก็บกักพลังชี่แท้

แม้ว่าเส้นลมปราณของหยางเฉินจะขาดสะบั้นไปหมดสิ้น พลังชี่แท้ไม่อาจโคจรได้ ทว่า พลังชี่แท้ที่หยางเฉินได้บำเพ็ญมานานหลายปี ยังคงอยู่ในตันเถียนของร่างกาย เพียงแต่ไม่สามารถโคจรได้อย่างราบรื่นเท่านั้น

หยางเฉินนั่งขัดสมาธิ ชักนำพลังชี่แท้จากตันเถียนให้ค่อย ๆ ไหลเข้าสู่ชีพจรซ่อนเร้น เริ่มทะลวงผ่านแต่ละด่านไปตามเส้นทางการโคจรพลังที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชา

ชีพจรซ่อนเร้นนั้นซ่อนอยู่อย่างลี้ลับ ไม่ได้กว้างขวางและรวมศูนย์เหมือนเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น ทว่า ชีพจรซ่อนเร้นมีข้อดีคือมีเส้นแขนงมากกว่า ทำให้มีเส้นทางในการโคจรพลังชี่แท้ที่มากกว่า

หากเปรียบเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นเป็นทางด่วน เช่นนั้นแล้วชีพจรซ่อนเร้นก็คือถนนท้องถิ่น ถนนอำเภอ ถนนมณฑลที่ตัดกันไปมา ถึงแม้จะใช้โคจรพลังชี่แท้ได้เช่นกัน แต่การจะไปถึงจุดหมายปลายทางก็ย่อมใช้เวลามากกว่า

นี่ก็คือจุดที่ทำให้การฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาชีพจรซ่อนเร้นสวรรค์’ ยากกว่าเคล็ดวิชาอื่น ๆ ทว่า เมื่อใดที่เส้นทางแขนงเหล่านี้ถูกทะลวงจนหมดแล้ว ความเร็วในการโคจรพลังชี่แท้จะเร็วกว่าและรุนแรงกว่าเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นเสียอีก

เมื่อหยางเฉินเข้าใจหลักการในข้อนี้แล้ว เขาก็จมดิ่งลงไปในการฝึกฝนนี้ เพราะอย่างไรเสีย หากการฝึกฝนชีพจรซ่อนเร้นสำเร็จลุล่วงแล้ว ก็จะสามารถโคจรย้อนกลับ ซ่อมแซมเส้นลมปราณหลักสิบสองเส้นและเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นที่เสียหายได้

ถึงเวลานั้น ความเร็วในการโคจรพลังชี่แท้และปริมาณของพลังชี่แท้ของเขา จะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว หรืออาจจะถึงสามถึงสี่เท่าตัว

พลังชี่แท้ในตันเถียน ภายใต้การชักนำของหยางเฉิน ได้พุ่งเข้าสู่ชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรก ในไม่ช้าก็พบกับอุปสรรค และทุกครั้งที่พุ่งเข้าปะทะ ก็ทำให้หยางเฉินเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

อย่างไรเสีย การที่พลังชี่แท้พุ่งเข้าปะทะชีพจรซ่อนเร้น ก็เหมือนกับการเปิดถนนท้องถิ่นและถนนอำเภอ ไม่เพียงแต่จะต้องขยายความกว้างของชีพจรซ่อนเร้น ยังต้องกำจัดสิ่งกีดขวางตลอดเส้นทางอีกด้วย

จิตใจของหยางเฉินนั้นแข็งแกร่งเพียงใด อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่ร้อยปีจะมีสักคน หลังจากพยายามมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดก็สามารถทะลวงเส้นทางแขนงแรกของชีพจรซ่อนเร้นเส้นแรกได้สำเร็จ

...

เมื่อฟ้าสาง ฮ่องเต้อู่เต๋อได้ส่งคนมาแจ้ง ให้เขาไปเข้าร่วมประชุมเช้าที่ตำหนักเจิ้งหยางในวันนี้

หยางเฉินรู้ดีว่า ฮ่องเต้อู่เต๋อจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อกดดันตนเอง บีบบังคับให้ตนยอมสละตำแหน่งองค์รัชทายาท เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการจะใช้วิธีใดเท่านั้นเอง

หลังจากก่อตั้งจักรวรรดิเฉียนอู่แล้ว ก็ได้สร้างเมืองอู่ตี้อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา และย่อมต้องสร้างพระราชวังที่วิจิตรงดงามตระการตาขึ้นมาด้วย และตำหนักเจิ้งหยางก็คือตำหนักที่ใหญ่และหรูหราที่สุดของจักรวรรดิเฉียนอู่ และยังเป็นตำหนักที่ฮ่องเต้ใช้ประชุมเช้าเป็นประจำอีกด้วย

เมื่อแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงบนป้ายชื่อของตำหนักเจิ้งหยาง ทหารรักษาพระองค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิก็วิ่งมาจากช่องทางทั้งสองด้าน มาตั้งแถวที่ลานด้านหน้า เพื่อต้อนรับเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าประชุม

ผู้นำทางด้านซ้ายคือท่านอัครมหาเสนาบดีซ่างกวนหลิน ส่วนทางด้านขวาคือแม่ทัพใหญ่หนานกงอู๋ตี๋ ผู้ได้รับสมญานามว่า “เสาหลักแห่งจักรวรรดิ” มีพลังอันแข็งแกร่งถึงระดับขอบเขตปฐพีสำราญ ซึ่งพลังใกล้เคียงกับเขตแดนสวรรค์สำราญ

หลังจากขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าสู่ท้องพระโรงแล้ว องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายองค์อื่น ๆ ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เข้ามาในท้องพระโรงจากประตูข้างเช่นกัน ทุกคนต่างก็ยืนรอฮ่องเต้อย่างเงียบสงบ

ในขณะนั้นเอง ไป๋หานอีก็ได้เข็นรถเข็นเข้ามาในท้องพระโรงจากทางเดินด้านหลัง บนรถเข็นนั้นก็คือหยางเฉินนั่นเอง

“หยางเฉิน เจ้าคนไร้ค่า เจ้ามาทำอะไร?” องค์ชายรองหยางคุนเป็นคนแรกที่กระโดดออกมา เอ่ยถามเสียงดัง

หยางเฉินชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ราวกับมองคนปัญญาอ่อน แล้วเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน “องค์ชายรอง ท่านเรียกชื่อขององค์รัชทายาทตรง ๆ หรือว่าท่านลืมลำดับอาวุโสไปแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะลงโทษท่านหรือ?”

“องค์รัชทายาทหรือ? คนพิการที่สูญสิ้นวรยุทธ์เช่นเจ้า ยังคู่ควรที่จะเป็นองค์รัชทายาทต่อไปอีกหรือ?” องค์ชายรองแค่นเสียงอย่างดูถูก

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 83

    ฉึบ!เสิ่นหนานซิงโดนเข้าอีกหนึ่งกระบี่ ครั้งนี้เป็นบริเวณต้นขา เลือดพุ่งออกมาในทันที หากเป็นคนทั่วไปต้องสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแล้วเป็นแน่ทว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปต่อสู้กับเผิงหู่อีกครั้งกล่าวตามตรง เผิงหู่ก็ถูกวิธีการต่อสู้แลกชีวิตของเจ้าเด็กนี่ทำเอาตกใจจนมือเท้าติดขัดแล้ว ทันทีที่ไม่ทันระวังก็ถูกฟันเข้าดาบหนึ่งดาบนี้เมื่อตวัดลงไป ก็กรีดแผ่นหลังของเผิงหู่เป็นแผลยาวสายหนึ่ง โลหิตเนืองนองยิ่งกว่า“เสิ่นหนานซิง พวกเราแค่ประลองยุทธ์กัน เหตุใดเจ้าจึงเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนี้เล่า!” เผิงหู่ร้องตะโกนเสียงดัง“การประลองก็เหมือนการเข้าสู่สนามรบ แม้แต่พญาราชสีห์ยามสู้กับกระต่ายก็ยังต้องใช้สุดกำลัง หากข้าแม้แต่แลกชีวิตก็ยังไม่กล้า แล้วจะเข้าสู่สนามรบไปเอาชีวิตศัตรูได้อย่างไร?” เสิ่นหนานซิงตอบกลับอย่างเย็นชาก็เห็นเขาพุ่งเข้าหาเผิงหู่อีกครั้ง ดวงตาแดงก่ำดั่งโลหิตคู่นั้น ฉายไอสังหารที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทำเอาเผิงหู่หวาดหวั่นจนถอยหลังติดต่อกันเผิงหู่ที่พลังใจตกเป็นรอง สุดท้ายก็ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงเวทีประลอง ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 82

    เมื่อเสิ่นหนานซิงเห็นกระบอกเขี้ยวหมาป่าเพิ่มความเร็วขึ้น คล้ายกับคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วก็ไม่ปาน เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนด้ามยาวของกระบองเขี้ยวหมาป่า หยิบยืมกำลังกระโจนเข้าหาเฟิงปู้ผิงเคร้งเคร้งเคร้ง…เสียงอาวุธกระทบกันดังต่อเนื่องไม่หยุด ทำเอาคนทั้งหลายชมดูไม่ทันจนตาลายท่ามกลางการปะทะกันอย่างแข็งกร้าวนั่นเอง อาวุธหนักอย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าก็ถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกเสิ่นหนานซิงถีบลงจากเวทีประลองไปในเท้าเดียวป๊าบป๊าบป๊าบ…เสียงปรบมือดังกระหึ่มอย่างกึกก้องหยางจิ่นอวี๋เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นอย่างไร?”“เห็นว่าเขาอายุยังน้อย เป็นผู้มีพรสวรรค์ให้ส่งเสริมได้ก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ข้าต้องการ” หยางเฉินส่ายหัวอย่างไม่สนใจนัก“เหตุใดกันเล่า? ตอนนี้เขาอายุยังน้อย แค่สิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น โอกาสในการพัฒนาต่อยังมีอีกมาก ขอเพียงเจ้ามอบให้ทรัพยากรให้เขาเล็กน้อย จะฟูมฟักถึงระดับเก้าก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด” หยางจิ่นอวี๋กล่าวพร้อมรอยยิ้ม“เฟิงปู้ผิงประลองมาแล้วหลายสนาม สูญเสียกำลังภายในไปมาก หากเป็นยามปกติ เสิ่นหนานซิงย่อมไม่อ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 81

    เมื่อเฟิงปู้ผิงเห็นว่าดาบคู่ของอีกฝ่ายเป็นอาวุธเบา ก็ฟาดกระบองลงไปอย่างแรงทันที คิดจะกระแทกเขาให้ตกเวทีไปในกระบวนท่าเดียวทว่าเสิ่นหนานซิงคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างมาก เขากลิ้งตัวไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว ดาบคู่ฟันใส่ขาทั้งสองข้างของเฟิงปู้ผิงเฟิงปู้ผิงย่อมไม่ให้เขาได้สมหวัง เขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรั้งกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือกลับมาฝืนสกัดแนวโจมตีของดาบคู่น่าเสียดายที่ดาบคู่ของเสิ่นหนานซิงได้พุ่งมาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว พร้อมกับการโจมตีราวพายุฝนโหมกระหน่ำเคร้งเคร้งเคร้ง…ดาบคู่สลับฟันเข้ามาจนเฟิงปู้ผิงร่นถอยติดต่อกัน และเป็นเพราะดาบคู่จู่โจมช่วงล่าง ทำให้เฟิงปู้ผิงสูญเสียสมดุลไปอย่างสิ้นเชิง และต้องถอยร่นอย่างเร่งร้อนอยู่หลายครั้งเมื่อหยางเฉินเห็นการจู่โจมของเขา ก็อดเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมาไม่ได้ยาวขึ้นหนึ่งนิ้วก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งขั้น!กระบอกเขี้ยวหมาป่าจัดเป็นอาวุธหนัก ต้องใช้กระบวนท่ารุกถอยอย่างต่อเนื่องโจมตีอย่างลื่นไหล และทุกกระบวนท่าล้วนดุดันทรงพลังแต่ดาบคู่จัดอยู่ในประเภทอาวุธเบา และจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะประชิดจึงจะสำแดงพลังของดาบคู่ออกมาได้ ที่เสิ่นหนานซิงเข้าประชิ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 80

    การประลองยุทธ์บนเวทีประลองเช่นนี้ อันแรกต้องมีเจ้าแห่งเวทีประลอง คนที่มาทีหลังจะต้องท้าประลองกับเจ้าแห่งเวทีประลอง จนกว่าจะไม่มีคนขึ้นมาท้าประลองบนเวที ก็จะได้เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของค่ำคืนนี้โดยทั่วไปแล้ว ทุกสัปดาห์จะจัดการประลองเช่นนี้หนึ่งครั้ง ทันทีที่องค์หญิงใหญ่พอใจ ก็จะแนะนำให้เข้ารับตำแหน่งในกองทัพ หรือแนะนำให้แก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะได้เดินไปสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์ทันทีที่สาวใช้พูดจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เหาะขึ้นมาบนเวที กล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยอวี๋จื่อเชิงจากอำเภอหลินอู่ ยินดีเป็นเจ้าแห่งเวทีประลอง เพื่อรับการท้าประลองจากวีรบุรุษทุกท่าน”คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ในมือถือดาบขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญวิชาดาบ“ในเมื่อมีเจ้าแห่งเวทีประลอง ตอนนี้ขอเชิญวีรบุรุษทุกท่านขึ้นเวทีเพื่อท้าประลอง หากสุดท้ายสามารถเป็นเจ้าแห่งเวทีประลองคนสุดท้ายได้ ตามกฎ องค์หญิงใหญ่จะเสนอแนะบุคคลผู้นั้น” สาวใช้กล่าวเสียงดังเมื่อได้ยินว่าผู้ชนะจะได้รับการเสนอแนะจากองค์หญิงใหญ่ หนุ่มน้อยรูปร่างผอมโซคนหนึ่ง ถือหอกยาว ก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีทันที“ข้าน้อยเผิงจื้อหย่ง มาเพื่อท้าประลอง!” หนุ่มน้อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 79

    “เช่นนั้นเซวียกุ้ยเฟยส่งคนมาเป็นแม่สื่อให้แก่องค์ชายรอง เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง?” หยางจิ่นอวี๋ถามพร้อมอมยิ้ม“องค์หญิงใหญ่ ข้าไม่รู้จริง ๆ หรือ? แต่ว่า องค์ชายรองมีพระชายาตั้งนานแล้ว ท่านพ่อตงจะไม่ยอมให้แต่งเข้าไปเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ” ซ่างกวนซืออินพูดจบ แก้มก็เป็นสีแดงก่ำ เขินอายจนไม่กล้าสบตา“เอาล่ะ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น หากเจ้าแต่งงานกับองค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าก็จะเป็นท่านน้าของเจ้าอย่างชอบธรรมแล้ว” หยางจิ่นอวี๋หัวเราะอย่างมีเลศนัย“ได้ข่าวว่านับตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทกลับมาจากศึกเขาซือถัว ก็สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้น ทั้งขาข้างหนึ่งยังพิการอีกด้วย ท่านพ่อคงไม่มีทางให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นแน่” ซ่างกวนซืออินวิเคราะห์ได้อย่างสมเหตุสมผล“สูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดสิ้นก็ไม่เป็นอะไรนี่นา! ก็เหมือนกับเจ้า เจ้าก็ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกันมิใช่หรือ? แต่ บทกวี คำกลอน และบทประพันธ์ของเจ้า มีด้านใดที่ด้อยไปกว่าชายชาตรีบ้างเล่า?” หยางจิ่นอวี๋หยิบยกนางขึ้นมาเปรียบเทียบ“ข้าไม่เหมือนเขา ข้าเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากเขาอ่อนแอเกินไปละก็ ต่อไปจะปกครองบ้านเมืองอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ซ่างกวนซืออินไม่ค่อย

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 78

    ในฐานะที่เป็นน้องสาวของฮ่องเต้ องค์หญิงใหญ่มีทรัพยากรมากมายในมือ เพียงแต่นางอายุสามสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่คิดที่จะแต่งงานมาโดยตลอด ทำให้ผู้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของนางได้หยางเฉินไม่อยากจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของท่านน้า ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพราะต้องการมาคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังสนทนา ร่างงดงามร่างหนึ่งเดินย่างกรายเข้ามาที่ประตูใหญ่ของหอถงเหวิน ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มนับไม่ถ้วนทันทีหญิงงามคนหนึ่งในชุดสีเขียวบาง สวมผ้าคลุมหน้า แม้จะมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่ ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้น กลับส่องประกายใสกระจ่าง ดุจดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ารูปร่างอันน่าประทับใจ สมส่วน เรือนร่างที่ได้สัดส่วนทองคำ ผมยาวสลวยพอดีเอว ปอยผมหลายเส้นพลิ้วไหวตามการก้าวเดิน“แม่นางซ่างกวนมาแล้ว! แม่นางซ่างกวนมาแล้ว...” ภายในห้องโถงมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นเมื่อหยางเฉินได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย หันศีรษะมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม “ท่านน้า ท่านนี้คงจะไม่ใช่คุณหนูแห่งตระกูลอัครมหาเสนาบดีใช่หรือไม่?”“ถูกต้อง นางก็คือซ่างกวนซืออิน แล้วก็เป็นแขกประจำของหอถงเหวินของเรา อีก

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status