เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ทำไมหรือเพคะ" กู้จิ่นเอามือลูบผ่านเส้นผมของนางเบา ๆ "อาฮวน ความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับไท่ซ่างหวงนั้นแม้จะได้เปิดใจคุยกันแล้ว ทว่าแนวคิดของเราทั้งสองยังคงต่างกันอยู่มาก" "เขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจต่อกรสู้แมงป่องพิษได้ จึงปรารถนาให้ข้าหลบซ่อนตัว แต่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้" ดวงตาของกู้จิ่นแข็งดุจหินนิลเป็นประกายเย็นยะเยือก ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า "แมงป่องพิษสังหารเสด็จแม่ของข้า ตลอดหลายปีมานี้ทำให้ข้าตกเป็นเบี้ยหมากในมือ" "บัดนี้ข้าได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของแมงป่องพิษแล้ว จะให้ข้าหลบหนีอีก ข้าไม่มีทางทำได้" สำหรับเจียงซุ่ยฮวน ความคิดของกู้จิ่นและไท่ซ่างหวงล้วนมิได้ผิด เพียงแต่ยืนอยู่คนละมุมมองเท่านั้น นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "พระองค์ลองโน้มน้าวไท่ซ่างหวงอีกสักหน่อยมิดีหรือเพคะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อลูกกันหากร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะแมงป่องพิษได้เป็นแน่" กู้จิ่นหยุดเคลื่อนไหว แล้วโอบรอบเอวนางและถามว่า "อาฮวน เจ้ายังจำคำพูดที่ข้าเอ่ยค้างไว้ครั้งก่อนได้หรือไม่" มือของกู้จิ่นอุ่นและมั่นคง เมื่อจับที่เอวของนาง รอบเอวนางก็ราวกับมี
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต
วิธีการที่แมงป่องพิษทรมานกู้จิ่น ก็ราวกับแมวที่จับหนูได้ ไม่รีบกินทันที หากแต่ใช้เล็บหยอกล้อกับเหยื่ออยู่นานสองนาน ก่อนจะลงมือกินอย่างเลือดเย็นเมื่อคิดถึงช่วงเวลายาวนานที่กู้จิ่นต้องถูกทรมานจากแมงป่องพิษ หัวใจของเจียงซุ่ยฮวนก็แทบจะขาดเป็นริ้ว ๆ ด้วยความเจ็บปวด กู้จิ่นกอดนางไว้ แล้วกล่าวว่า "อาฮวน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า" "ข้าจะสังหารแมงป่องพิษด้วยมือข้าเอง แม้ข้าในฐานะองค์ชายเป่ยโม่จะทำไม่ได้ แต่ในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู ข้าย่อมทำได้แน่นอน" นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ "องค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู พระองค์ได้พบกับจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูแล้วหรือเพคะ" "ยังมิได้" กู้จิ่นส่ายหน้า "พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาข้า ทว่าข้ายังมิได้ตอบรับใด ๆ " เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนคำพูดลงไป แล้วตบหลังนางเบา ๆ ถามว่า "อาฮวน บัดนี้เจ้าวางใจแล้วหรือไม่" "วางใจแล้วเพคะ!" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกยินดียิ่ง หากมีแคว้นเหลียงตูเป็นที่พึ่ง กู้จิ่นย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่ นางโยกแขนของกู้จิ่นเบา ๆ "มีอีกสิ่งหนึ่ง พระองค์จะช่วยหม่อมฉันตามหาฉู่เฉินได้หรือไม่เพคะ" แม้นางจะรู้
เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกราวกับตนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ร่างกายเบาหวิวจนไม่มีแม้แต่แรงจะพยักหน้า ได้แต่ครางรับเบา ๆ ในลำคอ “อืม...” กู้จิ่นค่อย ๆ ห่มผ้าให้เจียงซุ่ยฮวน จากนั้นจึงลุกลงจากเตียง แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า รูปร่างของเขานั้นได้สัดส่วนยิ่งนัก ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสูงโปร่ง บนเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่กำลังพอดี ดูแข็งแกร่งแต่ไม่ล้นเกินจนเกะกะสายตา เจียงซุ่ยฮวนนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม มองเขาเงียบ ๆ ภายใต้แสงตะเกียงเมื่อคืน นางมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เมื่อแสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นางจึงมองเห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของกู้จิ่นได้อย่างถนัดตา นางยิ่งมอง ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว รีบกระชากผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้ด้วยความอับอาย ตอนอยู่ด้วยกันในยามค่ำคืน นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไป ก็อดรู้สึกกระดากอายไม่ได้ นาง...ช่างกล้าหาญนักที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หลังจากกู้จิ่นออกจากห้องไป เจียงซุ่ยฮวนก็ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยความอบอุ่นจนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับไปอีกครั้ง ขณะนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงลากถังน้ำและเสียงเทน้ำลงถังอาบน้ำอย่างเงียบเชียบ หญิงใช้ชื่
นางไม่รู้ว่ากู้จิ่นจะทำอะไร จึงกระพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยความสงสัย มืออีกข้างของกู้จิ่นค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าของนางเบา ๆ ดูเหมือนกำลังทายาบางอย่างลงไป ให้ความรู้สึกเย็นสบายยิ่ง เจียงซุ่ยฮวนใช้มือพยุงขอบถังน้ำ หลับตาพริ้มด้วยความสบาย “เย็นสบายจริง ๆ นี่คืออะไรหรือเพคะ” “นี่คือยาที่เซียนโอสถต้ม ชางอี้เพิ่งนำมาเมื่อครู่” กู้จิ่นตอบเสียงนุ่ม “เมื่อทายาทั่วหน้าของเจ้า ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์นี้ออกได้” กู้จิ่นทายาบนหน้านางอย่างพิถีพิถันและระมัดระวัง รอบ ๆ ถังน้ำมีฉากไม้กั้นไว้ ไอร้อนจึงไม่ระบายออก กลับรวมตัวเป็นหมอกขาวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อเจียงซุ่ยฮวนลืมตาอีกครั้ง รอบตัวก็เต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาว กู้จิ่นทรงสวมอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางไอน้ำพร่าเลือน แวบแรกดูคล้ายเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึงในความงาม นางจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา หลังทายาเสร็จ กู้จิ่นก็หยิบผ้าเพื่อเช็ดยาที่เหลือบนมือ แล้วกล่าวว่า “รออีกหนึ่งก้านธูป ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกได้” “เพคะ” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “อาฮวน เจ้าขำอะไรหรือ?” กู้จิ่นเอ่ยถาม เจ
เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดลงจากเตียงแล้วกวาดสายตาไปรอบห้อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้จิ่น เมื่อนางก้มลงมองข้างเตียง ก็พบว่าเสื้อผ้าของกู้จิ่นก็หายไปด้วยเช่นกัน ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย นางจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป ยามนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดไล้ไปทั่วลาน เรืองรองดั่งม่านทอง แม่นมกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยถังหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ส่วนเจ้าสี่จือก็เดินตามแม่นมไปติด ๆ มันดูสนใจเจ้าทารกในอ้อมแขนของแม่นมยิ่งนัก หางของมันชูสูงด้วยความตื่นเต้น เจียงซุ่ยฮวนเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ พบว่าขนที่ปลายหางของสี่จือนั้นดำไหม้เกรียม น่าจะเป็นรอยจากกองเพลิงเมื่อคราวก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของนางหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งว่ารังของสี่จืออยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉู่เฉิน และในฐานะที่มันเป็นหมาป่า สัญชาตญาณย่อมไวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ คืนที่เรือนของฉู่เฉินเกิดเพลิงไหม้ มันควรเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่รับรู้ได้สิ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงหอนของมันเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น หรือว่ามันอาจออกติดตามผู้วางเพลิง และผู้ที่ลักพาตัวหลี่ลี่ไป “พระชายา”เสียงของชางอี้ดังขึ้นม
“นางหญิงชั่ว! เม่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวเจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงลงมือสังหารนาง!” เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น มองชายหญิงแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความงุนงง นางเป็นแพทย์ระดับยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์แผนจีน แผนตะวันตก และวิชายุทธ์โบราณ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยฝีมือการรักษาอันล้ำเลิศ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตนเองมาอยู่ในที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปที่หน้าอก เจียงซุ่ยฮวนก้มมอง พบว่ามีกริชปักอยู่ที่อก โลหิตไหลรินไม่หยุด เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นดังขึ้น “ตอนแรกเจ้าแต่งงานกับข้าแทนเม่ยเอ๋อร์ ข้าก็ละเว้นชีวิตเจ้าแล้ว วันนี้เจ้ายังจะฆ่าเม่ยเอ๋อร์อีก ข้าจะยอมเจ้าได้อย่างไร!” ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง นางข้ามภพมาเป็นองค์หญิงผู้เป็นภรรยาเอกแห่งวังหนานหมิง ร่างเดิมคือธิดาแท้ ๆ ของจวนอ๋อง นางถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่แรกเกิด กว่าจวนอ๋องจะตามหาจนพบและได้แต่งงานกับองค์ชายฉู่เจวี๋ย ก็ระหกระเหินอยู่ภายนอกหลายปีน้องสาวที่องค์ชายกล่าวถึง คือธิดาตัวปลอมในจวน แม้ไม่ใช่บุตรีแท้ ๆ แต่ท่านอ๋องและฮูหยินเสียดายนาง จึงรับไว้เป็นบุตรีบุญธ
“นี่ข้ากำลังฝันไปกระมัง?” เจียงซุ่ยฮวน ยื่นมือไปแตะคีมห้ามเลือดด้วยความเลื่อนลอย สัมผัสอันเย็นเฉียบทำให้นางสะท้านไปทั้งกาย มิใช่ความฝัน เป็นเรื่องจริง! ห้องทดลองของนางได้ย้อนเวลามาพร้อมกับนางด้วย นางมิอาจเสียเวลาดีใจ รีบคว้ายาห้ามเลือดและยาชา พร้อมเครื่องมือบางอย่างออกมา แล้วเริ่มเย็บแผลของตนเองนี่เป็นครั้งแรกที่เจียงซุ่ยฮวนต้องเย็บแผลด้วยตนเอง แม้จะยากลำบากอยู่บ้าง แต่ด้วยวิชาแพทย์อันล้ำเลิศ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามนางก็เย็บแผลเสร็จสิ้น นางทรุดกายพิงต้นไม้ด้วยความอ่อนล้า หยิบขวดยาบำรุงโลหิตออกมาจากห้องทดลอง กลืนลงไปสามเม็ด ยาบำรุงโลหิตนี้ปรุงขึ้นจากสมุนไพรล้ำค่ามากมาย หนึ่งขวดมีเพียงห้าเม็ด นางไม่เคยกล้าใช้มาก่อน ไม่คิดว่าครานี้จะต้องกินถึงสามเม็ดรวดเดียว นางมองสองเม็ดที่เหลือในขวด ครุ่นคิดว่าต้องหาโอกาสปรุงเพิ่มในภายภาคหน้า ส่วนรอยแผลบนใบหน้า รอให้ตกสะเก็ดแล้วทายาลบรอยแผลเป็น คงไม่มีอะไรน่ากังวล ยามรุ่งสาง ขณะที่ฤทธิ์ยาชายังไม่หมด เจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นโดยอาศัยลำต้นไม้ ตั้งใจจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ทันใดนั้น กระเพาะของนางปั่นป่วนรุนแรง
เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดลงจากเตียงแล้วกวาดสายตาไปรอบห้อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้จิ่น เมื่อนางก้มลงมองข้างเตียง ก็พบว่าเสื้อผ้าของกู้จิ่นก็หายไปด้วยเช่นกัน ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย นางจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป ยามนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดไล้ไปทั่วลาน เรืองรองดั่งม่านทอง แม่นมกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยถังหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ส่วนเจ้าสี่จือก็เดินตามแม่นมไปติด ๆ มันดูสนใจเจ้าทารกในอ้อมแขนของแม่นมยิ่งนัก หางของมันชูสูงด้วยความตื่นเต้น เจียงซุ่ยฮวนเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ พบว่าขนที่ปลายหางของสี่จือนั้นดำไหม้เกรียม น่าจะเป็นรอยจากกองเพลิงเมื่อคราวก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของนางหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งว่ารังของสี่จืออยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉู่เฉิน และในฐานะที่มันเป็นหมาป่า สัญชาตญาณย่อมไวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ คืนที่เรือนของฉู่เฉินเกิดเพลิงไหม้ มันควรเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่รับรู้ได้สิ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงหอนของมันเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น หรือว่ามันอาจออกติดตามผู้วางเพลิง และผู้ที่ลักพาตัวหลี่ลี่ไป “พระชายา”เสียงของชางอี้ดังขึ้นม
นางไม่รู้ว่ากู้จิ่นจะทำอะไร จึงกระพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยความสงสัย มืออีกข้างของกู้จิ่นค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าของนางเบา ๆ ดูเหมือนกำลังทายาบางอย่างลงไป ให้ความรู้สึกเย็นสบายยิ่ง เจียงซุ่ยฮวนใช้มือพยุงขอบถังน้ำ หลับตาพริ้มด้วยความสบาย “เย็นสบายจริง ๆ นี่คืออะไรหรือเพคะ” “นี่คือยาที่เซียนโอสถต้ม ชางอี้เพิ่งนำมาเมื่อครู่” กู้จิ่นตอบเสียงนุ่ม “เมื่อทายาทั่วหน้าของเจ้า ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์นี้ออกได้” กู้จิ่นทายาบนหน้านางอย่างพิถีพิถันและระมัดระวัง รอบ ๆ ถังน้ำมีฉากไม้กั้นไว้ ไอร้อนจึงไม่ระบายออก กลับรวมตัวเป็นหมอกขาวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อเจียงซุ่ยฮวนลืมตาอีกครั้ง รอบตัวก็เต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาว กู้จิ่นทรงสวมอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางไอน้ำพร่าเลือน แวบแรกดูคล้ายเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึงในความงาม นางจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา หลังทายาเสร็จ กู้จิ่นก็หยิบผ้าเพื่อเช็ดยาที่เหลือบนมือ แล้วกล่าวว่า “รออีกหนึ่งก้านธูป ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกได้” “เพคะ” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “อาฮวน เจ้าขำอะไรหรือ?” กู้จิ่นเอ่ยถาม เจ
เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกราวกับตนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ร่างกายเบาหวิวจนไม่มีแม้แต่แรงจะพยักหน้า ได้แต่ครางรับเบา ๆ ในลำคอ “อืม...” กู้จิ่นค่อย ๆ ห่มผ้าให้เจียงซุ่ยฮวน จากนั้นจึงลุกลงจากเตียง แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า รูปร่างของเขานั้นได้สัดส่วนยิ่งนัก ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสูงโปร่ง บนเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่กำลังพอดี ดูแข็งแกร่งแต่ไม่ล้นเกินจนเกะกะสายตา เจียงซุ่ยฮวนนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม มองเขาเงียบ ๆ ภายใต้แสงตะเกียงเมื่อคืน นางมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เมื่อแสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นางจึงมองเห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของกู้จิ่นได้อย่างถนัดตา นางยิ่งมอง ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว รีบกระชากผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้ด้วยความอับอาย ตอนอยู่ด้วยกันในยามค่ำคืน นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไป ก็อดรู้สึกกระดากอายไม่ได้ นาง...ช่างกล้าหาญนักที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หลังจากกู้จิ่นออกจากห้องไป เจียงซุ่ยฮวนก็ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยความอบอุ่นจนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับไปอีกครั้ง ขณะนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงลากถังน้ำและเสียงเทน้ำลงถังอาบน้ำอย่างเงียบเชียบ หญิงใช้ชื่
วิธีการที่แมงป่องพิษทรมานกู้จิ่น ก็ราวกับแมวที่จับหนูได้ ไม่รีบกินทันที หากแต่ใช้เล็บหยอกล้อกับเหยื่ออยู่นานสองนาน ก่อนจะลงมือกินอย่างเลือดเย็นเมื่อคิดถึงช่วงเวลายาวนานที่กู้จิ่นต้องถูกทรมานจากแมงป่องพิษ หัวใจของเจียงซุ่ยฮวนก็แทบจะขาดเป็นริ้ว ๆ ด้วยความเจ็บปวด กู้จิ่นกอดนางไว้ แล้วกล่าวว่า "อาฮวน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า" "ข้าจะสังหารแมงป่องพิษด้วยมือข้าเอง แม้ข้าในฐานะองค์ชายเป่ยโม่จะทำไม่ได้ แต่ในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู ข้าย่อมทำได้แน่นอน" นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ "องค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู พระองค์ได้พบกับจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูแล้วหรือเพคะ" "ยังมิได้" กู้จิ่นส่ายหน้า "พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาข้า ทว่าข้ายังมิได้ตอบรับใด ๆ " เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนคำพูดลงไป แล้วตบหลังนางเบา ๆ ถามว่า "อาฮวน บัดนี้เจ้าวางใจแล้วหรือไม่" "วางใจแล้วเพคะ!" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกยินดียิ่ง หากมีแคว้นเหลียงตูเป็นที่พึ่ง กู้จิ่นย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่ นางโยกแขนของกู้จิ่นเบา ๆ "มีอีกสิ่งหนึ่ง พระองค์จะช่วยหม่อมฉันตามหาฉู่เฉินได้หรือไม่เพคะ" แม้นางจะรู้
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต
เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ทำไมหรือเพคะ" กู้จิ่นเอามือลูบผ่านเส้นผมของนางเบา ๆ "อาฮวน ความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับไท่ซ่างหวงนั้นแม้จะได้เปิดใจคุยกันแล้ว ทว่าแนวคิดของเราทั้งสองยังคงต่างกันอยู่มาก" "เขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจต่อกรสู้แมงป่องพิษได้ จึงปรารถนาให้ข้าหลบซ่อนตัว แต่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้" ดวงตาของกู้จิ่นแข็งดุจหินนิลเป็นประกายเย็นยะเยือก ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า "แมงป่องพิษสังหารเสด็จแม่ของข้า ตลอดหลายปีมานี้ทำให้ข้าตกเป็นเบี้ยหมากในมือ" "บัดนี้ข้าได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของแมงป่องพิษแล้ว จะให้ข้าหลบหนีอีก ข้าไม่มีทางทำได้" สำหรับเจียงซุ่ยฮวน ความคิดของกู้จิ่นและไท่ซ่างหวงล้วนมิได้ผิด เพียงแต่ยืนอยู่คนละมุมมองเท่านั้น นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "พระองค์ลองโน้มน้าวไท่ซ่างหวงอีกสักหน่อยมิดีหรือเพคะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อลูกกันหากร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะแมงป่องพิษได้เป็นแน่" กู้จิ่นหยุดเคลื่อนไหว แล้วโอบรอบเอวนางและถามว่า "อาฮวน เจ้ายังจำคำพูดที่ข้าเอ่ยค้างไว้ครั้งก่อนได้หรือไม่" มือของกู้จิ่นอุ่นและมั่นคง เมื่อจับที่เอวของนาง รอบเอวนางก็ราวกับมี
"ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นไร ข้าก็ยังจำเจ้าได้" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ นางก็สัมผัสได้ถึงร่างของกู่จิ่นที่สั่นไหวเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของเขาเบา ๆ "มิต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัย มิได้เป็นอันตรายแม้แต่น้อย" "อืม" กู้จิ่นคลายมือ แล้วตรัสกับองครักษ์ลับในลานบ้านว่า "พวกเจ้าจงกลับไปยังตำแหน่งเดิม" เพียงชั่วพริบตา องครักษ์ลับทั้งปวงก็หายวับไป เหลือเพียงชางอี้ที่ยืนอยู่ ณ ที่เดิม กู้จิ่นจับมือเจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องนอนเจียงซุ่ยฮวนบีบมือเขาเบา ๆ แล้วกระซิบว่า "ท่านอ๋องเพคะ โปรดอภัยโทษให้ปู้กู่เถิด เขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยหลี่ลี่" กู้จิ่นทรงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสกับชางอี้ว่า "ไปปล่อยตัวปู้กู่มา" ชางอี้รับคำอย่างปลาบปลื้ม "พ่ะย่ะค่ะ!" "รอก่อน" กู้จิ่นเรียกชางอี้ไว้ แล้วตรัสต่อ "เขาใช้งานคนไม่เหมาะสม มิได้ปกป้องอาฮวนให้ดี แม้จะได้รับการปล่อยตัวจากคุกน้ำ ก็มิอาจพ้นโทษ" ชางอี้ทูลถาม "ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ" "ในเมื่อขาของเขาได้รับบาดเจ็บจนเคลื่อนไหวมิได้ ก็ให้เขาคัดลอกตำรากลยุทธ์หนึ่งพันรอบ" ชางอี้อดรู้สึกเสียใจมิได้ หากรู้แ
ได้ยินเงาร่างหนึ่งกล่าวว่า "แถวนี้เรือนบ้านมากมาย ซอกซอยวกวน เจ้าจงไปตามคนมาเพิ่ม ส่วนข้าจะลงไปตามหาก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก่อนฟ้าสาง เราต้องหาพระชายาให้พบ" "พ่ะย่ะค่ะ!" เจียงซุ่ยฮวนที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงตาโตด้วยความยินดี นั่นเป็นเสียงของชางอี้ พวกเขามาตามหานางแล้ว! นางรีบออกมาจากกำแพง โบกมือเรียกชางอี้บนหลังคา ชางอี้ก้มมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไปชั่วครู่ จึงนึกได้ว่าตนยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ ชางอี้ย่อมจำนางมิได้ นางจึงต้องตะโกนเสียงดัง "ชางอี้ ข้าอยู่นี่!" ชั่วอึดใจ ชางอี้กลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง มองนางด้วยความตกตะลึง "พระชายารึ!" "ใช่ ข้าเอง" นางพยักหน้าตอบ "เหตุใดพระชายาจึงเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้มองนางอย่างอึดอัด ก่อนเบือนหน้าหนี"..." เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยความสงสัย "โฉมหน้าข้าตอนนี้น่าเกลียดนักหรือ" ชางอี้ก้มหน้ามองปลายเท้า กล่าวอย่างฝืนใจว่า "มิได้น่าเกลียดพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีความงามอันแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด" "มีคันฉ่องหรือไม่" "มีพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้ล้วงคันฉ่องออกมามอบให้เจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนส่องดูโฉมตนในค
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ