“นี่กระเป๋าของคุณ” เธอบอกเป็นภาษาอังกฤษเขารีบรับมาเปิดดูด้านใน เห็นว่าของสำคัญยังคงอยู่ดีจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ขอบคุณมากนะครับ มันสำคัญกับผมมาก” เขาขอบคุณเธอเป็นภาษาอังกฤษกลับเช่นกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ มันคือสิ่งที่ฉันควรทำ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ว่าแต่คุณไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย”
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างที่เขาวิ่งตามเธอมาไม่ทันคนร้านทำอะไรกับเธอก่อนที่เขาจะมาถึงหรือไม่ จึงรีบถามหญิงสาวตรงหน้าในทันที
“ไม่ มันยังไม่ทันได้ทำอะไรฉัน แต่ถ้าคุณตามมาช้ากว่านี้ก็ไม่แน่”
“อย่างนั้นก็ดี งั้นพวกเราไปจากตรงนี้กันก่อนดีกว่า เผื่อว่ามันจะไปตามพวกแล้วหวนกลับมา”
“คุณไปก่อนเลยฉันเดินไม่ไหวแล้ว ฉันใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการวิ่ง ตอนฉันนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน”
“ถ้างั้นผมจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณจนกว่าคุณจะหายเหนื่อยแล้วเราไปจากที่นี่พร้อมกัน”
“คุณกลับไปก่อนเถอะฉันขอนั่งพักแป๊บเดียวเดี๋ยวก็จะตามไปแล้ว”
หญิงสาวตอบโดยไม่หันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เธอยังคงนั่งก้มหน้าปล่อยแขนและขาลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ด้วยความเหนื่อยจนไม่อยากจะเอาอะไรแล้ว หากเป็นไปได้เธออยากจะทิ้งตัวลงนอนมันซะตรงนี้ไปเลย จากคำตอบของเธอทำชายหนุ่มยิ้มเจื่อนเธออุตส่าห์ช่วยเขาไว้แล้วจะให้เขาทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงละครับคุณช่วยผมเอาไว้ จะให้ผมทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร ถ้าชายคนนั้นมันกลับมาคุณก็จะตกอยู่ในอันตรายนะสิ” เขาบอกพร้อมกับเดินไปหยิบรองเท้ามาสวมใส่ให้เธออย่างไม่รังเกียจ
ฉันจะตายเพราะนายเอาแต่ถามเซ้าซี้ฉันอยู่นี่แหละ ไม่เข้าใจหรือไงว่าคนมันเหนื่อย คนมันหมดแรงหายใจไม่ทันอะถามอยู่นั่น -
เธอบ่นเป็นภาษาไทยออกมาอย่างเหลืออดที่เขาเอาแต่ถามเธออยู่นั่น เธอเพียงอยากจะนั่งพักเพียงเท่านั้น
แม้แต่แรงที่จะพูดตอนนี้ยังแทบไม่มีเลยจะเอาแรงที่ไหนเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ -
เธอบ่นกับตัวเองต่อคิดว่าเขาคงฟังไม่เข้าใจก่อนจะบอกเขาต่อเพื่อให้ชายตรงหน้าสบายใจ
“คุณไม่ได้ทิ้งฉัน เป็นฉันเองที่อยากอยู่ตรงนี้เอง คุณไปเถอะฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ ”
เธอบอกเพื่อปัดความรำคาญ น้ำเสียงและท่าทางของเธอนั้นทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าเธอคงหมดแรงจริง ๆ เมื่อเธอบอกเขาเรียบร้อยก็บ่นกับตัวเองเป็นภาษาไทยต่ออีก
- ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วดันอยากจะมาเป็นคนดีอีกแพรเอ่ยแพร ฉันจะต้องนอนตายอยู่ตรงนี้แหละไม่ไหวแล้ว –
ชายหนุ่มได้ยินที่เธอบ่นออกมาก็อมยิ้มที่มุมปากเล็ก ๆ นี่ขนาดเหนื่อยขนาดนี้ยังจะไม่ยอมให้เขาอยู่เป็นเพื่อน กลับเลือกที่จะไม่พึ่งพาเขา เขามองคนตัวเล็กที่นั่งทิ้งตัวอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่พื้นอย่างพินิจ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเธอแล้วจึงหันหลังให้
“มาครับขึ้นหลังผม ผมจะพาคุณไปส่งที่ป้ายรถเอง"
เขาบอกเธอเป็นภาษาไทย เท่านั้นแหละหญิงสาวถึงกับตาโต รีบเงยหน้ามองเขาทันที วินาทีนั้นทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน ดวงตาโตกลมสีน้ำตาลเข้มจมูกโด่งได้รูปรับกับปากบางรูปกระจับ ใบหน้าที่ไร้การปรุงแต่งจากเครื่องสำอางที่ไม่ค่อยพบเห็นในผู้หญิงยุคสมัยนี้ ผมสีดำยาวของเธอนั้นถูกจับมัดรวบแบบหลวม ๆ ไว้ตอนนี้ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการวิ่งท้าลมหนาวมาทำให้มีปอยผมบางส่วนหลุดลงมาปกปิดใบหน้าสวยนั้นไว้ อย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวตรงหน้าเธอดูอ่อนกว่าเขามากเธอมีความสวยหวานอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณ…นี่คุณ .เป็นคนไทยเหรอ”
“ครับผมเป็นคนไทย”
“ถ้างั้นเมื่อกี้คุณก็....นี่ฉันบ่นกับตัวเองเสียงดังไปมั้ย”
เธอทั้งถามเขาพร้อมกับถามตัวเองไปด้วย ความใสซื่อของเธอทำให้เขาอดที่จะยิ้มกว้างไปด้วยไม่ได้
“ไม่ดังครับ”
“เห้อ!..ค่อยยังชั่ว” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโชคดีที่เธอบ่นไม่ดังแต่ดีใจยังไม่เท่าไหร่ชายหนุ่มก็เอ่ยต่อ
“แต่ผมได้ยินชัดทุกคำ” เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธออย่างตั้งใจแทนคำตอบ
ตอนนั้นแหละที่เธอได้เห็นใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรกเช่นกัน หน้าตาของเขาเหมือนพระเอกซีรีส์จีนหรือเกาหลีเสียมากกว่าเป็นคนไทยเสียอีก ทั้งสีผิวที่ขาวอย่างกับหยวกกล้วยบวกกับความหล่อคมเข้มไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ดวงตา จมูก ปาก ยังกะเขาหลุดออกมาจากนิตยสาร แล้วจะไม่ให้เธอเข้าใจผิดได้อย่างไรว่าเขาต้องเป็นคนต่างชาติ เธอคิด
“คุณก็น่าจะช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่ได้หรือไงคะ ไม่เห็นจะต้องบอกความจริงออกมาจนหมด” เธอบ่นเสียงเบา
เขาเห็นอาการยิ้มเจื่อนๆ ของหญิงสาวจึงได้แต่อมยิ้มไม่อยากแซวเธอต่อ อย่างไรเธอก็เป็นคนที่ช่วยเหลือเขาไว้ในวันนี้
“มาเถอะครับ”
“อะไรคะ”
“ขึ้นขี่หลังผมไง ผมจะพาคุณออกไปจากตรงนี้เอง”
“ไม่เอาอะ คุณไปเถอะฉันนั่งพักแป๊บเดียวเดี๋ยวค่อยออกไป”
“อย่าดื้อซิครับ ผมมีธุระสำคัญที่ต้องรีบไปจัดการ ตรงนี้เปลี่ยวเกินไปที่จะให้ผมทิ้งคุณไว้ ถ้าคุณไม่ไปผมก็ไม่ไป แล้วหากผมไปทำธุระไม่ทันนี่ก็ถือเป็นความผิดของคุณนะ”
ให้ตายสิดูเขาพูดเข้าเธออุตส่าห์มาช่วยยังจะมาให้เธอเป็นคนผิดอีก มันน่ามาช่วยมั้ยเนี่ย เมื่อเขาพูดจบหญิงสาวก็มองไปรอบ ๆ มันเปลี่ยวอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เธอจึงยอมที่จะทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี
“ก็ได้ค่ะแต่ฉันไม่มีแรง ลุกไม่ไหวจริง ๆ ฉันใช้แรงทั้งหมดไปกับการวิ่งเอากระเป๋าคืนมาให้คุณแล้ว”
หญิงสาวย้ำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงใบหน้าของเธอตอนนี้ราวกับลูกแมวตกน้ำ พูดแล้วหญิงสาวก็ทิ้งแขนและขาทั้งสองข้างลงกับพื้นอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงขยับตัวแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงถือวิสาสะจับแขนทั้งข้างของเธอขึ้นมากอดรอบคอเขาเอาไว้ พร้อมกับดึงร่างคนตัวเล็กที่นั่งกองอยู่กับพื้นให้ขึ้นไปบนหลังของเขา
หลายวันต่อมาด้านนคินทร์“คุณดินครับเรื่องที่ให้ไปสืบมา มีเกลือเป็นหนอนจริง ๆ ครับ” กิตติเลขาคนสนิทรายงานข้อมูลที่ตนสืบได้“รู้ตัวมั้ยว่าเป็นใคร”“ทราบตัวแล้วครับ ชื่อกานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เธอมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับไอ้เกรียงชัยมาหลายปีแล้วและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน เธอน่าจะเป็นคนกลางในการสร้างเอกสารโยกย้ายเงินให้ไอ้เกรียงชัย แต่เราต้องหาหลักฐานเพิ่ม จะได้มัดตัวจนทั้งสองดิ้นไม่หลุดครับ”“ดี ฉันจะส่งพวกมันเข้าคุกพร้อมกัน”“แล้วจะให้ทำยังไงต่อครับ”“ทำตามแผนเดิม ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อย่าเพิ่งให้พวกมันรู้ตัว”“ครับ”หลังจากวันนั้นรสรินทร์ยังเดินทางมาหานคินทร์ทุกวันอย่างไม่ลดละ หวังจะให้ชายหนุ่มใจอ่อน แต่ไม่เป็นผลนคินทร์เอาแต่หลบหน้า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคุยกับเธออีกแล้ววันนี้ก็เช่นกันชายหนุ่มตั้งใจหลบหน้าปล่อยให้รสรินทร์นั่งรอเก้อเหมือนเช่นทุกวัน และเป็นแพรไหมที่ต้องต้อนรับขับสู้ เพราะเป็นผู้ช่วยชั่วคราวของเขาจึงต้องเป็นคนรับหน้าแทนและเป็นที่รู้กันภายในบริษัทว่าเมื่อรสรินทร์มาออฟฟิศแห่งนี้ พวกเขาจะไม่สงบสุขทั้งวัน“นี่นังเด็กฝึกงานไปชงกาแฟมาให้ฉันแก้วหนึ่งสิ”“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
“อะไรทำให้คุณมั่นใจว่าผมจะยอมให้อภัยคุณ”“ก็เพราะคุณรักโรส คุณรักโรสมาก และโรสก็รักคุณไงคะดิน”“นั่นมันเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เราไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วเชิญคุณกลับไปได้แล้ว และคุณไม่ควรมาหาผมที่นี่อีก”“ทำไมละคะ โรสก็กลับมาแล้วไง ดินคะอย่าทำกับโรสแบบนี้สิคะ”“ปล่อยผม แล้วเชิญครับ”ก๊อก ก๊อก ก๊อก“ขออนุญาตคะ ทุกคนพร้อมที่ห้องประชุมแล้วค่ะ” ถึงจะเสียใจแต่ยังต้องทำหน้าที่ของตน“เสียมารยาทไม่เห็นหรือไงว่าคนเขาคุยกันอยู่ จะเข้ามาพูดแทรกทำไม”“หยุดนะโรส”เสียงเข้มดุตวาดต่อว่ารสรินทร์“แพรไปรอพี่ที่ห้องประชุมก่อนเดี๋ยวพี่ตามไป”“ค่ะ”“ดินคะ ทำไมต้องตวาดโรสต่อหน้านังเด็กนั่นด้วย แล้วทำไมต้องพูดเพราะกับมัน มันก็แค่พนักงานคนหนึ่ง แล้วที่ใส่ชุดนักศึกษาเนี่ยน่าจะแค่เด็กฝึกงานด้วยซ้ำ”“อย่าเรียกเธอว่ามัน เธอชื่อแพรถึงจะเป็นแค
เสียงนกร้องเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าสดใสแสงแดดอ่อน ๆ ก้อนเมฆเริ่มก่อตัวขึ้น การได้เข้าใจกันมันทำให้หัวใจของสองหนุ่มสาวสดชื่นและมีความสุขมากกว่าวันไหน ๆ แพรไหมตื่นมาในอ้อมกอดแสนอบอุ่น แผงอกแกร่งแน่นไปด้วยมัดกล้ามจากชายหนุ่มเบื้องหน้าเยียวยาหัวใจเธอในวันที่ชีวิตหมองหม่นให้กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวร่างเล็กค่อย ๆ ขยับลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง หมายจะออกไปก่อนที่ชายหนุ่มจะตื่นมาพบเธอในสภาพนี้แต่หารู้ไม่ว่าเขาได้ตื่นก่อนเธอมาสักพักแล้ว แต่ไม่กล้าขยับตัว กลัวทำหญิงสาวตื่นเช่นกัน ที่สำคัญพอใจที่จะนอนให้เธอกอดแบบนี้ ทันทีที่ร่างน้อยจะลุกขึ้นชายหนุ่มจึงส่งเสียงขึ้นทักทาย“อะไร จะทิ้งพี่ไปอีกครั้งเหรอ ครั้งนี้พี่ไม่ยอมแล้วนะบอกไว้ก่อน”“จะบ้าเหรอคะ ระหว่างเรามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อยพี่ดินก็รู้ แล้วนี่ตื่นแล้วทำไมถึงแกล้งหลับล่ะคะ”“พี่ไม่รู้ พี่รู้แต่ว่าต่อจากนี้แพรคือผู้หญิงของพี่ ผู้หญิงที่พี่จะรัก ที่แกล้งหลับเพราะอยากถูกกอดนาน ๆ”-ผู้หญิงของพี่ ผู้หญิงที่พี่จะรักอย่างนั้นหรือ นี่เขาจะทำให้เธออายไปถึงไหนกันเนี่ย-“ใครเป็นผู้หญิงของพี่กัน”“ก็แพรไง เ
ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายอย่างนคินทร์ จะมีมุมที่อ่อนโยนเช่นนี้ด้วย ปลายนิ้วที่สัมผัสนวด ลูบผ่านเรือนผม ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นผ่อนคลายมากขึ้น แพรไหมหลับตาพริ้มรับสัมผัสผ่อนคลาย จนลืมเวลา“เรียบร้อยแล้วครับ”“ขอบคุณค่ะ”“เป็นไงรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย”“อืม”“พร้อมมั้ย”“พร้อมอะไรคะ”“พี่ไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำ มันจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้มันเกิดขึ้นจากความตั้งใจ และพี่จะเป็นคนรับผิดชอบเอง ขอแค่เชื่อใจพี่ก็พอ แพรเชื่อใจพี่มั้ย”เขาบอกน้ำเสียงจริงจัง สายตามีเสน่ห์จ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมอ่อนเชื่อม ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มทุ้ม แหบพร่า ทำคนฟังหวั่นไหว หัวใจร้อนวูบวาบไปหมด เขาจะทำอะไรกันแน่ ราวต้องมนตร์สะกดเธอเพียงพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเชื่อใจเขา“งั้นพี่เริ่มแล้วนะ รอยนี้คือรอยอะไร”ถามไปลากปลายนิ้วชี้ไปที่รอยแดงคล้ำตรงข้อมือน้อย ลากไร้แผ่วเ
เช้าวันต่อมาแพรไหมตื่นขึ้นมาหลังจากหลับยาวไปหลายชั่วโมง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากได้ระบายด้วยการร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก แต่ก็ยังสั่นกลัวอยู่ และคนแรกที่เจอคือนคินทร์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกดีที่เห็นเขาเป็นคนแรก รู้สึกปลอดภัยเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆนคินทร์สังเกตว่าหญิงสาวตื่นและเอาแต่จ้องมองมายังตัวเองนานแล้ว แต่กลับไม่ได้พูดอะไรจึงเป็นฝ่ายทักทายขึ้นก่อน“ตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ปวดหัวมั้ย หิวหรือเปล่า”ใบหน้าสวยซีดเซียวเพียงพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรเพราะรู้สึกว่าคอแห้งเหลือเกิน“พยักหน้าแบบนี้ ปวดหัวหรือว่าหิว”“หิวน้ำค่ะ”เสียงเล็กแหบแห้งบอก ได้ยินเช่นนั้นก็หยิบแก้วน้ำข้างเตียงขึ้นมาป้อนให้คนป่วยทันที“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”“ดีค่ะ”“ดีอย่างนั้นเหรอ” นคินทร์ยิ้มหวานส่งให้“ขอบคุณนะคะ ที่ไปช่วยแพร”“ครับ หิวมั้ย” เธอส่ายหัวแทนคำตอบ“กี่โมงแล้วคะ”คนห่วงงานรีบถามเวลาเมื่อนึกเรื่องงานที่ตนทำค้างเอาไว้ขึ้น
“หนูแพร”เสียงเรียกแสนอบอุ่นคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหน้า ทั้งสงสารทั้งเป็นห่วงจับใจ ชายสูงวัยที่เปรียบเสมือนบิดาอีกคนเดินตรงมาหยุดยืนที่ข้างเตียง มือหนาแสนอบอุ่นลูบศีรษะน้อยเบา ๆ อย่างทะนุถนอม ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง“ไม่ต้องร้องไห้แล้วลูก อยู่ที่นี่ปลอดภัยแล้ว”“คุณลุง ฮื่อฮื่อ”ร่างน้อยโผเข้าสวมกอดชายสูงวัย ร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย หลากหลายความรู้สึกต้องอดทนเก็บเอาไว้คนเดียวในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นการปลดปล่อยมันออกมาพร้อมกันกับหยดน้ำตาในครั้งนี้“ไม่เป็นไรแล้วลูกหนูปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลอะไรทั้งนั้น ลุงจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายหนูได้อีกลุงสัญญา ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก”“ฮือ ฮือ” เสียงร้องไห้เริ่มเบาลงกลายเป็นเสียงสะอื้น แทน“หนูจะเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ไม่ได้นะลูก ต้องกินข้าวบ้าง ลุงรู้ว่าหนูเสียใจและหวาดกลัว แต่ลุงก็อดเป็นห่วงหนูไม่ได้เหมือนกัน”“แพรขอโทษ ที่ทำให้คุณลุงต้องเป็นห่วง”“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ใช่ความผิดของหนู ลุงให้พี่แจ๋วทำข้าวต้มกุ้งมาให้ ทานเป็นเพื่อนลุงหน่อยนะ”