ฉินซูกำชับ "แม่ทัพใหญ่ ท่านควรส่งคนกลับไปเสริมกำลังป้องกันเมืองเจียหยางก่อน หากอ๋องเซียงหยางบุกโต้กลับ เมืองเจียหยางก็คือแนวป้องกันสุดท้ายของเรา""ก่อนมา ข้าได้สั่งให้คนเสริมกำลังป้องกันเมืองไว้แล้ว เรื่องนี้บุตรแห่งนักปราชญ์วางใจได้เลย!""เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยม"ฉินซูพูดจบ ก็จ้องมองแผนที่ทรายตามิกะพริบ ความคิดในสมองแล่นอย่างรวดเร็วเห็นดังนั้น ลู่อวี้และมู่หรงอวิ๋นเจิงก็ฉลาดพอที่จะมิส่งเสียงรบกวน......แคว้นต้าเหยียนท้องพระโรงของพระราชวังเมืองหลงเฉิงเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินอู๋ต้าวก็รีบเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ฟังทันทีฉินอู๋ต้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "เจ้าว่ากระไรนะ? รัชทายาทกล้าสังหารบุตรชายอ๋องเซียงหยางแห่งแคว้นฉีเชียวหรือ?!"ขุนนางทั้งราชสำนักต่างก็ตกใจหน้าซีดเซียว และต่างมองไปที่ฉงชูโม่เป็นตาเดียว!แม้แต่เหลยเจิ้นยังมีสีหน้าประหลาดใจฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ "เพคะฝ่าบาท หยวนหัวคิดจะทำเรื่องต่ำช้ากับกู้เสวี่ยเจี้ยน หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปถึง ก็ได้สังหารเขาทันที"ได้ยินดังนั้น บรรดาขุนนางระดับสูงที่ต้องการตำหนิฉินซูเกิดความกระดากทันทีด้วยกู้เสวี่ยเจี้ยนเป็นศิษย์ของหัวหน้
ฉินซูพูดอย่างใจเย็น "แม่ทัพใหญ่เพียงแค่จัดทหารฝีมือดีสามพันนายกับพลธนูหนึ่งพันนายให้ข้าก็พอ!""ว่ากระไรนะ?!" ลู่อวี้ถามด้วยความตกตะลึง "ท่านคิดว่ากำลังพลเพียงสี่พันนายจะสามารถเผาคลังเสบียงของอ๋องเซียงหยางได้หรือ? เป็นไปได้อย่างไร!""ฉินซู ท่านดูแคลนอ๋องเซียงหยางเกินไปแล้วกระมัง คลังเสบียงเป็นสถานที่สำคัญ อย่างน้อยเขาก็ต้องจัดทหารฝีมือดีหลายหมื่นนายเฝ้ายาม ท่านมีทหารฝีมือดีเพียงสามพันนายกับพลธนูหนึ่งพันนาย จะทำการสำเร็จได้อย่างไร?"ฉินซูอธิบาย "ทหารฝีมือดีสามพันนายนั้นใช้เพื่อดึงดูดความสนใจของทหารเฝ้าคลังเสบียงเท่านั้น ส่วนวิธีการเผาคลังเสบียงของพวกเขา ข้ามีวิธีจัดการอยู่แล้ว"มู่หรงอวิ๋นเจิงขมวดคิ้ว "แต่แม้ว่าท่านจะมีวิธีจริง ๆ พวกเราก็ยังมิรู้ว่าคลังเสบียงของอ๋องเซียงหยางตั้งอยู่ที่ใด!""ใช่แล้ว บุตรแห่งนักปราชญ์ พวกเรายังมิรู้เลยว่าคลังเสบียงของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด สิ่งที่ท่านพูดเมื่อครู่มิเท่ากับพูดปากเปล่าหรอกหรือ?"ฉินซูมิพูดกระไร แต่หันไปมองซ่างกวนอวิ๋นซีอีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามว่า "ไยเจ้ามองข้าเช่นนั้น?""ซ่างกวน... แหะ ๆ ท่านเจ้าสำนัก ไหน ๆ ท่านก็มาแล้ว คงมินิ่งดูดา
ฉินซูยังมิทันตอบกลับ ก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากนอกกระโจม“เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทัพเป่ยเยี่ยนแท้ ๆ คิดหาอุบายป้องกันศัตรูมิออกเลยหรือ?”ครั้นสิ้นเสียง ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ก้าวเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยใบหน้าของลู่อวี้แดงสลับเขียว รู้สึกอับอายยิ่งนัก “ท่านเจ้าสำนัก ข้าน้อยละอายนัก ข้าน้อยคิดแผนการดี ๆ มิได้จริง ๆ จึงจำเป็นต้องขอคำชี้แนะจากบุตรแห่งนักปราชญ์ขอรับ”มู่หรงอวิ๋นเจิงที่อยู่ข้าง ๆ พูดอย่างลังเล “กองทัพทหารม้าหุ้มเกราะของอ๋องเซียงหยางมีไพร่พลนับล้าน ส่วนกำลังพลของเรามีเพียงสี่แสนกว่านาย หากปะทะกันตรง ๆ ย่อมมิอาจต้านทานได้ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าถึงสองเท่า แผนการที่ว่าเหล่านั้นจะใช้ได้ผลจริง ๆ หรือ?”“เฮ้อ! ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่ แผนการใดล้วนเป็นเพียงความพยายามที่ไร้ผล ช่างเถิด กระหม่อมจะออกคำสั่งให้เตรียมพร้อมรับศึกอย่างเต็มที่”ลู่อวี้สีหน้าเคร่งขรึม พูดจบก็คิดจะออกไปทันใดนั้น ฉินซูก็โพล่งขึ้นมาทันที “ข้าพอจะมีแผนอยู่แผนหนึ่ง หากสำเร็จ อาจจะถ่วงเวลาอ๋องเซียงหยางและกองทัพของเขาได้หนึ่งถึงสองเดือน”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนในกระโจมต่างตกตะลึง!
"มิน่ากระมังท่านอา? ท่านทำศึกมาหลายสิบปี ฉินซูผู้นั้นจะเทียบกับท่านได้อย่างไร?" มู่หรงอวิ๋นเจิงรู้สึกเหลือเชื่ออีกคราลู่อวี้หัวเราะขื่นขม "เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน บางคนเกิดมาเพื่อนำทัพทำศึก ฉินซูคือหนึ่งในนั้น ดังนั้น มิว่าอย่างไร ท่านก็ต้องดึงเขามาอยู่ข้างกายท่านให้ได้ มีเขาคอยช่วย สิ่งที่ท่านปรารถนาย่อมสำเร็จดังหวัง!"เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาของลู่อวี้ก็แน่วแน่ขึ้นมู่หรงอวิ๋นเจิงกะพริบตาปริบ ๆ แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่นวันรุ่งขึ้นเนื่องจากชัยชนะในศึกแรกทำให้ทหารเป่ยเยี่ยนที่เคยมีสีหน้าหมองเศร้ากลับมามีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอีกคราฉินซูมาถึงค่ายทัพหลวงอีกครั้ง พบว่าเวลานั้นลู่อวี้กำลังสอบปากคำเกาตงและไช่ซือลู่อวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง "เกาตง ไช่ซือ ตราบใดที่พวกเจ้าบอกจุดอ่อนของกองทัพอ๋องเซียงหยาง ข้าจะรับประกันชีวิตพวกเจ้า และอาจจะให้ตำแหน่งสูงและผลประโยชน์มากมายแก่พวกเจ้า ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตที่สุขสบายได้!""จุดอ่อน? ฮ่าฮ่า ทหารม้าหุ้มเกราะแคว้นฉีของเราไม่มีจุดอ่อนใด! จะฆ่าก็ฆ่าเสีย ข้าเกาตงยอมตายดีกว่าทรยศอ๋องเซียงหยาง!""ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าคอยดูเถอะ อี
ฉินซูยิ้มอย่างมีเลศนัย "ใช่แล้ว ข้าเอง คิดมิถึงใช่หรือไม่? กองทัพนับหมื่นของเจ้าถูกน้ำพัดหายไปเกือบหมดแล้ว!"เกาตงคำรามด้วยสีหน้าดุดัน "เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไปนัก รอให้กองทัพของท่านอ๋องของเรามาถึงเสียก่อนเถิด พวกเจ้าทุกคนต้องตาย!""วางใจเถอะ ในเมื่อตัวข้ากล้าบุกมาถึงแนวหน้า ย่อมมีวิธีจัดการกับเขา ส่วนพวกเจ้า ข้าจะไว้ชีวิตสุนัขพวกเจ้าไว้ก่อนชั่วคราวแล้วกัน!"เมื่อได้ยินฉินซูเรียกตนเองว่า 'ตัวข้า' เกาตงก็ถามด้วยความตกใจ "เจ้าคือองค์รัชทายาทแห่งเป่ยเยี่ยนรึ?""ข้าคือองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน!"ฉินซูพูดจบก็หันไปสั่งการเจี่ยเซิ่งและคนอื่น ๆ "มัดพวกมันกลับไปแล้วเฝ้าให้ดี หากปล่อยพวกมันหนีไปได้ ก็จงเตรียมคอพวกเจ้าให้ข้าบั่นได้เลย!"“น้อมรับบัญชา!”เกาตงและไช่ซือถึงกับงงงัน นี่เป็นเรื่องบาดหมางระหว่างอ๋องเซียงหยางกับเป่ยเยี่ยน ไฉนองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนถึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?พวกเขายังมิทันได้ซักถาม ก็ถูกปิดปากเสียก่อนราวครึ่งชั่วยามต่อมาฉินซูกลับมาถึงค่ายทัพหลวงของเป่ยเยี่ยนทันทีที่เข้ามา มู่หรงอวิ๋นเจิงก็เข้ามาต้อนรับ "ฉินซู เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง สามารถสกัดทัพหน้าของอ๋องเซีย
“เอ่อ? พวกเป่ยเยี่ยนหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า? ตามหลักแล้วพวกมันน่าจะซุ่มโจมตีอยู่แถวนี้มิใช่หรือ?”เกาตงขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจไช่ซือชี้ไปยังแสงไฟที่ค่อย ๆ ลับตาในระยะไกล แล้วกล่าว “ท่านแม่ทัพเกา ดูนั่นสิ พวกมันกำลังหนีไปแล้ว สงสัยลูกธนูคงหมดแล้วขอรับ!”“หึ! สังหารพี่น้องของพวกเราไปมากมาย ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกมันหนีกลับค่ายไปได้เด็ดขาด! เดินหน้าเต็มกำลัง! ตามข้ามา!”เกาตงพูดจบ ก็รีบนำหน้าออกไล่ล่า ไช่ซือและคนอื่น ๆ ตามมาติด ๆดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไล่ล่ากันภายใต้แสงจันทร์สลัวรางเกือบสองชั่วยาม จนมาถึงบริเวณแม่น้ำเจียหยางเมื่อเห็นลำน้ำแห้งขอด ฉินซูก็โบกมือแล้วตะโกน “รีบข้ามแม่น้ำ!”เมื่อทุกคนมาถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว ฉินซูก็มิได้พาทัพถอยต่อไป แต่หยุดลงห่างจากริมฝั่งแม่น้ำประมาณยี่สิบจั้งฉินซูมองทหารม้าหุ้มเกราะแคว้นฉีที่ไล่ตามอย่างมิลดละ มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชาเขายกมือขึ้นช้า ๆ เสียงยิงธนูหนาหูดังขึ้นจากเบื้องหลังเมื่อทหารม้าหุ้มเกราะแคว้นฉีเหล่านั้นกำลังจะขึ้นฝั่ง ฉินซูก็โบกมือแล้วตะโกนสั่งการ “ยิงธนู! สกัดพวกมันไว้!”ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูจำนวนมหาศาลพุ่งใส่เกาตงและคนอ