กระท่อมไม้นี้บางทีอาจจะเป็นของพวกนักล่าสัตว์แต่ก่อนเหลือทิ้งไว้ ใช้เป็นแค่ที่หลบฝนหลบหิมะค้างแรมเท่านั้นเหล่าองครักษ์ไปตัดไม้ จัดการปะซ่อมส่วนที่ทรุดโทรมของมัน เสริมความแข็งแรงไม้กระดานด้านใน ปูด้วยเสื้อนอกไว้ แล้วจึงแบกไป๋หู่ขึ้นไปชิงอีนำรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกเข้ามา เซียวหลันยวนพาฟู่จาวหนิงไปพักบนรถม้าวัดเก่าทางนั้นยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าร่างกายไป๋หู่ตอนนี้ทนการเร่งเดินทางไม่ได้ กระทั่งฟู่จาวหนิงเองก็ยังเหนื่อยจัดๆ เซียวหลันยวนต้องไม่อยากให้นางเหนื่อยอีกอยู่แล้วบนรถม้าเขา ฟู่จาวหนิงพิงหมอนอยู่ในอ้อมกอดเขา หลับลึกเซียวหลันยวนก้มหน้ามองนาง มองไปมองมาก็เหมือนเห็นว่าริมฝีปากนางมีสะเก็ดขาวอะไรอยู่เขายื่นนิ้วไปหนีบเบาๆ แต่มันเป็นเกล็ดเล็กๆ เหมือนทรายเท่านั้น ทว่าพริบตาตอนที่เขากำลังจะทิ้งไป จู่ๆ ก็เกิดความคิดประหลาดขึ้น นำมาลองดมดูนิ้วของเขาตอนที่จับเจ้าเศษชิ้นนี้ขึ้นมาก็สัมผัสโดนปากนางด้วยตอนนี้พอดม เขากลับได้กลิ่นหอมหวานเซียวหลันยวนงงงันพวกเขาก่อนหน้านี้ที่เร่งเดินทาง ไม่มีเวลาได้กินพวกของว่างอะไรเลยและเมื่อคืนก็ไม่มีเวลากินเดิมทีเขาก็เป็นห่วงฟ
ฟู่จาวหนิงนั่งลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงมือของนางสั่นระริกแต่ว่า พอมองเครื่องตรวจจับชีพจรแล้ว ในของนางในที่สุดก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสียทีนางช่วยชีวิตไป๋หู่ไว้ได้แล้วนางกระพริบตาปริบ คลายความเมื่อยล้าของดวงตา น้ำตาไหลออกมา นางไม่ได้ร้องไห้ แค่ใช้สายตามากเกินไป น้ำตาจึงไหลออกมาจากภาวะของร่างกายตอนนี้นางรู้สึกโชคดีมากที่ตนเองก่อนหน้านี้ให้ยารักษาชีวิตไป๋หู่เอาไว้ยิ่งไปกว่านั้นไป๋หู่ก็กินได้ทันพอดีถ้าหากไม่มียาคุ้นครองหัวใจนี่ไว้ ไป๋หู่คงทนมาไม่ถึงการช่วยเหลือครั้งนี้คนที่ทำร้ายเขาเดิมทีก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตเขาอยู่แล้ว อีกฝ่ายน่าจะมั่นใจว่ารักษาไม่ได้แน่นอนนางถอดถุงมือออก โยนทิ้งไปในเครื่องจัดการขยะอัตโนมัติ พยุงตัวลุกขึ้นยืน ออกไปล้างมือให้สะอาดก่อนพอล้างมือเสร็จนางจึงเพิ่งนึกออกม ตามหลักการแล้วนางตอนนี้ไม่ควรล้างมือแต่ก็ล้างไปแล้วนี่นะใช้พลังงานเยอะเกินไป ฟู่จาวหนิงจำใจต้องแีดยาบำรุงให้ตัวเองเข็มหนึ่ง จากนั้นก็กินขนมปังดื่มนมแต่ตอนนี้นางก็จำไว้ว่าต้องล้างปาก ไม่งั้นด้วยความเฉียบคมกับความละเอียดของเซียวหลันยวน ตอนที่นางพูดอาจจะได้กลิ่นนมกับขนมพังก็ได้ถ้าไม่กินอะไ
ไป๋หู่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่ยังจับชีพจรหัวใจได้ นางจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดการผ่าตัดนี้ ทำไปถึงสามชั่วยามฟ้าสว่างแล้วยามเช้าในป่าภูเขาปกคลุมไปด้วยหมอก ทำให้สีสันในป่ายิ่งครึ้มเย็นขึ้นไปอีก ดูแล้วน่ากลัวเหมือนมีผีอย่างไรอย่างนั้นคนทั้งหมดยังคงคุ้มกันอยู่ที่เดิมพวกเขาไม่คิดว่าผ่านไปแล้วคืนหนึ่ง ฟู่จาวหนิงทางนั้นยังไม่มีเสียงอะไรเลย เงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้นแต่ท่านอ๋องกับพระชายาไม่มีคำสั่ง พวกเขาใครก็ห้ามขยับทั้งสิ้นเสี่ยวเยว่กัดริมฝีปากที่แห้งผาก ข่มความบุ่มบ่ามจะเข้าไปไว้ มองไปทางเซียวหลันยวนที่ไม่ห่างออกไปนัก"ท่านอ๋อง คุณหนูไม่ได้ดื่มน้ำเลย"นางไม่ได้อยากเข้าไปดูอะไร แต่เป็นห่วงว่าฟู่จาวหนิงยังไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้พัก จะทนไม่ไหวเอานางคิดว่าตนเองช่วยอะไรไม่ได้เลย รู้สึกผิดมากถามเซียวหลันยวนไปเช่นนี้ เพราะอยากถามเขาว่า จะหาวิธีส่งน้ำไปให้คุณหนูหน่อยได้ไหมเซียวหลันยวนเองก็ยืนคุ้มกันอยู่ใต้ต้นไม้เหมือนพวกเขา ไม่ได้หลับตาลงเลยพอได้ยินคำนี้ของเสี่ยวเยว่ เขาก็ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง บอกว่า "นางยังไม่เรียก ก็ห้ามเข้าไป"อันที่จริง เซียวหลันยวนรู้สึกว่าใจของตนเอง
เสี่ยวเยว่พอได้ยินคำของสืออี ก็วิ่งตรงมาข้างกายไป๋หู่ทันที ยื่นสอบลมหายใจเขามือนางสั่นระริกขึ้นมา หันหน้ามองฟู่จาวหนิง เสียงมีแววสะอื้น "คุณหนู"นางกับไป๋หู่ล้วนมาจากตระกูลเสิ่นที่ต้าชื่อ จึงรู้สึกว่าสนิทกันอยู่พอควรตอนนี้พอเห็นบาดแผลบนตัวไป๋หู่ ใจของนางก็เหมือนถูกฉีกกระชากเสื้อผ้าบนตัวไป๋หู่ถูกกรีดออกหลายรอย ล้วนถูกเลือดย้อมจนแดงฉาน ดูเหมือนมนุษย์เลือดไปเลยจริงๆบาดแผลบนตัวเขา แต่ละแผลล้วนสยดสยองไม่ว่าจะลมหายใจ หรือว่าชีพจร ก็ล้วนไม่มีแล้วทุกคนก้มหน้าลงต่ำ กำหมัดแน่นไป๋หู่กับพวกเขาเป็นพี่น้องกันมานานขนาดนี้ พวกเขาล้วนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ตอนนี้ไป๋หู่โชกไปด้วยเลือด นอนไม่หายใจอยู่ตรงนี้ พวกเขาเจ็บปวดอย่างมากเซียวหลันยวนยืนอยู่ข้างๆ สายตาเย็นลงมาแล้วซือมิ่งอู๋เขายื่นมือไปกอดฟู่จาวหนิง แต่ฟู่จาวหนิงกลับรีบเดินไปข้างตัวไป๋หู่ คุกเข่าลงมา เข็มเงินในมือแทงเข้าไปที่ชีพจรหัวใจเขาอย่างรวดเร็ว"อายวน" มือของนางลงเข็มอย่างรวดเร็ว ร้องเรียกเซียวหลันยวนโดยไม่เงยหน้าขึ้น"เจ้าว่ามา"เซียวหลันยวนมองท่าทางนางแบบนี้ ในใจรู้สึกหนักอึ้งเศร้าโศก เขารู้สึกว่าฟู่จาวหนิงก็ไม่อาจ
นี่คือข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับตงฉิง ที่เซียวหลันยวนได้ยินมาต้นเซียน เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เคยเห็นบนหนังสือโบราณเกี่ยวกับตงฉิงนั่นเลยซือมิ่งอู๋พูดแบบนี้ อธิบายได้ว่าต่อให้ตงฉิงยังอยู่ ต้นเซียนนี้ก็ยังเป็นความลับแต่เขารู้ได้อย่างไรกัน?ไม่ว่าเขาจะรู้ได้อย่างไร เซียวหลันยวนก็ยังเกิดจิตสังหารกับเขาขึ้นมาแล้วตอนที่เขาคุกคามชีวิตของฟู่จาวหนิง ตอนที่เขาพูดถึงลูกของพวกเขาหลังจากนี้ซือมิ่งอู๋ ชีวิตก็ควรจะต้องทิ้งไว้ที่นี่"ถ้าเจ้ารับปาก..."ซือมิ่งอู๋ยังพูดไม่ทันจบ ร่างของเซียวหลันยวนก็รวดเร็วราวเงาไหล พุ่งเข้าโจมตีเขาพร้อมกับแรงลับที่น่ากลัวชั่วขณะหนึ่ง ต้นหญ็ารอบๆ ก็ถูกกดจนล้ม กิ่งไม้ล้วนโยกไหวขึ้นมา และมีต้นไม้เล็กๆ บางส่วนถูกพลังแรงรูปร่างกดดันจนเอนไปด้านหลังลืมกระพือขึ้นอย่างรุนแรงไร้เทียมทานเซียวหลันยวนพอโจมตี ก็ใช้กำลังภายในออกมาจนสุดกำลังแรงกดอากาศลดต่ำ ซือมิ่งอู๋กระทั่งรู้สึกหายใจไม่ออกแต่เขาก็สมกับเป็นคนที่เซียวหลันยวนมองเป็นคู่มือจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับมีปฏิกิริยาทันท่วงที อาวุธลับในมือยิงพุ่งไปทางเซียวหลันยวน ส่วนตัวเขากลับถอยออกไปอย่างรวดเร็วไม
ตอนนั้น เซียวหลันยวนสุขภาพยังค่อนข้างแย่ อายุก็ยังน้อย เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะไปสืบข่าวเรื่องนี้แต่ผ่านไปไม่กี่วันเจ้าอุทยานก็เกิดเรื่องขึ้นเซียวหลันยวนเคยคิด ว่าการตายของเจ้าอุทยานจะเกี่ยวข้องกับซือมิ่งอู๋หรือเปล่า?แต่ซือมิ่งอู๋อยู่ที่เมืองชายแดน เขาก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ตอนนี้พอเห็นซือมิ่งอู๋ ความสงสัยในตอนนั้นก็ทะลักเข้ามาในความคิดเซียวหลันยวนจู่ๆ ก็รู้สึกว่า เจ้าอุทยานเฉินน่าจะเพราะรู้เรื่องอะไรของซือมิ่งอู๋เข้าเลยถูกปิดปากในสมองเขาคิดเช่นนี้ แต่บนสีหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ ถามออกมาตรงๆ"เจ้าอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ"คำพูดนี้เขาใช้น้ำเสียงยืนยันน่าจะเพราะเขาใจเย็นและสุขุมเกินไป จนฟังไม่ออกว่าเป็นการหลอกลวง ซือมิ่งอู๋ทางนั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง หัวเราะยอมรับออกมา"ทำไมล่ะ อ๋องเจวี้ยนคิดจะล้างแค้นให้คนที่ตายไปนานขนาดนั้นหรือ? เขาเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลยนี่?"เขายอมรับแล้วดวงตาเซียวหลันยวนมีจิตสังหารทะลักขึ้นมา"ตอนนั้นเจ้าอยู่ที่เมืองชายแดน" เขาเอ่ยขึ้นมาอีก"สกุลเฉินนั่นขนาดเรื่องนี้ก็ยังบอกเจ้าเรอะ? ตอนนั้นเจ้ายังเป็นแค่เด็ก ข้าอยู
เสียงคนผุ้นี้เย็นชามากน้ำเสียงราบเรียบ แต่ฟังแล้วกลับทำให้ใจคนสั่นวาบทว่าเซียวหลันยวนยังสีหน้าไร้อารมณ์คนอื่นบางทีอาจจะไม่เห็น แต่เขาสามารถมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายได้คร่าวๆคิ้วบางมาก แต่โก่งสูง ดูเหมือนไม่มีคิ้วเบ้าตาลึกมาก ดังนั้นนสถานที่มืดแบบนี้จึงแทบจะไม่เห็นดวงตาของเขาจมูกเหยี่ยว คมคาย ริมฝีปากบาง ดูไร้ความปราณีใบหน้าแบบนี้ ตอนที่ปรากฏตัวใต้แสงสว่าง อาจทำให้คนหวาดกลัวได้ตรงๆเซียวหลันยวนไม่คุ้นใบหน้านี้เลย หน้าตามีเอกลักษณ์ขนาดนี้ ถ้าหากเขาเคยเจอมาก่อน เกรงว่าต่อให้แค่เหลือบเห็นในกลุ่มคนแบบไม่ตั้งใจ เขาจะต้องจำได้อย่างแน่นอนตอนนี้ไม่มีความคุ้นตาแม้แต่น้อย หรือก็คือไม่เคยเจอมาก่อนนั่นเอง"ลัทธิเทพทำลายล้างมีแต่พวกหนูสกปรกซ่อนหัวซ่อนหางจริงๆ"เซียวหลันยวนพูดชื่อลัทธิเทพทำลายล้างออกมาตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเสียงยังพูดแบบค่อนข้างยืนยันด้วย มีเพียงแบบนี้เท่านั้น จึงจะทำให้อีกฝ่ายเผยร่องรอยออกมา ให้เขายืนยันตัวตนฐานะอีกฝ่ายได้แล้วก็ตามคาด พอได้ยินน้ำเสียงยืนยันเช่นนี้ของเขา อีกฝ่ายก็ชะงักไปครู่หนึ่งแม้จะแค่เล็กน้อย แต่เซียวหลันยวนกลับรู้ว่าตนเองเดาถูกแล้วเป็นคนจาก
ถ้าเป็นคนอื่น การจะควบคุมลมฝ่ามือให้แม่นยำนั้นเป็นไปไม่ได้ ไหนจะช่วงความเป็นความตายแบบนี้?แต่เซียวหลันยวนกลับทำได้ลมฝ่ามือของเขากวาดออกไป ใช้ได้อย่างชำนาญ แล้วยังคำนวณมุมทิศทางได้แม่นยำด้วย ไป๋หู่ที่อยู่กลางอากาศถูกผลักจนร่างเบี่ยงหลบกระบี่ที่เฉือนเข้ามาได้พอดีขณะเดียวกัน เซียวหลันยวนทางนี้ก็หมุนตัว สลับเหยียบหลังเท้าตัวเอง ยืมแรงพุ่งขึ้นไปด้านบน กระบี่ในมือโบกสะบัด ปราณกระบี่ฟาดออกอย่างน่าสะพรึงเคร้งเสียงหนึ่งดังขึ้น เขาเฉือนกระบี่สามเล่มฝ่ายตรงข้ามจนขาดไปพร้อมกันตอนที่ร่างของเขาลอยลงมา เขาก็ข้ามตัวพวกเขาไป เท้าเหยียบไปบนหลังของหนึ่งในนั้น ร่างพุ่งทะยานไปทางไป๋หู่ ฟาดคนชุดดำคนหนึ่งลอยออกไปในพริบตาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวมาก แต่ไม่กี่ชั่วพริบตาเท่านั้นคนชุดดำพวกนั้นใจก็สั่นวาบกันหมดพวกเขาได้ยินว่าอ๋องเจวี้ยนวิชายุทธ์สูงส่ง แต่พวกเขาก็เป็นนักฆ่าระดับสูงในลัทธิแล้วนะ หกคนลงมือพร้อมกัน กลับสู้เขาคนเดียวไม่ได้?เซียวหลันยวนจับเสื้อของไป๋หู่ ดึงร่างเขาไปบนกิ่งไม้อีกครั้ง วางร่างเขาไว้บนกิ่งกิ่งหนึ่ง แล้วใช้เชือกมัดร่างกับลำต้นอย่างรวดเร็ซ ส่วนเขาก็พุ่งเข้าโจมตีคนชุดดำพวกนั้น
แม้ในป่าจะมืดไปทั้งผืน มีแค่แสงจันทร์ลอดผ่านร่องไม้เข้ามาแต่ในสิ่งแวดล้อมสำหรับคนทั่วไปมืดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแบบนี้ ในสายตาเซียวหลันยวน อย่างน้อยยังพอมองเห็นได้คร่าวๆเขาเดินทีละก้าวตรงไปยังต้นไม้ใหญ่นี่เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่สูงใหญ่ที่สุดในป่านี้ ห่างไปหน่อยเขายังเห็นไม่ชัดว่าบนกิ่งไม้คนแขวนห้อยอยู่ แต่สัมผัสได้ถึงลมหายใจรางๆ สายหนึ่งแต่ลมหายใจนั้นอ่อนแรงมากแล้ว แทบจะอยู่ในระดับที่มองข้ามไปได้เลยถ้าเป็นคนอื่น คงจะมองข้ามไปแล้วแน่ๆ แต่กำลังภายในเซียวหลันยวนลึกล้ำ และละเอียดถี่ถ้วนมาก ดังนั้นเขาจึงยังจับลมหายใจที่อ่อนแอนั้นได้เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เขาจึงมองเห็นเงาคนที่แขวนอยู่ด้านบนกลิ่นคาวเลือดรุ่นแรงขึ้นแล้วระดับนี้ ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเสียเลือดไปแค่ไหนดังนั้นยังไม่เห็นหน้าคนชัดเจน แต่เซียวหลันยวนก็ยืนยันได้อย่างประหลาด ว่านั่นคือไป๋หู่แน่เขากุมด้ามกระบี่ กระโจนร่างขึ้นไป เตรียมจะตัดเชือกที่ห้อยคนอยู่นั่นออกแต่ตอนนี้ เงายาวสายหนึ่งก็รวดเร็วราวสายอัสนี โจมตีมาที่คออย่างรุนแรง"รนหาที่ตาย"เซียวหลันยวนหมุนกระบี่ มุมนี้เฉือนเงายาวนั่นไม่ทัน แต่ปกติเขาก็ไม่ได้ใช้แค่