ตัดกลับไปที่ไป๋อี้เซิงเสียงหอบหายใจแรงๆ ของหลี่เจินหรงทำให้เขาต้องกดแผลแน่นกว่าเดิม เลือดไหลทะลักราวกับไม่หยุด “อินหลัว...” เสียงแหบพร่าแผ่วหลุดออกมาจากริมฝีปากของเจินหรง ดวงตาที่ปิดสนิทสั่นไหวราวกับยังฝืนจะมองหาจ้าวอินหลัวในฝันร้ายไป๋อี้เซิงเม้มปากแน่น “อดทนหน่อยท่านอ๋อง”เสี่ยวหม่าจ้องมองไปที่หมอหลวงที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ใบหน้าของหมอหลวงนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่เมื่อเขาหันมาเผชิญหน้ากับเสี่ยวหม่า บางสิ่งในดวงตาของเขาก็แสดงถึงความระมัดระวัง เสี่ยวหม่าก็รู้ดีว่าหมอหลวงคนนี้ไม่ใช่คนที่มีความภักดีแท้จริง ใจเขาย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ เขาไม่แปลกใจเลยที่หมอหลวงได้รับเงินเพื่อทำสิ่งต่างๆ สำหรับกงหานขณะที่ห้องเงียบลง เสียงของเสี่ยวหม่าแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ “ท่านหมอ ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่าน” เสี่ยวหม่าเลื่อนมือไปข้างหน้า หมอหลวงหยุดนิ่งทันที สายตาของเขามองไปที่อินหลัวที่ยังนอนนิ่งอยู่บนแท่นนอน ใบหน้าหมดสติของอินหลัวทำให้เขาไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้ชัดเจน แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร แค่ยืนฟังในความเงียบงันเสี่ยวหม่าเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา "ข้าจะไม
เสียงควบม้าแล่นฉับไวฝ่าเงามืดของราตรี ไป๋อี้เซิงที่สีหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อแลสายตามาเบื้องหน้า เขากลับชะงักแทบล้มลงจากหลังม้า ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจเขาแทบหยุดเต้นหลี่เจินหรงนอนแน่นิ่ง ร่างแกร่งชุ่มด้วยเลือดสด กระบี่ที่แทงเข้าชายโครงทำให้ผืนดินเปื้อนแดงราวกับถูกสาดทับด้วยสีโลหิต“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้น” ไป๋อี้เซิงร้องลั่นแม้จะถามไปแบบนั้นทว่ารู้แก่ใจดีว่าหลี่เจินหรงโดนลอบทำร้ายและหมายชีวิต รีบกระโดดลงจากหลังม้าอย่างไม่คิดชีวิต เขาคุกเข่าลงข้างกายร่างใหญ่ มือสั่นเล็กน้อยแต่ยังคงประคองศีรษะของเจินหรงขึ้น ล้วงหยิบยาจากอกเสื้อแล้วรีบหย่อนใส่ปากให้ทันที ก่อนใช้กระตุกถุงกระเพาะแพะที่มีน้ำดื่มรินเข้าไปในปากหลี่เจินหรงชะยาช่วยให้หลี่เจินหรงกลืนยาเข้าไป เสียงหายใจแผ่วเบาราวกับสายลมที่พร้อมดับลงทุกเมื่อทำให้ไป๋อี้เซิงกังวลไม่น้อยไป๋อี้เซิงกัดฟันแน่น ใช้แรงทั้งหมดลากร่างสูงขึ้นหลังม้า ก่อนกระโดดขึ้นควบม้าหันหัวกลับไปทางเดิมที่เพิ่งผ่านมาเมื่อกลับถึงที่นัดพบ เยว่หรงกับอวิ๋นเอ่อร์รีบวิ่งเข้ามา พวกนางยังคอยอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเยว่หรงเบิกกว้าง น้ำตารินเผาะทันทีที่เห็นสภาพของพี่ชายตนเ
ขณะที่เสี่ยวหม่าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หลี่เจินหรงที่นอนหมดสติลงกับพื้นเห็นแค่การดิ้นรนของอินหลัวที่ถูกพาตัวไปยังทิศทางที่ไม่ต้องการ เขาล้มลงไปในที่สุด ไม่มีเสียงคำพูดใดๆ หลี่เจินหรงเพียงแค่เห็นทุกอย่างก่อนที่สติจะหลุดลอยสูญเสียความรู้สึกและหมดสติไปในที่สุดการเดินทางที่เปรียบเสมือนการหนีจากเงื้อมมือของศัตรูกลายเป็นความพ่ายแพ้ให้กับกำลังคนคนของจ้าวจินเทากำลังจะพาตัวจ้าวอินหลัวกลับไปยังวังหลวงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อินหลัวล้มลงกับพื้นอีกครั้งหลังจากดิ้นรนพยายามหลุดจากการจับกุม ร่างกายของไร้บาดแผลแต่มีเลือดสดที่ไหลจากปาก เลือดจากร่างกายที่เชื่อมปราณกับหลี่เจินหรงยังคงไหลออกมา แม้ว่าจะพยายามฝืนมันไว้ก็ตาม แต่ความเจ็บปวดที่แผ่กระจายไปทั่วร่างก็ทำให้ไม่สามารถทนทานได้อีกในขณะที่เสี่ยวหม่าที่กำลังต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม กลับต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเลือก และเขาก็ได้ตัดสินใจแล้วเสียงกระบี่ที่เขาทิ้งลงบนพื้นทรายทำให้สายตาของทุกคนหันมามอง ในมือที่จับกระบี่อย่างมั่นคงกลับปล่อยมือไปแล้ว เสี่ยวหม่าคุกเข่าลงทันที มองไปยังผู้ที่กำลังควบคุมอินหลัวและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้ายอมแล้ว...
ขบวนเดินทางเคลื่อนออกจากวังหลวงในยามบ่าย ไป๋อี้เซิง เยว่หรงและอวิ๋นเอ่อร์ เดินอยู่ข้างหน้า แม้จะดูเหมือนว่าขบวนจะราบรื่นแต่ภายในทุกคนมีท่าทีกังวลเล็กน้อยแม้ไม่มีใครแสดงออกมา“ท่านหมอ เราจะไปอยู่รอพี่ใหญ่ตรงไหนดี”“ตามที่นัดแนะกัน สิบห้าลี้ห่างจากประตูวัง ไม่เกินยามจื่อท่านอ๋องกับอินหลัวจะต้องพร้อมหน้า เมื่อนั้นค่อยออกเดินทางกลับเมืองหลี่” กลางคืนอย่างรวดเร็ว บรรยากาศเงียบสงัด เสี่ยวหม่าเดินไปในความมืด เดินหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบของผู้คนในวังหลวง จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่พวกเขาสามารถหลบเร้นออกจากประตูของวังได้สำเร็จ"ท่านอ๋องขอรับ..." เสี่ยวหม่าพูดเบาๆ ขณะเดินนำหน้าไป"ด้านหลังพอจะหลบออกไปได้ ตอนนี้ไม่มีใครสงสัยแล้วขอรับ" กระซิบเสียงเบา เสี่ยวหม่าหันมามองหลี่เจินหรงและจ้าวอินหลัวที่เดินตามมาอย่างระมัดระวังหลี่เจินหรงก้าวเดินอย่างมั่นคง ดวงตามีแววพิจารณารอบตัว มือของเขายังคงแตะข้อมือของอินหลัวเบาๆ ท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด เสี่ยวหม่าก้าวนำไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ขณะที่หลี่เจินหรงเอียงหน้ามองไปที่อินหลัวที่เดินข้างๆ ใบหน้าดูหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด สายตาของอินหลัวหันไปมองหลี่เจินหรงกั
เมื่อทั้งสองมาถึงสวนแล้ว อินหลัวก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่กลางสวนในท่าทีสง่างาม ใบหน้าที่มองมาทางนางทำให้หัวใจของอินหลัวสะดุ้งในทันที นั่นคือ ฮ่องเต้กงหาน ท่าทางภาคภูมิและนิ่งเงียบของเขาทำให้บรรยากาศรอบตัวชวนให้รู้สึกเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"อ๋า... ฮ่องเต้หรอกหรือ" อินหลัวอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นท่านยืนรออยู่ในสวน พอหันหลับไปเยี่ยนซีไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้วเพิ่งจะรู้ว่าเสียทีก็ตอนนี้กงหานยิ้มบางๆ และพูดเสียงนุ่ม "เจ้ามาแล้วหรือ ดีจริง" เขาก้าวเข้าใกล้และมองอย่างมีความหมาย สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ดวงตาของอินหลัว ราวกับจะอ่านความคิดของเธอ "ตั้งแต่พบหน้าเจ้า ข้าก็กระวนกระวายใจและ…อยากจะพูดคุยและรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้ ข้าจึงมีคำขอจากเจ้าหน่อย"อินหลัวยืนเงียบ ไม่ตอบ แต่สายตาของนางก็ยังคงจับจ้องไปที่ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง เดินถอยห่าง"เจ้าอยากอยู่ที่วังหลวงหรือไม่ หากเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าพร้อมจะมอบทุกอย่างให้เจ้า" กงหานถามด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือแต่มีความหมายลึกซึ้ง "ข้าไม่ต้องการให้เจ้ากลับไปที่เมืองหลี่กับหลี่เจินหรง ที่นี่มีทุกอย่างมากมายที่ข้าจะมอบให้กับเจ้า ทั้งของกำนัลและตำแหน่งต่างๆ ห
จ้าวจินเทายืนนิ่งอยู่กลางห้อง สายตาของเขาคมกริบและเต็มไปด้วยความโกรธ เขาหมุนตัวไปมองทางฮ่องเต้กงหานที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นิ่งเฉย ไม่มีการแสดงท่าทีอะไรมากนัก"ฝ่าบาท!" เสียงของจ้าวจินเทาแข็งกระด้าง "ท่านไม่เห็นเหรอว่าอ๋องหลี่เจินหรงทำอะไรอยู่ เขาคิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง ถึงกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ หากปล่อยไว้แบบนี้เท่ากับหอกข้างแคร่"กงหานไม่พูดอะไร แต่ท่าทีเขาก็แสดงให้เห็นว่าไม่ได้สนใจคำพูดของจ้าวจินเทามากนัก เขาถอนหายใจยาวจ้าวจินเทาเริ่มไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไปยิ้มหยัน"ข้าไม่สามารถทนให้อ๋องหลี่เจินหรงทำแบบนี้ต่อไปได้อีกหลี่เจินหรงกำลังยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของข้าผ่าบาทโปรดประทานอนุญาตให้ข้า …..”ทันใดนั้น กงหานก็ยกมือขึ้นเป็นการส่งสัญญาณว่าอนุญาตไแต่ไม่ใช้คำพูดเท่านั้น"ขอบพระทัยฝ่าบาท หลี่เจินหรงต้องตายข้าสัญญา"คำพูดของจ้าวจินเทาเบาราวกระซิบทว่าเค้นเสียงลอดไรฟันกงหานมองจ้าวจินเทาอย่างรอบคอบ รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเขา ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้นดูเหมือนจะเงียบลง ราวกับว่าเขาได้คำนวณทุกอย่างแล้ว "ถ้าท่านคิดว่าเป็นเช่นนั้น... ก็ลงมือเถอะ" เขาพูดเสียงเบา แต่ในความเง