เธอเคยเป็นเด็กเอนฯ... แต่ชีวิตกลับพลิกผันเมื่อช่วยคนจนจมน้ำตาย แล้วฟื้นขึ้นมาในร่างชายาอ๋องเหล่ย จ้าวอินหลัวผู้งดงามและอ่อนหวาน ที่แทงท่านอ๋องโหดด้วยมีดอาบยาพิษเพื่อช่วยอ๋องเหล่ยผู้เป็นสามี แต่เพราะเตี้ยเกินไปทั้งยังแรงน้อยแทงไม่ถูกจุดสำคัญเขาเลยไม่ตาย อ๋องโหดหลี่เจินหรงจับอินหลัวกรอก “ยาปราณคู่” ให้แบ่งรับความเจ็บปวดจากพิษ...เขาเจ็บอินหลัวเจ็บ แต่อินหลัวตาย เขาตาย คิดว่าจะดูแลอย่างดีแต่นั่นไม่ใช่นิยายเรื่องนี้ ใครจะคิดว่าความแค้นที่เคยร้อนแรง กลับกลายเป็นเรื่องราวป่วนๆปนฮา เมื่ออ๋องโหดไม่เคยหลุดคาแรคเตอร์เจอกับอินหลัวเวอร์ชั่นใหม่ แค้นก็แค้น แต่ฮาก็ฮา... ความวุ่นวายจึงเริ่มต้นขึ้น...
View Moreถนนข้างสะพานพระรามสามยังคงมีเสียงรถวิ่งและไฟรถถนนส่งมาเป็นระยะบนรองเท้าส้นสูงส้นแหลมเล็ก ขนมที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กเหมือนเด็กสิบสี่สูงแค่150ในชุดรัดสั้นเดินตัวเปล่าฝ่าความมืดและเหนื่อยหนักอาจจะมีอาการเมาเล็กน้อยกลับบ้านเช่าหลังเล็กหลังจากเลิกงาน
“ไอ้บ้าเอ้ย หลอกให้ซดเหล้าอยู่ได้เงินก็ไม่ให้ ตั้งใจจะมอมเหล้ากันรึไง”
คืนนี้เป็นคืนที่ขนมรับงานพิเศษเด็กเอนฯเพื่อนดื่ม ผู้ชายรวย แต่ไม่สุภาพ เอาเปรียบโดยไม่ต้องถามความสมัครใจ เด็กเอนฯอย่างเธอไม่ใช่คนไร้ศักดิ์ศรี เพียงแต่ไม่มีโอกาสมากพอจะปฏิเสธโลกใบนี้
วอดก้าช็อตต่อช็อตรินซ้ำรอบในกระเพาะรู้สึกกระอักกระอวนขนม โก่งคออาเจียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เสียงสวบสาบจากด้านข้างของสะพานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขนมหันไปเห็นเงาร่างคนคนหนึ่ง ยืนที่ราวสะพานเหมือนคิดจะปีนข้ามเพื่อ….ฆ่าตัวตาย
"เฮ้ย อย่านะ"
เสียงแหบแห้งของขนมตะโกนฝ่าลมวิ่งเข้าไปทั้งที่ขาแทบไม่มีแรง เข้าดึงแขนชายหนุ่มคนนั้นที่หลบอย่างรวดเร็ว และแรงโน้มถ่วงไม่ปรานีใคร
หนึ่งก้าวพลาด หนึ่งวินาทีเปลี่ยนทุกสิ่ง
รองเท้าส้นสูงลื่นบนพื้นเปียก เสียงส้นรองเท้าหักดังเปาะ ขนมเซไปข้างหน้า เสียงกรีดร้องขาดสะบั้นในลำคอเมื่อขนมหล่นจากสะพาน เสี้ยววินาทีนั้น ภาพทุกอย่างหมุนคว้าง
“กูไม่น่ามาช่วยมึงเลย”
ความคิดสุดท้ายก่อนกระแทกผิวน้ำ ดวงตาคู่เดิมที่เคยเห็นท้องฟ้ากรุงเทพฯ มืดดับในเงาแห่งสายน้ำเชี่ยว โลกทั้งใบเป็นเพียงความมืดที่เย็นชืดและแหลมคมดั่งใบมีดที่กรีดผ่านขั้วหัวใจ
ขนมไม่อยากตายเลย ไม่มีใครอยากตายทั้งนั้น
เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง โลกไม่ได้มีเสียงรถหรือแสงไฟอีกต่อไป มีเพียงความเย็นของพื้นหินกลิ่นอับชื้น แสงสลัวลอดผ่านซี่กรงไม้ผุและเสียงโซ่เหล็กเสียดสีกับข้อเท้า ถูกบ่ามโซ่ ยมทูตล่ามโซ่ฉันหรือ
ขนม ลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกจับขังอยู่ในกรงไม้ ในโลกที่ไม่คุ้นเคย ในร่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง ราวกับเชลยก็เชลยนั่นแหละ เสียงฝนจากภายนอกหยุดลงแล้ว แค่ยังหนาวเหน็บ
ขยับนิ้วมือดูช้าๆ เปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาปรือมองเห็นเพียงแสงสลัวลอดช่องซี่ไม้ด้านบน และแสงคบเพลิงที่วูบไหวจากภายนอกกรง
ขนมอยากถามว่า ที่นี่ที่ไหน แต่เสียงของตัวเองกลับติดอยู่ในลำคอ ราวกับใช้ไม่ได้อีกแล้ว แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
"นางฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว" ต้นเสียงเป็นหญิงชราร่างผอมเกร็งในกรงถัดไปทางขวา
"เมื่อครู่นี้ข้าเห็นนางชักกระตุก ตาค้างเหมือนจะขาดใจตาย นึกว่าจะตายเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังหายใจอยู่" อีกเสียงพูดขึ้น
"แต่นางรอดไปก็เท่านั้น อ๋องโหดผู้นั้นรู้เข้าคงไม่ปล่อยนางไว้แน่" หญิงวัยกลางคนพูดเสียงต่ำ เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นทอดๆ
"ข้าว่านางตายด้วยตัวเองยังดีเสียกว่าถูกทรมานจากอ๋องโหดผู้นั้น... อย่างน้อยก็ยังเลือกจุดจบเองได้"
ขนมในร่างเล็กเหมือนกับจ้าวอินหลัวที่เพิ่งฟื้นขึ้นมากะพริบตาและยังไม่รู้เลยว่า อ๋องโหด ที่พวกเขาเอ่ยถึงนั้น เป็นผู้ใด
ยังไม่ทันจะได้ประมวลว่าตนกำลังฝันอยู่หรือตื่น เสียงของหญิงชราเมื่อครู่ก็ค่อยๆ เลือนหาย เสียงกุญแจโซ่ เสียงฝีเท้า และเสียงกระซิบแผ่วเบาค่อยๆ ดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิดที่ยังพร่าเลือน
"รอค่ำก่อน... ท่านอ๋องสั่งไว้แล้ว"
"ใช่ เขาส่งคำสั่งมาด้วยตัวเอง บอกให้ พานางไปพบที่กระโจม"
"ข้าคาดว่านางคง... ไม่รอดหรอก ก็ดูว่านางเหมือนคนที่ป่วยหนัก "
ร่างกายจ้าวอินหลัวหนักอึ้ง แต่สมองกลับรับรู้ได้ชัดเจน คำว่า นำตัวไปพบ ไม่ได้ให้ความรู้สึกยินดีใดๆ ในบริบทนี้เลย
ขนมสะดุ้งตื่นมาอีกครั้งความอ่อนเพลียเริ่มหายไปกำลังวังชากลับมาเหมือนเดิม ขนมมองมือตัวเอง ก้มมองเสื้อผ้าสีสันสดใสผ้าเนื้อดี และผิวพรรณขาวผ่องผิดวิสัยเชลยทั่วไป
เสียงฝีเท้าไกลออกไปแล้ว แต่เสียงกระซิบของเชลยในกรงใหญ่ที่ขังคนรวมกันข้างๆ ยังไม่จางหาย
"นางช่างโชคร้ายนัก..." เสียงแหบพร่าของชายชราเอ่ยอย่างเวทนา
"หากท่านอ๋องหลี่เจินหรงให้พาไปพบในยามค่ำ ข้าว่า..." เสียงหญิงคนหนึ่งพูดแผ่วเบา
"คงไม่พ้นให้ม้าแยกร่าง หรือไม่ก็ถูกมัดไว้เป็นเป้าให้ฝึกยิงธนู"
"เงียบเถิด เดี๋ยวนางจะได้ยินเข้า จะหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม" หญิงชราอีกคนตำหนิ
"ข้าก็อดสงสารนางไม่ได้นี่...นางไม่เคยผ่านความลำบากจะทนได้สักเท่าไหร่กัน"
"ชายาอ๋อง…จ้าวอินหลัว สามีถูกฆ่าตายแล้วถูกจับมาในฐานะเชลย อย่างไรก็หนีไม่พ้นอ๋องโหด"
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น ชื่อของร่างนี้... เป็นที่จะต้องจดจำไว้ ฉันที่นี่ชื่อ… จ้าวอินหลัว
ท่านหมอไป๋อี้เฉิงไม่ทันฟังจนจบก็รีบทรุดตัวลงข้างจ้าวอินหลัว มือเขาคลำชีพจร กดเบาๆแล้วขมวดคิ้ว"ยังเต้นอยู่...แต่แรงไม่เท่าเดิม"อี้เฉิงควักยาถุงเล็กออกมา ชงยาสีคล้ำอีกถ้วย ปล่อยให้เย็นพอดี จากนั้นจึงใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะอินหลัวขึ้นพิงอก ก้มลงป้อนยาทีละนิดอย่างระมัดระวังแต่เพราะจ้าวอินหลัวยังสลบเขาจึงต้องใช้ช้อนเขี่ยริมฝีปากให้อ้าเบาๆแล้วหยอดยาเข้าไป เช็ดคราบยาตามมุมปากด้วยผ้าขาว ละเมียดละไมไม่ต่างจากคนดูแลน้องสาวที่ป่วยหนักกระบวนการกินยาของจ้าวอินหลัว ใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นนัก หลี่เจินหรงมองภาพนั้นจากบนแท่นอนและเขาไม่พูดอะไร แต่สีหน้าดู...สงบขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเพราะยา หรือความโกรธลดลง เมื่อยาทั้งหมดถูกกลืนลงไปแล้ว อี้เฉิงถอนหายใจเสียงยาว เหมือนปล่อยลมที่กักไว้นาน"โชคดีที่ยาปราณคู่นี้มีอีกสรรพคุณหนึ่ง..."อี้เฉิงพูดกับหลี่เจินหรง พลางเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ"นอกจากจะแบ่งความเจ็บแล้ว...มันยังแบ่งผลของยาให้ด้วย ยาชาบรรเทาอาการบาดเจ็บของท่าน...เพราะผูกปราณกันไว้ ตอนที่นางกลืนยาเข้าไป ผลจึงส่งถึงท่านเช่นกัน""หมายความว่า..."หลี่เจินหรงขมวดคิ้วช้าๆ"หมายความว่า...ข้ากำลังเสี่ยง
"เป็นไปไม่ได้... ข้าไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิษ ข้านึกว่าข้าแทงท่านเฉย…สักจึก" อินหลัวเบิกตากว้าง ข้าจะรู้ได้ไงก็ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ไอ้ที่พูดไปก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น แต่หมอนี้เหมือนจะเชื่อคนยาก จ้าวอินหลัวเอ๊ย จ้าวอินหลัว ไปทำเขาทำไมเนี้ยะ "แน่นอนว่าเจ้าไม่รู้" เขากระซิบเสียงเบาแต่หนักแน่น "เพราะสามีของเจ้า อ๋องชั่วตระกูลซ่งนั่นต่างหาก ที่เล่นไม่ซื่อ เขาอาบพิษไว้ในมีดสั้นเล่มนั้น เพื่อให้เจ้ากลายเป็นมือลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว...และข้า... ต้องรับพิษนั้นไปทั้งร่าง"จ้าวอินหลัวพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นเล็กน้อย หลี่เจินหรงยิ้มเย็น เหยียดมุมปากอย่างผู้ควบคุมเกมทุกอย่างไว้แล้ว"เจ้าว่า เจ้าสมควรถูกลงโทษหรือไม่...เพราะเจ้าคือผู้ลงมือ เจ้าคือภรรยาของคนที่วางแผนและเจ้าจะต้องชดใช้มัน... ด้วยความทรมาน เจ็บแทนข้า…ครึ่งหนึ่ง...แต่อย่าได้ตายไป" หลี่เจินหรง กระซิบชิดใบหูอินหลัว"ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าตายง่ายดายจะต้องอยู่ทรมานกับข้าก่อนเพื่อชดใช้สิ่งที่อ๋องชั่วสามีเจ้าและเจ้าทำกับข้า"อินหลัวใจเต้นแรงจนแทบแตกเป็นเสี่ยง หายใจไม่ทัน มือสั่น สัญชาตญาณเดียวที่สั่งนางในยามนี้คือ หนี แต่
จ้าวอินหลัวสะดุ้งเฮือก แล้วพลิกตัวลุกนั่งทันทีอย่างไว ดวงตากลมโตใสแจ๋วแบบเด็กขอของกินตอนไม่มีเงิน แหงนมองเขา พร้อมยกมือขึ้นสองข้างส่ายไปมา"ไม่ๆๆ เดี๋ยวก่อน ท่านอ๋อง...ท่านอาจจะจำผิดคนก็ได้นะ ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ข้า...ชื่อจ้าวอิ๋งอั่ว หรือไม่ก็...หลัวอินจิ๋ว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คนนั้น ข้าเป็นชาวบ้านบ้าเดินหลงทางมาจากหมู่บ้านข้างเขาเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง"นางพูดพลางชูสองนิ้วประกอบคำว่า หมู่บ้าน หลี่เจินหรงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งตรง มองนางราวกับมองคนเสียสติ"เจ้าจะกล้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งที่มือของเจ้าถือมีดแทงข้า""อ๋ออออ มีดนั่น โอ้...ข้าจำได้แล้ว" อินหลัวดีดนิ้ว แปะ แล้วทำตาโต"...ว่าไม่ใช่ข้า" ยิ้มฟันขาวทันที"บางทีท่านอาจฝันไปก็ได้นะ ตอนถูกแทง ท่านอาจเมามาก่อนแล้วละเมอเห็นข้าเป็นนักฆ่าหญิงก็เป็นได้"เขากระตุกยิ้ม...แต่เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว“ใครจะลืมเจ้าได้ คนที่กล้าถือมีดต่อหน้าข้าไม่เหลือใครสักคนที่มีชีวิตรอดนอกจากเจ้าคนเดียวจ้าวอินหลัว” อินหลัวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ข้ามาผิดภพแน่นอน มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ “ท่านลองคิดดูดีๆ ก่อน ข้าตัวเล็กนิดเดียวใครจะกล้าเ
"เจ้าหมายความว่า…" ดวงตาหลี่เจินหรงเป็นประกายไป๋อี้เฉิงสบตาเขาอย่างจริงจัง"ยานี้เรียกอีกชื่อว่า ยาปราณคู่ ผู้ที่กินเม็ดที่สองเข้าไปจะรับความเจ็บปวดจากพิษในร่างท่านอ๋องไปครึ่งหนึ่ง...เหมือนผูกลมหายใจเดียวกัน"“สวรรค์มีตาแล้วสินะ ดีจังมียาดีๆ แบบนี้ด้วย”"แต่ว่า... ขอเตือนให้จดจำไว้ให้มั่น หากคนที่กินเม็ดยาคู่ตายลง...ท่านอ๋องจะต้องตายตามในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม" ไป๋อี้เฉิงพูดเสียงเบาแต่ชัดทุกถ้อยคำ ยกขวดยาขึ้นด้วยมือที่มั่นคง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งเช่นเดิม "ข้าน้อยเห็นว่าท่านอ๋องรีบกลืนยาเม็ดแรกเสียเถิด ยานี้มีเพียงคู่เดียวในแผ่นดิน หากหล่นหาย ถูกขโมย หรือเคราะห์ร้ายใดเกิดขึ้น… อย่างน้อย ท่านอ๋องก็ยังได้กินยาเม็ดสำคัญไปแล้ว" ไป๋อี้เฉิงรู้ดีแก่ใจว่าหลี่เจินหรงมีศัตรูไม่น้อยหลี่เจินหรงรับเม็ดยากลมเรียบขึ้นพินิจ แสงตะเกียงสะท้อนยาสีฟ้าหม่นจางๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขากลืนเม็ดนั้นลงคอ ไป๋อี้เฉิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง "ส่วนยาเม็ดที่สอง...กระหม่อมจะเก็บไว้ให้ดี และจะเลือก…" หมอหนุ่มยื่นมือจะเก็บเข้ากล่องไม้ "ไม่ต้อง" เสียงทุ้มต่ำตัดขึ้นมาทันควัน หลี่เจินหรงยกมือขึ้นช้าๆ หยุดการเคลื่อนไหวขอ
ภายใต้แสงคบเพลิงที่ริบหรี่ เสียงโซ่เหล็กที่พันข้อเท้าอยู่นั้นหยุดนิ่งแล้ว แต่ในสมองของขนมกลับวุ่นวายดั่งเสียงกลองศึก“นำตัวนางไปพบท่านอ๋อง” เสียงสั่งดังอยู่ไม่ไกลนักฉันไม่ได้เอามือจกกระเป๋าไว้ ก็เข้ามาซี่ แน่จริงก็เข้ามาแม่จะถีบให้แม้ในโลกที่จากมาก่อนจะตายด้วยอุบัติเหตุเพราะช่วยคนอื่น แต่โลกนี้ขนมปฏิญาณไว้ว่าจะช่วยตัวเองให้ถึงที่สุดตอนนั้นเอง ประตูกรงถูกเปิดออก เสียงเหล็กเสียดสีกันดังแสบหู ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมโซ่ใหม่ในมือ ก้าวมาใกล้อย่างอหังการ"จ้าวอินหลัวถึงเวลาแล้ว…ไปพบท่านอ๋อง"ดวงตาของจ้าวอินหลัวฉายแวววาบ ร่างเธอยังอ่อนแรงแต่ยังมีเรี่ยวแรงพอจะดิ้น เมื่อทหารก้มลงจะคล้องกุญแจโซ่ เธอเตะเข้าที่เป้าของทหารคนนั้นเต็มแรง“พลั๊ก” ก่อนจะฟาดข้อศอกเข้าที่คางอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายหงายหลังล้มลงกุมเป้าแน่นเสียงร้องลั่นขึ้นพร้อมความโกลาหล ขนมไม่รอช้า พุ่งตัวหนีไปในความมืด ลัดเลาะตามเส้นทางค่ายที่ไม่รู้จัก เหงื่อเย็นไหลตามแผ่นหลัง และเมื่อเห็นกระโจมใหญ่ผ้าแดงปักทองลวดลายหมาป่าโดดเด่นกลางลานค่ายก็วิ่งเข้าไปซุกตัวโดยไม่ต้องคิดนานภายในเงียบสงัด กลิ่นหอมบางเบาของสมุนไพรจากกำยานลอยปะปนกับกลิ่นห
ถนนข้างสะพานพระรามสามยังคงมีเสียงรถวิ่งและไฟรถถนนส่งมาเป็นระยะบนรองเท้าส้นสูงส้นแหลมเล็ก ขนมที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กเหมือนเด็กสิบสี่สูงแค่150ในชุดรัดสั้นเดินตัวเปล่าฝ่าความมืดและเหนื่อยหนักอาจจะมีอาการเมาเล็กน้อยกลับบ้านเช่าหลังเล็กหลังจากเลิกงาน“ไอ้บ้าเอ้ย หลอกให้ซดเหล้าอยู่ได้เงินก็ไม่ให้ ตั้งใจจะมอมเหล้ากันรึไง”คืนนี้เป็นคืนที่ขนมรับงานพิเศษเด็กเอนฯเพื่อนดื่ม ผู้ชายรวย แต่ไม่สุภาพ เอาเปรียบโดยไม่ต้องถามความสมัครใจ เด็กเอนฯอย่างเธอไม่ใช่คนไร้ศักดิ์ศรี เพียงแต่ไม่มีโอกาสมากพอจะปฏิเสธโลกใบนี้วอดก้าช็อตต่อช็อตรินซ้ำรอบในกระเพาะรู้สึกกระอักกระอวนขนม โก่งคออาเจียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เสียงสวบสาบจากด้านข้างของสะพานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ขนมหันไปเห็นเงาร่างคนคนหนึ่ง ยืนที่ราวสะพานเหมือนคิดจะปีนข้ามเพื่อ….ฆ่าตัวตาย"เฮ้ย อย่านะ"เสียงแหบแห้งของขนมตะโกนฝ่าลมวิ่งเข้าไปทั้งที่ขาแทบไม่มีแรง เข้าดึงแขนชายหนุ่มคนนั้นที่หลบอย่างรวดเร็ว และแรงโน้มถ่วงไม่ปรานีใครหนึ่งก้าวพลาด หนึ่งวินาทีเปลี่ยนทุกสิ่งรองเท้าส้นสูงลื่นบนพื้นเปียก เสียงส้นรองเท้าหักดังเปาะ ขนมเซไปข้างหน้า เสียงกรีดร้องขาดสะบั้นใน
Comments