ทางด้านเจ้าบ่าวก็ทำหน้าเบื่อโลกเซ็งกะตายอยู่ภายในรถตู้คันหรูป้ายแดง ยานพาหนะที่จะนำพาเขากับครอบครัวไปสถานที่จัดงานแต่งงานกับเจ้าสาวนามว่าแพรวพรรณราย เจ้าสาวที่เขาไม่ปรารถนาจะเข้าวิวาห์ด้วย และที่สำคัญไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน
เวลานี้กรกวินทร์ไม่ได้นึกถึงเจ้าสาวของตนเลย กลับนึกถึงแต่นิสารัตน์ คนรักที่วาดหวังกันว่าจะครองชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายความฝันของทั้งคู่ต้องพังทลาย เมื่อบิดาบังคับให้ตนแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่กวินทร์หมายมั่นจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ เขาอยากจะค้าน อยากจะดึงดั้นยืนกรานว่าไม่แต่งและอยากจะหยุดยั้งความคิดของบิดา แต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากมารดาขอร้องด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ
“ทัชยอมแต่งงานกับหนูแพรวนะลูก เห็นแก่แม่ แม่อยากให้ครอบครัวของเราสงบสุขเสียที”
เป็นประโยคที่เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์เป็นอย่างมาก แน่นอนที่เขาจะปล่อยคำถามเพื่อให้ตนเองคลายความสงสัย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นความเงียบ ต่อมาคือเสียงสะอื้นไห้ของมารดา
“ฮือ...ทัชอย่าถามแม่เลยนะลูกว่าทำไมแม่ถึงพูดอย่างนี้ เอาเป็นว่า ถ้าทัชยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ แต่งงานกับหนูแพรวนะลูก”
คำขอร้องแกมอ้อนวอน บวกกับเสียงร้องไห้ของมารดา ทำให้เขายอมแต่งงานกับแพรวพรรณราย หญิงสาวที่เขาเพียงแค่ได้ยินชื่อก็เกลียดเข้าไส้
“ทำหน้าให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงทัช ทำหน้าอย่างกับจะไปตาย”
ภวินทร์หันมาว่าลูกชายคนโตที่ตีหน้าเบื่อโลกแทนที่จะยิ้มระรื่นกับวันชื่นคืนสุขของตัวเอง เห็นแล้วเขาพาลหงุดหงิด คนที่ถูกต่อว่าอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีเสียกว่าต้องตายทั้งเป็นกับที่ต้องวิวาห์กับหญิงสาวที่ตนไม่รู้จัก
“ทัชไปถึงบ้านของหนูแพรว ทัชก็ยิ้มหน่อยนะลูก วันนี้เป็นวันดีของทัช แม่ไม่อยากเห็นทัชหน้าบึ้งตึง แม่อยากเห็นทัชยิ้ม”
ธาริณีสงสารกรกวินทร์ไม่น้อย บุตรชายคนโตของนางเป็นคนที่น่าสงสาร ความรักที่ได้จากแม่นั้นเต็มเปี่ยม แต่ทว่าจากพ่อนั้นเล่ายังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ให้กวินภพ ลูกชายคนเล็กของนาง ส่งผลให้วาจาของภวินทร์จึงแล้งไปด้วยน้ำใจ ไม่เพียงไม่เห็นอกเห็นใจ ยังไม่พอใจซ้ำลงไปอีก
ฝ่ายกวินภพน้องชายก็อดที่จะสงสารพี่ชายไม่ได้ เขารู้ความรู้สึกบองกรกวินทร์ดีว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเขาก็ได้แต่เห็นใจ ยื่นมือเข้าช่วยไม่ได้เลย
“ครับคุณแม่ ผมจะพยายามเต็มที่ครับ”
กรกวินทร์ยิ้มเนือย สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง มองดูทัศนียภาพย่ำรุ่งของเมืองกรุง ที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่เริ่มใช่ชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเขาที่กำลังเริ่มต้นใหม่ในชีวิต
รถตู้คันดังกล่าวแล่นมาจอดหน้าล็อบบี้ของโรงแรมฟลุทาวน์ ก่อนเวลาพิธีการในช่วงเช้าครึ่งชั่วโมง พิธีในช่วงเช้าที่ว่านี้ก็คือทำบุญเลี้ยงพระเก้ารูป เพื่อเป็นสิริมงคลในการครองคู่ จากนั้นเวลา 09.29 น. เป็นฤกษ์งามยามดีมีการแห่ขันหมากสู่ขอตามประเพณี ต่อจากนั้นก็จะเป็นพิธีรดน้ำสังข์ ต่อด้วยการจดทะเบียนสมรส ส่วนช่วงเย็นก็จะเป็นการเลี้ยงฉลองมงคลสมรส
คนที่อยู่ในรถตู้ก้าวลงมาจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องจัดเลี้ยงริมแม่น้ำ พริ้งเพราเมื่อเห็นเจ้าบ่าวและครอบครัวเดินเข้ามาห้องจัดงาน นางก็รีบกุลีกุจอเดินเข้าไปหา
“สวัสดีค่ะคุณพี่ภวินทร์ คุณพี่ณี”
พริ้งเพราพนมมือไหว้ทั้งสองอย่างนอบน้อม ชื่อของบิดาผ่านปากของพริ้มเพรา เรียกความสงสัยให้กับกรกวินทร์และกวินภพได้มาทีเดียว เนื่องจากบิดาของทั้งสองชื่อกวินทร์ แต่เหตุใดพริ้งเพราถึงเรียกบิดาว่าภวินทร์ แต่ทว่าเวลานี้คงเหมาะที่จะถามในเรื่องที่สองพี่น้องสงสัย เขาทั้งสองจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยสอบถามภายหลัง
“งานเตรียมเรียบร้อยไหมพริ้ง” ภวินทร์เอ่ยถามมารดาเจ้าสาวด้วยน้ำเสียงสนิทสนม
“เรียบร้อยค่ะคุณพี่ พริ้งให้คนไปรับพระสงฆ์มาที่นี่แล้วค่ะ อีกสักครู่ก็คงมา”
อันที่จริงแล้ว นางแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ทางโรงแรมเนรมิตให้ทุกอย่าง ให้สมกับราคาค่าจัดงานที่แพงสมกับฐานะของคู่สมรส
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวได้เลย”
“ค่ะคุณพี่ เดี๋ยวพริ้งจะไปเรียกลูกแพรวมาตักบาตรนะคะ” พริ้งเพราตอบรับก่อนจะเดินไปหาลูกสาวคนโตที่นั่งรออยู่ในห้องแต่งตัวอีกห้องหนึ่ง
แพรวพรรณรายเงยหน้ามองมารดาที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างรู้ในทันทีว่า เวลาที่ตนเองไม่ต้องการให้ถึงมันก็เดินทางมาถึงจนได้
“ออกไปได้แล้วนังแพรว แล้วก็กรุณายิ้มด้วย ไม่อย่างนั้นแกได้เจอดีแน่” พริ้มเพราที่เข้ามาตามเจ้าสาว ไม่วายกำชับแกมข่มขู่
“รู้แล้วค่ะ รับรองว่าจะยิ้มแฉ่งราวกับว่ายินดีปรีดากับการแต่งงานในวันนี้ สมใจแม่ยังไงล่ะคะ”
แพรวพรรณรายย้อนยอกมารดา
“นังแพรว” พริ้งเพราตวาดลูกสาวหัวดื้อ “แกไม่ต้องมาพูดประชดฉันนะ ถ้าไม่ติดว่าแกจะต้องแบกหน้าเป็นเจ้าสาว ฉันตบหน้าแกให้ขึ้นรอยนิ้วมือแน่”
“แม่คะ อย่าอารมณ์เสียสิคะ วันนี้วันแต่งงานของพี่แพรวนะคะแม่ แม่ต้องยิ้มไว้นะคะ”
เดือนดารารีบห้ามทัพศึกย่อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างมารดากับพี่สาว ซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเธอชาชิน สงสารพี่สาวจับใจที่ถูกผู้เป็นแม่ดุด่า และลงไม้ลงมือเสมอราวกับว่าเป็นลูกที่แม่ไม่รัก ต่างกับเธอที่ถูกประคบประหงมดูแลเอาใจใส่จนบ้างครั้งเดือนดาราก็เกิดความอึดอัดแล้วไม่เข้าใจว่า เหตุใดพริ้งเพราถึงได้ไม่รักพี่สาวต่างบิดาของเธอ
“ก็ดูพี่สาวเดือนสิลูก ทำหน้าทำตาอย่างกับไปตายจะไม่ให้แม่โมโหได้ยังไง”
พริ้งเพราลดระดับน้ำเสียงแข็งกร้าวมาเป็นอ่อนโยน ผิดกับน้ำเสียงที่พูดกับแพรวพรรณรายราวกับฟ้าแลเหว
“โธ่แม่คะ แม่ก็ต้องเห็นใจพี่แพรวบ้างนะคะ จะมีใครบ้างที่ยิ้มออกและดีใจที่ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก ให้เวลาพี่แพรวทำใจบ้างสิคะแม่”
เดือนดาราเห็นใจพี่สาวเป็นที่สุด แต่ทว่าเธอเป็นลูกคงจะมีปากมีเสียงกับมารดาไม่ได้ อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่มีนัยยะแอบแฝง
“เดือนเป็นคนดีเหลือเกินลูก รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น แม่ภูมิใจในตัวเดือนมากเลยลูก”
พริ้งเพราแสดงความรักที่มีต่อเดือนดาราจนออกนอกหน้า ไม่คำนึงถึงลูกสาวอีกคนหนึ่งที่มองดูมารดาด้วยความเสียใจและน้อยใจ
“พี่แพรวไม่ใช่คนอื่นนะคะแม่ พี่แพรวเป็นพี่สาวของเดือน การที่เดือนจะเห็นใจพี่แพรวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เดือนดาราโต้กลับ
“ข้อนั้นแม่รู้จ้ะ ลูกสาวแม่น่ารักอย่างนี้แม่ถึงได้รักลูกม๊ากมาก มากที่สุดในชีวิตเลยจ้ะ”
เดือนดาราควรจะดีใจกับคำพูดของมารดา แต่ทว่าเธอกลับมีความรู้สึกตรงกันข้าม เธอเสียใจที่มารดาพูดเช่นนี้ต่อหน้าพี่สาว เนื่องจากความหมายที่พูดนั้นทำให้เข้าใจว่า พริ้งเพรารักเธอคนเดียว แล้วแพรวพรรณรายล่ะ นางเอาไปไว้ตรงในในความรู้สึกและหัวใจ
“ขอบคุณแม่มากนะคะที่รักเดือน แต่เดือนว่าแม่ออกไปรับแขกด้านนอกดีกว่าคะ เดี๋ยวเดือนจะพาพี่แพรวออกไปนะคะแม่”
“จ้ะลูก” พริ้งเพราเอ่ยเสียงหวานกับลูกสาวคนเล็ก ก่อนจะหันไปส่งเสียงเขียวกับลูกสาวคนโต “นังแพรว แกมีปากนะนังแพรว กรุณายิ้มด้วย” พูดจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที
“พี่แพรวคะ แม่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักพี่แพรวนะคะ พี่แพรวอย่าคิดมากกับคำพูดของแม่นะคะ”
เดือนดาราที่มีความห่วงใยทางด้านความรู้สึกของพี่สาวมาโดยตลอด พูดปลุกปลอบให้แพรวพรรณรายคลายจากความหมองเศร้าและความเสียใจที่ได้รับ
“พี่ชินแล้ว พี่โดนแบบนี้มาตั้งแต่เกิด โดนอีกสักนิดจะเป็นไรไป”
ปากก็บอกว่าชาชิน แต่ทุกครั้งที่เห็นและได้ยิน ความเสียใจก็ยังเกิดขึ้นทุกครั้ง เป็นความเจ็บแบบซ้ำๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่า วันใดจะได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่บ้าง หรือนี่อาจจะเป็นบทลงโทษแทนบิดาที่เคยทำร้ายพริ้งเพราให้เจ็บช้ำน้ำใจ ผลกรรมจึงตกอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว
Chapter 80“เรากลับโรงแรมกันเถอะค่ะ ฟ้าหิวแล้ว”ผู้พูดไม่ได้หิวเหมือนที่ปากบอก เธอต้องการกลับไปพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจมากกว่า เวลานี้จิตใจของเธอไม่สู้ดีเอาเสียเลย มันหม่นหมอง เศร้าสร้อย จะว่าไปแล้ว ภาพที่ทั้งคู่ยืนจุมพิตกันในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมเป็นเพราะนิสารัตน์เอง หากเธอไม่ใจอ่อน ไม่ใจง่าย ห้ามปรามเขาบ้าง ความลับมันก็ยังคงเป็นความลับต่อไป เห็นทีเธอต้องใจแข็งบ้างแล้ว“พี่ก็หิวเหมือนกัน หิวฟ้าจนแสบท้องแล้วนะเนี่ย”เขาทำหน้ากรุ้มกริ่ม มองเธอตาพราว ก่อนจะติดเครื่องยนต์แล้วทะยานรถออกไปบนถนน มุ่งตรงไปยังโรงแรมสุดหรูระหว่างทางนิสารัตน์นั่งนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดจาหยอกล้อเหมือนทุกครั้ง เธอจะเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ไม่หันมามองหน้าคนขับ แม้แต่ยามที่เขาเอ่ยถามหรือชวนคุย ปากจะเอ่ยโต้ตอบเพียงไม่กี่คำ แต่สายตานั้นก็ยังไม่มองหน้าเขาอยู่ดี ท่าทางที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือของดาราสาว ทำให้คนช่างสังเกตรู้สึกสงสัยขึ้นมา ดิตถพงศ์กำลังสงสัยว่า เธอเป็นอะไร อาการแบบนี้จะต้องมีเรื่องรบกวนจิตใจเธอแน่นอน ในเมื่อนิสารัตน์ไม่อยากพูด ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้าเขา ดิตถพงศ์ก็ไม่ฝืน เขาทำหน้าที่พลขับต่อไปโดย
Chapter 79“เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญไง เป็นเรื่องที่พี่จะให้ใครรู้ไม่ได้ เพราะถ้ามีใครรู้เรื่องนี้ คนที่จะเสียชื่อเสียงคือ ฟ้าไม่ใช่พี่”นิสารัตน์รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของผู้จัดการส่วนตัว ราวกับว่าเรื่องที่นุชนารถจะคุยกับเธอนั้นเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี“เรื่องอะไรคะพี่นุช” นิสารัตน์ถาม นุชนารถยังไม่ตอบ กลับล้วงหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าออกมา แล้วยื่นส่งให้ดาราสาว“ดูเอาเอง” ชนารถเอ่ยขึ้นขณะที่มือนุ่มของนิสารัตน์หยิบซองสีน้ำตาลขนาดเล็กไปไว้ในมือ และสอดมือหยิบของด้านในออกมาดูดวงตาของนิสารัตน์ขยายกว้าง ใบหน้าซีด มือสั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรูปถ่ายหลายใบที่อยู่ในมือ จะไม่ให้เธอตกใจได้อย่างไร ในเมื่อคนที่อยู่ในรูปภาพในมือคือตัวเธอเอง แล้วยังมีอีกหนึ่งหนุ่มที่อยู่ในภาพนั้นด้วย หนุ่มคนนั้นคือ ดิตถพงศ์ และในภาพยังบอกให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนหรือคนรู้จัก เพราะเขาและเธอกำลังกอดและจูบกันอยู่ในลานจอดรถของคอนโดมิเนียมที่ทั้งคู่อาศัยอยู่“พี่นุชได้ภาพนี้มาจากไหนคะ” นิสารัตน์ถามเสียงสั่น“ข้อนั้นฟ้าไม่ต้องรู้ก็ได้” นุชนารถคิดว่านิสารัตน์ไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบนี้ เพราะมีอย่างอื่นที่นิส
Chapter 78“นุดีต้องขออภัยที่ไม่สามารถบอกรายละเอียดเรื่องสูตรได้ค่ะ เพราะนุดีก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คนที่รู้สูตรคือคุณแพรพิไล น้องสาวของคุณภาคิน หุ้นส่วนอีกคนหนึ่งของร้านนี้ค่ะ เพราะเธอเป็นคนคิดสูตรนี้ขึ้นมาเอง แต่นุดีพอจะบอกรายละเอียดเรื่องการนวดได้ค่ะ นวดทองคำครบสูตรมีทั้งหมดห้าขั้นตอนค่ะ ขั้นตอนแรกคือการอบไอน้ำ ขั้นตอนที่สองนวดด้วยโคลนภูเขาไฟนำเข้าจากประเทศโรมาเนียซึ่งว่ากันว่ามีสรรพคุณดีที่สุดในโลกขั้นตอนที่สามนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ที่อุดมไปด้วยโมเลกุลเล็กๆ และวิตามินหลายชนิดที่จะแทรกซึมเข้าไปในผิวทำให้ผิวเปล่งปลั่ง ต่อมาก็มาแช่ตัวด้วยน้ำนม หลังจากนั้นก็นวดด้วยทองคำสูตรพิเศษที่อุดมไปด้วยอาหารผิว และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระฟื้นฟูสภาพผิว และปรับสมดุลของร่างกายด้วยค่ะ พอทำทุกขั้นตอนแล้วเสร็จ คุณพริ้งเพราจะรู้สึกสบายตัว ความเมื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง ผิวกายรู้สึกกระชับเบาสบายมีชีวิตชีวาค่ะ”นุดีบอกรายละเอียดของการนวดทองคำเท่าที่เธอจะบอกได้ให้พลูกค้ากิตติมศักดิ์ได้รับรู้ ซึ่งสรรพคุณที่ได้รับจากการนวดทองคำก็ทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก“มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” พริ้งเพราถามกลับ “ราคามัน
Chapter 77“พี่ทัช”กรกวินทร์ยิ้มอ่อนโยนให้ภรรยา จุมพิตดวงตาที่มีน้ำใสๆ เอ่อคลอแผ่วเบา นุ่มนวล“พี่รู้ว่าพี่ทำร้ายแพรวไว้มาก ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ พี่ยอมรับผิดและขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ต่อไปนี้พี่จะทะนุถนอมแพรว ดูแลแพรวและรักแพรว ชดเชยความผิดทั้งหมดด้วยหัวใจของพี่เอง”พูดจบเขาก็ประทับริมผีปากลงบนกลีบปากนุ่ม มอบจุมพิตหวานล้ำให้กับแพรวพรรณรายด้วยความรักทั้งหมดที่มี ซึ่งเธอเองก็ตอบรับจูบของสามีด้วยความเต็มใจ “แพรวล่ะ รักพี่หรือเปล่า รักผู้ชายเลวๆ คนนี้ไหม”เขาถามหลังจากที่ถอนจุมพิต มองนัยน์ตาหวานเยิ้มของเธออย่างลุ่มหลงและรักสุดหัวใจ แพรวพรรณรายคลี่ยิ้มก่อนจะเปิดปากตอบ“รักค่ะ” เธอตอบสั้นๆ พร้อมท่าทางเหนียมอาย หลายคนเคยพูดให้เธอได้ยินว่า ความรักมักวิ่งเข้ามาหาโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็รักคนคนนั้นหมดทั้งใจ แพรวพรรณรายเพิ่งรู้ว่า คำพูดนี้เป็นความจริง มันเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นกับเธอ กรกวินทร์รักเธอโดยไม่รู้ตัว เธอเองก็รักเขาโดยไม่รู้ตัวเช่นกันกรกวินทร์ยิ้มกว้าง ใจเต้นแรงคล้ายกับว่าตนเองเป็นวัยรุ่นที่ริอ่านมีความรักครั้งแรก ตื่นเต้นกับคำบอกรักของฝ่ายหญิง รู้สึกดีใจบอกไม่ถูกที่ได้
Chapter 76“ขอบใจมากที่เป็นธุระให้”กรกวินทร์พอใจกับการทำงานของสุเมธที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ครั้งนี้ก็เช่นกัน“ยินดีครับคุณทัช”“เรามาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่า เรื่องเซ็นสัญญากับบริษัท...”เมื่อคุยเรื่องธุระเร่งด่วนเสร็จสิ้น กรกวินทร์ก็วกเข้าเรื่องงานในบริษัทเป็นลำดับต่อมา สุเมธที่เตรียมเอกสารเรื่องสัญญาดังกล่าวมาด้วย รีบหยิบเอกสารนั้นออกมาให้เจ้านายอ่าน และบอกรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงเรื่องงานในส่วนอื่นๆอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาอาหารสามอย่างก็ถูกตระเตรียมไว้บนโต๊ะอาหารพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ก่อนที่ทั้งสามจะลงมือรับประทานอาหารแสนอร่อยตรงหน้า ซึ่งเธอก็ได้รับคำชมจากกรกวินทร์กับสุเมธเรื่องความอร่อย คนถูกชมยิ้มแก้มปริ ดีใจที่อาหารทั้งสามอย่างถูกปากชายหนุ่มทั้งสองคน โดยเฉพาะคำชมจากสามีที่ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น และนี่คืออาหารมื้อแรกที่แพรวพรรณรายทำให้สามีทาน แน่นอนที่ว่าจะมีอีกหลายมื้อตามมาเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังมาจากคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียง ทำให้คนที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำชะงักเท้า ทอดสายตาไปยังร่างแน่งน้อยของภรรยาด้วยความสงสาร เพราะรู้ดีว่าสาเหตุของเสียงสะอื้นนั้นมาจากอะไร ถึงแม้เขาจะดูแลเอาใ
Chapter 75 “ไม่ต้องพูดก็ได้นะ ครางอย่างเดียวก็พอ”เขากระซิบกระซาบไล่หลังภรรยา ที่เวลานี้เขินหนักมากกว่าเดิม หน้าร้อนผ่าวและไม่กล้าหันไปมองหน้าชายตัวโตที่เข็นรถเข็นตามหลัง ทั้งคู่ใช้เวลาซื้อของราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจึงเดินทางกลับที่พัก“รถใครคะพี่ทัช” แพรวพรรณรายเอ่ยถามเมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ในโรงรถ“รถของสุเมธ ลูกน้องของพี่” กรกวินทร์ตอบขณะที่เท้าเหยียบเบรกให้รถหยุด “พอดีพี่มีเรื่องด่วนให้เมธจัดการ เลยโทรเรียกให้มาหาพี่ที่นี่”“อ๋อค่ะ”แพรวพรรณรายทำเสียงรับรู้ ก่อนจะก้าวลงจากรถพร้อมกับช่วยสามีถือถุงใส่ข้าวของที่ซื้อมา แต่ทว่าถุงในมือของหญิงสาวก็ถูกมือใหญ่ของกรกวินทร์แย่งไปถือไว้เอง จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินเข้าไปในบ้าน“สวัสดีครับคุณทัช คุณแพรว”สุเมธที่ยืนรับลมทะเลอยู่หน้าบ้านติดชายหาดรีบหมุนตัวเข้ามาในบ้านเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยา เขาจึงทักทายทั้งสองอย่างนอบน้อม เอื้อมมือไปหยิบถุงหลายใบในมือของกรกวินทร์มาถือไว้เอง จากนั้นก็เดินถือถุงไปไว้ในห้องครัว แล้วเดินกลับมาหาเจ้านาย“แพรวขอตัวไปทำกับข้าวก่อนนะคะ พี่ทัชจะได้คุยธุระกับพี่เมธ” แพรวพรรณรายเอ่ยกับสาม