“เป็นอะไรยัยระริน หน้าแดง”
“หา!” ฉันรีบยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองที่มันยังร้อนไม่หาย นี่ขนาดว่าตัวเขาไม่ได้อยู่บริเวณนี้แล้วนะ “ร้อน”
“ไม่สบายหรือเปล่า” น้ำค้างถามแล้วมองหน้าฉันด้วยความเป็นห่วง “แกซ้อมหนักทุกวันขนาดนี้”
“คงมีนิดหน่อยเดี๋ยวกินยาเอา”
“ประกวดอาทิตย์หน้านี้แล้ว สู้ๆ นะ ถ้าติดหนึ่งในสามจะเลี้ยงเบียร์ลังนึง” ยัยจินว่า
“ร้านไหนเขาให้เข้า”
“โอ๊ย ไม่ยากค่ะสาวๆ มีอยู่ร้านนึงกินยันหว่างยังได้เลย” มันพูดอวดแล้วก็ตักข้าวคำโตเข้าปากด้วยความหิว
จินเป็นคนน่ารักแต่มันชอบทำตัวห้าวๆ พูดมาก แถมยังแซวผู้ชายเหมือนไม่จริงจัง แล้วมันก็บ่นว่าจีบใครไม่ติดก็เพราะท่าทางมันเล่นๆ แบบนี้ไงใครเขาจะคิดว่ามันเอาจริง
“งั้นก็จัดไป” น้ำค้างว่าแต่ถูกยัยจินสวนกลับ
“ไหนแกบอกว่าไม่ดื่ม”
“ก็ไปเที่ยวกับพวกแก”
“เดี๋ยวไปทำงานร้านเหล้าก็หัดดื่มกับเขาบ้างนะ” จินบอกเพื่อนแล้วก็หันมาหาฉันต่อ “แกต้องติดหนึ่งในสามเท่านั้นงั้นไม่เลี้ยง”
“คงไม่ได้เสียเงินแล้วมั้ง คณะอื่นเขามีแต่สวยๆ” ฉันบอกแล้วขำกับตัวเอง
“เท่าที่ดูแกก็ไม่แพ้ใครเลยนะ อย่ามาด้อยค่าตัวเอง คนกดไลค์ให้แกเยอะสุดด้วย” ยัยจินเอ่ยแล้วน้ำค้างก็พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าคะแนนจะตกก็อยู่ที่วันนั้นแกทำได้ดีแค่ไหน”
รูปที่ทางสโมสรนักศึกษาลงทางเพจของมหาวิทยาลัยนั้นยอมรับว่าถ่ายออกมาดูดีเลยทีเดียว คนก็แห่เข้ามาชมมากดไลก์รูปของฉันกันหมดไม่คิดว่าตัวเองจะไปถูกตาต้องใจใครขนาดนั้น บางคนถึงกับหาเฟสบุ๊คแล้วทักมาคุยเลยก็มี แต่ฉันก็ตอบไปตามมารยาทไม่ได้สานต่อกับใคร
“ไม่เชียร์ด้วยนะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่ไปสมัครงานใหม่ก็เพื่อแกเลยนะ กลัวต้องเริ่มงานวันนั้น” ยัยน้ำค้างบอกแล้วยิ้มให้ มาคิดดูว่าถ้าวันนั้นยัยน้ำค้างไม่ปฏิเสธอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้ที่มายืนจุดนี้ เพราะเพื่อนฉันมันน่ารักมากๆ
ส่วนยัยจีนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะไปแล้วถึงไม่ถูกคัดตัวถ้ามันไม่ถูกเลือกไปตรงนั้นก่อนคงเป็นอีกตัวเลือก แต่ช่างเถอะในเมื่อมันกลายเป็นฉันแล้วก็ต้องทำมันให้เต็มที่
ช่วงเย็นวันนี้ก็อีกเช่นเคย ฉันต้องมารอซ้อมพวกจินกับน้ำค้างก็ไม่ว่างมาดูฉันถึงต้องมารออยู่ที่หอประชุมคนเดียว ไม่รู้โชคชะตานำพาหรืออะไรเพราะวันนี้ฉันเจอพี่ไม่เนอร์อีกแล้ว ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามารอแต่มันกคิดไปแล้ว
“เจอกันอีกแล้ว” ฉันพูดเบาๆ แล้วยิ้มให้คนตรงหน้า เพราะเขาเดินมาจากอีกทางพร้อมกับถือกล้องตัวหนึ่งมาด้วย
“พี่จะเอากล้องมาคืนเพื่อน แล้วนี่พวกมันยังไม่มาเหรอ”
ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบพี่ไมเนอร์ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะชวนฉันไปนั่งในหอประชุม เขาเดินไปเปิดไฟไม่กี่ดวงแล้วเลือกที่นั่งตรงกลางระหว่างรอรุ่นพี่
“พี่ไมเนอร์ทำงานอะไรในสโมเหรอคะ” ฉันชวนคุยตอนที่เขานั่งลงข้างๆ
ชอบจังผู้ชายตัวหอม มันไม่ใช่กลิ่นฟุ้งเตะจมูกแต่มันหอมจางๆ ทุกครั้งที่เขาขยับตัว
“พี่อยู่ฝ่ายกิจกรรม”
“แล้วก็อยู่ชมรมฟุตบอลด้วยเหรอ” ฉันถามเพราะคุ้นๆ ว่าเขาเคยบอกครั้งหนึ่งตอนที่เราคุยกันผ่านข้อความทุกวัน แต่พอมานั่งคุยกันใกล้ๆ แบบนี้มันไม่ค่อยชินเลย ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“อืม ซ้อมเกือบทุกวันนะ ไม่ไปดูบ้างเลย” เขาพูดแล้วหันมามองหน้าจนฉันต้องรีบเบือนหน้าหนีกลับไปที่หน้าเวทีแทนเพราะไม่กล้าสบตาเขานานหัวใจเต้นโครมครามจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“รินซ้อมทุกวันไง”
“ออ ลืมไป” พี่ไมเนอร์เอ่ยแล้ววินาทีต่อมาเขาก็ทำให้ฉันตกใจ เมื่อมือใหญ่ของเขาขยับมาวางบนศีรษะของฉัน “เหนื่อยไหม”
บอกตามตรงฉันหวั่นไหวกับการกระทำและเสียงเข้มของเขาที่ดังออกมาแบบนั้นมาก ราวกับตกลงไปในเหวลึกที่มองไม่เห็นทางออกเห็นแต่ตัวเขาอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“นิดหน่อยค่ะ” ฉันหันไปยิ้มให้เขาขณะที่หัวใจก็เต้นแรงและเร็วไปด้วย
พอเราหันมาสบตากันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นราวกับเขามีแรงดึงดูดมหาศาล สายตาคู่นั้นมันสื่อถึงความต้องการบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่รู้จักชื่อ
ครืด~
ก่อนที่ความรู้สึกประหลาดนั้นมันจะก่อตัวจนทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิด เสียงหนึ่งก็ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ได้ ฉันรีบล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดรับสาย พี่ไมเนอร์ก็ขยับตัวนั่งท่าเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเขาแทบจะขยับมาชิดตัวฉัน
“คะพี่บ๊วย”
(หนูลูก พี่จะบอกว่าเย็นนี้งดซ้อมนะคะ พอดีอาจารย์มีสอบไม่บอกกันล่วงหน้า ระรินไปซ้อมเปียโนที่บ้านเนอะ อย่างอื่นหนูก็ผ่านหมดแล้ว)
“ออ ได้ค่ะ”
(งั้นแค่นี้นะ พรุ่งนี้เรามาซ้อมหนักอีกวันแล้วพี่จะให้หยุดเสาร์อาทิตย์ไปเลย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราจะล้าเอา)
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่”
พี่บ๊วยวางสายไปแล้วฉันจึงเก็บมือถือของตัวเองเข้ากระเป๋าสะพายก่อนจะหันไปบอกคนข้างตัวที่นั่งเงียบอยู่เหมือนรอให้ฉันบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
“วันนี้งดซ้อมค่ะ” ฉันบอกพี่ไมเนอร์ที่มองไปยังหน้าเวทีนิ่งๆ ไม่รู้คิดอะไรอยู่
บางครั้งเขาก็ดูร่าเริงผิดปกติแต่บางทีก็เหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดมากๆ ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาอะไรมากมาย รู้แค่เรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันในช่วงที่เราคุยกันเท่านั้นว่าตัวเขาอยู่ไหนทำอะไรตลอดเวลาที่เขาพิมพ์ข้อความพวกนั้นคุยกัน
“งั้นเราก็ว่างไปดูหนังกับพี่แล้วสิ” เขาถามแล้วทำเป็นจะยิ้มก็ก็ยิ้ม
“...” ฉันเงียบเพราะคิดคำตอบไม่ออก ใจหนึ่งมันก็อยากไปอีกใจก็ยังไม่กล้าพอ
“เงียบแปลว่าไม่อยากไป”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ไปก็ได้นะกำลังเบื่อๆ” ฉันรีบบอกเพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องสนใจความรู้สึกเขาขนาดนั้นด้วย
คำที่รุ่นพี่บอกไว้ ไหนจะเรื่องที่ได้ยินผ่านหูว่าพี่ไมเนอร์ไม่เคยคบใครจริงจังเลยสักคนมันก็วนเวียนอยู่ในความคิด แต่ใจมันเรียกร้องว่าอยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง จิตใจทั้งด้านมืดและด้านสว่างมันตีกันรวนไปหมด
“แต่ถ้าเราไม่อยากไปพี่ก็ไม่บังคับนะ ถ้าเราไว้ใจอยากไปกับพี่เมื่อไหร่ค่อยไปก็ได้” เขาบอกเหมือนไม่คิดอะไรพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เอารถพี่ไปหรือรถหนู” ฉันตัดปัญหาด้วยการถาม
เขายิ้มแล้วยื่นมาขยี้ผมของฉันจนยุ่งก่อนจะก้มดูนาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมของตัวเอง
“เอารถพี่ไป จอดอยู่ลานหลังคณะ”
“ค่ะ”
-----------------
เก่งนะคะคุณพี่ ลูกสาวชั้นหลงทางแล้ว
กดหัวใจและกดเข้าชั้นเลยค่ะคนสวย
ตอนที่ 23พี่ไมเนอร์เดินมาส่งฉันจนถึงโต๊ะ ระหว่างทางเดินก็มีคนมองตลอดไม่รู้ว่ามองอะไรกัน บางคนที่รู้จักพี่ไมเนอร์ก็แซวเขาใหญ่เล่นเอาฉันเขินจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ให้เขามาส่ง เพราะตอนนี้เหมือนจะตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งร้านเลย“โอ๊ย มาส่งถึงโต๊ะขนาดนี้ก็บอกเขาไปเถอะค่าว่าเป็นแฟนกัน!! “ยายจินแซวพร้อมกับเสียงเพื่อนคนอื่นจนฉันต้องตีแขนมันก่อนจะขยับไปนั่งข้างมัน ส่วนพี่ไมเนอร์ก็นั่งลงข้างฉันอีกฝั่ง“พี่ไมเนอร์จะดื่มอะไร”“เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว” เขาบอกแล้วส่งมา เหมือนพอใจกับอะไรบางอย่าง“มาส่งจริง ๆ”“มาเปิดตัวให้คนอื่นรู้ว่าเรามีเจ้าของแล้ว” เขาพูดประโยคแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยพูด ความรู้สึกของฉันตอนนี้ก็คงไม่ต่างกับเขา มันทั้งเขินทั้งรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน“ขี้โกง”“ขี้โกงอะไร” พี่ไมเนอร์เลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม“ก็มีแต่รินที่เปิดตัวแต่พี่ไม่ได้เปิดตัวที่นุ่นไง แบบนี้พี่ก็ทำตัวโสดได้สบายใจสิ” ฉันแกล้งต่อว่าเขาจนเจ้าตคัวเราะชอบใจ“งั้นเราไปนั่งกับพี่ร้านนู้นไหม”เขาไม่ได้พูดเล่นแต่จริงจังมากในแววตาคู่นั้น จนฉันต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะกลัวว่าพี่ไมเนอร์จะให้ไปจริง ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปแต่
ช่วงนี้พี่ไมเนอร์เอาใจจนฉันได้ใจแล้ว เวลาพูดว่าอยากได้อยากทำอะไรเขาก็จะตามใจตลอด ขนาดที่ว่ายายจินเอ่ยปากบอกว่าสงสารพี่ไมเนอร์ที่ต้องมาตามใจฉัน“แค่แกบอกว่าอยากกินเครปพี่เขาก็แวะ ฉันโคตรสงสาร แล้วร้านนั้นคือรอคิวเป็นชั่วโมง มิน่าล่ะถึงไม่มาสักที” ยายจินบ่นอุบเพราะฉันมันถึงไม่ได้กลับไปตอนสักที ก็พี่ไมเนอร์ยังไม่มาเพื่อนเลยเป็นคนดีที่อยากอยู่เป็นเพื่อน“ฉันแค่ถามว่าเขาผ่านหรือเปล่า ไม่ได้บอกให้แวะ” ฉันพูดไปแค่นั้นจริง ๆใช่ไหมนะ…“เขายอมแกขนาดนี้ ยังไม่รับรักอีกเหรอ” ยายจินกอดอกถาม สายตามันเหมือนหาเรื่องด่าฉันอยู่เลย“มันยังไม่ถึงเวลา”“ระวังเถอะ ถ้าเขาเจอดี ๆ กว่าแกแล้วไม่อยากเหนื่อยเอาใจ แกอย่ามาเสียใจให้เห็น”“ถ้าเขาไม่มั่นคงตั้งแต่ตอนจีบกันแบบนั้นฉันจะถือว่าโชคดีที่ไม่ยอมเป็นแฟน”“นินทาอะไรพี่อยู่เหรอ”เสียงเข้มคุ้นหูทำเอาฉันสะดุ้ง ก็เขาดันโผล่มาจากด้านหลังแบบนี้ตอนที่กำลังพูดถึงใครจะไม่ตกใจ แล้วเมื่อกี้นี้ฉันเพิ่งพูดว่าเขาไปแถมยังเป็นเรื่องที่คิดกันไปเองกับยายจินอีกต่างหากอันที่จริงฉันไม่ได้เก่งอย่างที่ว่านั่นหรอกแต่ตอนนี้ฉันเริ่มเชื่อใจเขาแล้วต่างหากถึงกล้าปากดีและมั่นใจว่าพี่ไมเน
ตอนที่ 22Minor talkก่อนหน้านี้ผมไม่เคยจริงจังกับการรักษาโรคที่ตัวเองเป็นอยู่เลย และใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการปลดปล่อยความอึดอัดที่เกิดขึ้น ทั้งนอนกับผู้หญิงที่คุยด้วยหรือจะช่วยตัวเอง หลังจากนั้นมันก็จะเกิดความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ดี และมันเป็นอย่างนั้นประจำจนกระทั่งต้องตัดสินใจรักษาช่วงแรกที่เริ่มเป็นโรคนี้มันเกิดขึ้นตอนที่ผมเรียนอยู่เพียงมอต้นเท่านั้น ตอนนั้นผมเลือกที่จะช่วยตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ในหนึ่งวันมันสามารถเกิดขึ้นเกิดสิบครั้งเลยหากใช้ชีวิตเงียบ ๆ คนเดียว มันเป็นโรคที่ดูเหมือนปกติแต่ความจริงแล้วไม่เลย มันทรมานจนต้องหาวิธีจัดการ หลังจากทำเรื่องแบบนั้นจิตใจของเราก็จะรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดปกติและน่ารังเกียจทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แต่สาเหตุมันเกิดมาจากครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นของผมตั้งแต่ในวัยเด็ก ผมจำเหตุการณ์พวกนั้นได้เลือนรางแต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเป็นโรคบ้า ๆ นี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก พ่อของผมชอบทำร้ายและตบตีแม่และพาผู้หญิงอีกคนเข้ามาในบ้านจนแม่เสียใจและหนีจากเราไป ตอนนั้นผมอยากไปอยู่กับแม่ใจจะขาดแต่คำสั่งของพ่อทำใ
วันนี้ตอนเย็นฉันนัดกับพี่ไมเนอร์เอาไว้เพราะเขาบอกจะพาไปทานอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งซึ่งกำลังเปิดใหม่และมีโพรโมชัน ‘มาสามจ่ายหนึ่ง’ แต่เรามากันแค่สองคน นั่นหมายความว่าโพรโฒชันที่ว่ามานั้นไม่ได้มีผลอะไรเลยตลกตรงที่เขาพูดถึงโพรโมชันนี้แต่พอฉันบอกว่าควรหาเพื่อนไปด้วยอีกคนพี่ไมเนอร์ก็บอกว่าไม่ยอมเพราะอยากไปด้วยกันสองคน“ถ้าพาเพื่อนมาอีกคนก็หารสาม คุ้มกว่านี้ไหมคะ” ฉันดูราคาที่พนักงานเพิ่งส่งมาให้ดูแล้วบอกกับคนเสนอตัวจ่ายเต็มราคานั้นอย่างภูมิใจที่ได้เลี้ยงฉัน“พ่อเราบอกว่าให้พี่อยู่กับสิ่งที่ชอบ”“…”“พี่ก็เลยอยากอยู่กับเราแค่สองคน”“ไร้สาระค่ะ”จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้แกล้งถามเรื่องของยายพี่เมย์อะไรนั่นเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี กลัวเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนชอบหาเรื่องทะเลาะ หรือไม่ก็คิดว่าฉันเอาใจเขามากมายเดี๋ยวได้ใจเอา“อิ่มไหม หรืออยากไปทานอะไรต่อ”“พี่เพิ่งพารินทานบุฟเฟต์นะคะ ไม่ใช่น้ำเปล่า ถามมาได้รินกินเยอะขนาดนั้น ถ้าน้ำหนักขึ้นรินจะโทษพี่ไมเนอร์” ฉันบิดปากคว่ำมองเขาอย่างเอาเรื่อง ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาวันนี้คงกินเยอะจนลืมเรื่องน้ำหนัก“ถึงเราจะตัวกลมเท่าหมูพี่ก็รัก น่ารักแน่ ๆ”“ข
ตอนที่ 21หลังจากส่งพี่ไมเนอร์ลงจากรถเสร็จฉันก็กลับมาห้องของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วปกติถ้าไม่มีภารกิจอะไรหรือมีเรื่องให้คิดมากจนนอนไม่หลับฉันต้องเข้านอนและหลับปุ๋ยไปแล้ว ทว่าวันนี้มันต่างออกไปตรงที่มีคนขอให้รอเขาโทร.มาเพื่อที่จะบอกฝันดีก่อนนอน“อาบน้ำเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”ทันทีที่กดรับสายจากพี่ไมเนอร์ฉันก็ถามด้วยความประหลาดใจ แต่ดูเวลาบนหน้าจอตอนนี้มันก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่เราแยกจากกัน(“ถึงห้องก็อาบเลย กลัวเราจะง่วง”)“ง่วงแล้วค่ะ พรุ่งนี้รินมีเรียนเช้าด้วย จะนอนแล้วนะ”(“โอเคพี่ก็จะนอนแล้ว”) เขาพูดจบก็ได้ยินเสียงคล้ายกำลังกระโดดลงที่นอน แล้วเสียงพูดของเขาก็อู้อี้อยู่กับหมอนแน่ ๆ (“ฝันดีนะครับ”)“ฝันดีค่ะ”(“ชอบจริงนะ”)ฉันเผลอยิ้มอยู่คนเดียวกลางที่นอนเหมือนเป็นคนบ้า ทั้งที่ช่วงนี้ได้ยินพี่ไมเนอร์บอกว่าชอบออกจะบ่อยกว่าคำอื่นเลยด้วยซ้ำ เกลียดเขาที่ทำให้ฉันใจอ่อนยวบแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือฉันเองที่มันใจง่าย“ถ้าพูดจริงรินก็จะรับไว้นะ”(“พูดจริงครับ”)“วางแล้วนะ”(“พรุ่งนี้เจอกัน”)“ค่ะ”หลังจากกดวางสายปากของฉันมันก็ยังไม่ยอมหุบยิ้มจนต้องยกฝ่ามือขึ้นมา ใช้นิ้ว
อีกสิบนาทีออกมาเจอกันหน้าร้านหลังจากผ่านไปสิบนาทีอย่างที่ว่านั้นฉันก็มาถึงร้านเหล้าร้านหนึ่งพอดี เห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินออกมาจากประตูร้านฉันจึงเดินลงจากรถแล้วตรงดิ่งไปหาเขา ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันจะไม่มองได้ไงล่ะ ก็ฉันใส่ชุดนอนมาร้านเหล้าความกล้าหาญที่พกมาเต็มร้อยตอนนี้เหลืออยู่แค่ยี่สิบส่วนร้อยเท่านั้น ยิ่งตอนที่พี่ไมเนอร์กอดอกมองมาฉันยิ่งขาดความมั่นใจ ตอนนี้จะเรียกว่าสติมันกลับคืนมาหาตัวแล้วก็ว่าได้“ใส่มาทำไมแบบนี้” คำแรกที่เขาเอ่ยทักทายกันพร้อมกับทำคิ้วขมวดใส่แถมด้วยสายตาดุ ๆ“ก็จะมาคุยแค่แป๊บเดียว” ฉันตอบแล้วหยุดยืนอยู่ตรงริมฟุตพาท ยกแขนสองข้างขึ้นมากอด“อย่างกับคนมาตามผัวกลับบ้าน” แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมาเพราะคำพูดของตัวเอง“แล้วสรุปจะเอายังไงคะ พูดดิบดีว่าจะไม่ดื่มเหล้า เหอะ!” ฉันถามแล้วหัวเราะเยาะเบา ๆ“แล้วคุยอะไรกับมัน ทำไมต้องจับมือถือแขน”“เขามาขอคุยค่ะ แล้วรินก็ไม่ได้ขอให้เขาจับถ้าเห็นแค่นั้นแล้วพี่ไมเนอร์จะเข้าใจผิดไม่มีเหตุผลก็แล้วแต่เลย”เขามองมาแล้วเงียบ ดวงตาคู่คมนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันนึกไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะดีขึ้นกว