"ป่วยก็ไปรักษา! ไม่ใช่มาทำคนอื่นเดือดร้อน!" เขาป่วยเป็นโรคติดเซ็กส์ เขาต้องการแค่เซ็กส์ แต่เธออยากได้ความรักดี ๆ
Lihat lebih banyak“รหัสที่พี่จะเรียกต่อไปนี้ ช่วยออกมาหาพี่ๆ ด้านนอกด้วยค่ะ”
“…”
“ศูนย์สามสอง ศูนย์แปดเก้า หนึ่งห้าสี่ หนึ่งห้าแปด สามหนึ่งหก...”
ทันทีที่เสียงของรุ่นพี่ปีสามเงียบลงเสียงซุบซิบคุยกันของเหล่านักศึกษาชั้นปีหนึ่งก็ค่อยๆ ดังขึ้น ฉันกับน้ำค้างหนึ่งในเพื่อนสนิทต่างหันมามองหน้ากัน กำลังจะอ้าปากถามกันเสียงของประธานชมรมเชียร์ของคณะก็ดังกังวาลขึ้นเสียก่อน
“อย่าเสียงดัง อย่าคุยกัน ตั้งใจท่องเนื้อเพลงค่ะ”
เสียงที่ดังแซงแซ่เงียบลงทันที ฉันกับน้ำค้างจึงพยักหน้าให้กันแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ยัยจินเพื่อนสนิทอีกคนของเราก็ส่งสายตาเป็นเชิงให้กำลังใจมาให้
ก่อนหน้านี้เราอยู่ในห้องซ้อมร้องเพลงเชียร์ของคณะ ซึ่งจะมีทุกเย็นวันพุธ เป็นการซ้อมร้องเพลงของคณะและเพลงมหาวิทยาลัยที่ต้องใช้ร้องในแต่ละกิจกรรม ถือเป็นเรื่องที่ทำต่อๆ กันมาทุกปี และคณะนิเทศศาสตร์ขึ้นชื่อเรื่องการร้องเพลงเชียร์ประสานเสียงที่เพราะที่สุดด้วย
“คือที่พี่เรียกพวกเรามานี้เเพราะพวกพี่จะคัดตัวแทนปีหนึ่งไปประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย เลยอยากให้น้องทำตามหัวข้อนี้ให้พี่ดู…” พี่ปีสามคนหนึ่งอธิบายรายละเอียด ฉันกับน้ำค้างก็ตั้งใจฟังก่อนจะหันมามองหน้ากันอีกครั้ง
เราสองคนรู้จักกันได้สองเดือนแล้วตั้งแต่วันที่มาลงทะเบียนจนถึงวันนี้ สนิทกันเพราะวันแรกที่มาลงทะเบียนเรียนยัยน้ำค้างไม่ได้เตรียมเงินมาจ่ายค่าชุดนักศึกษาสำหรับงานพิธีการของมหาลัยแล้วฉันเป็นคนช่วยจ่ายก่อนทั้งหมด
ส่วนจินเพื่อนอีกคนนั้นเรามารู้จักกันตอนรับน้องช่วงอาทิตย์แรกแต่พวกเราสามคนก็สนิทกันมาก
“ค้างขอบายนะคะ ไม่มีเวลาค่ะเพราะทำงาน” น้ำค้างยกมือขึ้นพูด
ฉันพอจะรู้มาอยู่บ้างว่ามันค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเงิน ต้องทำงานเสริมเพื่อส่งตัวเองเรียน ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยและคณะจัดขึ้นเท่าไหร่
“อีกแล้วเหรอ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูด น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยชอบใจนักจนยัยน้ำค้างทำหน้าไม่ถุกไปด้วย
“ไม่เป็นไรนะ” ฉันตบที่ไหล่ของเพื่อนเบาๆ เป็นการปลอบใจ รู้ว่ามันคงไม่สบายใจที่ต้องทำแบบนี้แต่จะทำยังไงได้ล่ะ คนเรามันก็มีเหตุผลของตัวเอง คนอื่นไม่ได้มาลำบากด้วยสักหน่อย
“น้องระรินมีความสามารถพิเศษอะไรคะ” พี่บ๊วย รุ่นพี่สาวสองคนหนึ่งถามฉันแล้วจ้องหน้าตาไม่กระพริบ
“เอ่อ มะ...ไม่มีค่ะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ แล้วหลบสายตาของรุ่นพี่กลับมาที่หน้าเพื่อน
“แต่ในใบสมัครกับใบลงทะเบียนเราเขียนไว้ว่าเล่นเครื่องดนตรีได้สามชนิด” รุ่นพี่พูดเสียงเรียบยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “คนอื่นเขาอยากขึ้นเวทีกันหมดทำไมเราไม่อยากทำล่ะจ๊ะ”
“คือ...รินไม่ค่อยมีความมั่นใจค่ะพี่”
จริงอยู่ว่าฉันเล่นกีต้าร์ เปียโนและไวโอลินได้บ้าง เพราะพ่อส่งเสริมให้เรียนทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้เอาสิ่งไหนไปสานต่อเลยเพราะยิ่งโตขึ้นฉันก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ จะมีเล่นบ้างตอนงานโรงเรียนกับเพื่อน
ถึงแม้หลายคนจะชมว่าเล่นดีเล่นเก่งก็เถอะ ฉันไม่เคยเอาจริงเอาจังกับพวกมัน เหตุผลก็เพราะมันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ฉันอยากจะเอาพวกมันทิ้งไปจากชีวิต
เมื่อตอนที่ฉันไปเรียนดนตรีกับครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชายอายุห้าสิบกว่าในขณะนั้น เขาทำในสิ่งที่น่าขยะแขยงสำหรับฉัน เขาพยายามจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ หากไม่มีคนเข้าไปช่วยทันฉันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สิ่งนั้นทำให้ฉันกลัวไม่อยากไปเรียน ไม่อยากจับเครื่องดนตรีพวกนั้นอีกเลย
“เดี๋ยวพวกพี่จะเรียกน้องๆ เข้าไปทีละคนนะคะ คนอื่นๆ ก็นั่งรอไปก่อน คนแรกน้องโอชิน ต่อด้วยน้องบี๋ น้องนุ่น...แล้วก็น้องระรินค่ะ”
หลังจากนั้นพี่ๆ ก็เรียกปีหนึ่งที่ถูกคัดตัวมาเข้าไปในห้องทีละคน จนกระทั่งถึงคิวของฉันที่นั่งรอเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ยัยน้ำค้างก็ถูกตัดออกจากตัวเลือกไปนั่งเป็นกำลังใจแทน ตอนนี้มือของฉันมันเย็นเฉียบไปหมดเพราะไม่รู้ว่าเข้าไปในนั้นจะต้องเจอคำถามหรือให้ทำอะไรบ้าง
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือให้ไหว้พวกรุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
มีรุ่นพี่นั่งอยู่ในห้องราวหกถึงเจ็ดคน ห้องนี้ไม่ได้มีแสงสว่างมากนักแต่จะมีไฟตรงกลางห้องซึ่งส่องลงมาตรงที่ฉันยืนอยู่พอดี มีกล้องตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า ไฟกะพริบสีแดงปรากฏอยู่บอกให้รู้ว่ามันกำลังทำงาน เล่นเอาฉันประหม่าไปหมดเพราะมันอย่างกับรายการโทรทัศน์ที่กำลังคัดนักร้องนักแสดงไม่มีผิด
“น้องระริน เคยประกวดอะไรมาบ้างไหมคะ”
“ไม่เลยค่ะ” ฉันรีบตอบ ทั้งที่ในใจผุดขึ้นมาได้ว่าเคยเข้าประกวดหนูน้อยนพมาศตั้งแต่สมัยเด็กจนได้ฉายาหนูน้อยร้อยสายสะพาย เพราะแม่พาเดินสายประกวดจนกระทั่งฉันอยู่ในวัยที่ปฏิเสธได้แม่ถึงยอมให้หยุดเพราะฉันเหนื่อยมากจนไม่ไหวและมีพ่อคอยช่วย คอยพูดว่าฉันควรได้ทำในสิ่งที่เด็กควรทำ เติบโตอย่างอิสระ
หลังจากนั้นแล้วยังเคยเป็นดาวโรงเรียนแบบถูกเพื่อนบังคับให้ลงแข่งแลกกับการไม่ต้องเป็นหัวหน้าชั้นอีก ขืนบอกไปแบบนั้นคงได้กลายเป็นตัวตลกที่รุ่นพี่หัวเราะเยาะ เดี๋ยวพวกรุ่นพี่จะหาว่าฉันอยากลงประกวดครั้งนี้จนเอาตำแหน่งกระจอกงอกง่อยมาอวด เข้าใจกันผิดไปหมดแน่
“อืม ลองแนะนำตัวคราวๆ ให้พี่หน่อยสิ ไม่ต้องเกรงนะ เอาแบบที่เราสบาย เหมือนแนะนำตัวกับครูหน้าห้อง”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวรินรดา รัตนประภาศิริ นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะนิเทศน์ศาสตร์ สาขาวิชาการโฆษณาค่ะ”
“น้องระรินมีความสามารถอะไรบ้างคะ”
ฉันหยุดคิดสองวินาที อยากจะบอกว่าไม่มีเหมือนก่อนหน้าแต่พวกเขาคงรู้หมดแล้วเพราะพี่บ๊วยก็เพิ่งจะว่าฉันไป จึงต้องบอกไปตามความเป็นจริง
“ที่พอเล่นได้ก็กีต้าร์ เปียโนและไวโอลินค่ะ”
“ถนัดอะไรมากที่สุดคะ”
“เปียโนค่ะ”
เหตุผลก็เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แม่สอนตั้งแต่เด็กและเรียนเพิ่มกับครูผู้หญิงอีกคน ก่อนที่จะไปเรียนกับไอ้แก่คนนั้น แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้นฉันก็อยู่ห่างจากสายดนตรีมาตลอดและพ่อกับแม่ไม่ได้รบเร้าให้ทำเหมือนอย่างเคย ถ้ากลับไปเล่นอีกก็อาจจะต้องรื้อฟื้นมันหนักหน่อย
------------------
เรื่องที่สองของเซต รุ่นพี่ เป็นพี่ไมเนอร์เองค่า
ผู้ชายที่จะทำให้คุณนักอ่านหมั่นไส้อยากหยิกหูพี่แกเบาๆ อิอิ
ขอฝากกดติดตามไรท์ กดหัวใจ และกดเข้าชั้นกันด้วยนะคะ ❤️
ผมเดินลงจากตึกเพื่อที่จะไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ มีไอ้บูมเดินตามมาเงียบๆ เพราะมันรู้ดีว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดอยู่มันก็เลือกที่จะเงียบแทนการพุดเล่นอย่างที่ผ่านมาพอมาถึงลานจอดรถ มีกลุ่มเด็กวิศวกรรมศาสตร์ปีสามกลุ่มหนึ่งกำลังจะเดินสวนมาพอดี หนึ่งในนั้นคือไอ้คนที่มันขับรถตามระรินไปเมื่อคืน ตอนแรกผมไม่ได้สนใจแต่มันจ้องหน้าผมตั้งแต่ก่อนนี้จนผมอดไม่ได้ที่จะถาม“มึงมองอะไร” ผมถามรุ่นน้องต่างคณะด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะเห็นมันมองหน้าผมตั้งแต่เมื่อกี้ไม่ชอบหน้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไอ้ห่านี่“มึงเคยโดนหมาคาบไปแดกหรือเปล่าวะ” มันไม่ตอบผมแต่หันไปพูดกับเพื่อนของตัวเองพร้อมกับหัวเราะ“ไอ้ไม!”“มึงอยากมีเรื่องกับกู!?”ผมถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อของมันแล้วเหวี่ยงมันลงกับพื้นก่อนจะปล่อยหมัดใส่หน้ามันหนึ่งทีด้วยความโมโห โกรธจัดที่มันพูดลอยๆ แบบนั้นทั้งที่ใครก็ดูออกว่ามันกำลังตั้งใจต่อว่าผมอยู่“อะไรวะพี่” ไอ้คนที่อยู่ด้านล่างทำท่าหลบหมัดของผมอีกทีแต่มันก็ยังปากเก่ง“ไอ้ไม พอๆ ในมอนะเว่ย”ไอ้บูมลากตัวผมออกมา เพื่อนของไอ้เด็กนั่นก็พยุงมันขึ้นบ้าง มันทำหน้าหงอทั้งที่ก่อนหน้านี้ปากเก่งชิบหาย มันคงคิดว
Minor“มึงมันชั่วแท้ กูบอกจะตามไปรับเสือกให้กูกลับก่อน”“เสือก”“แล้วมึงไปโดนอะไรมา เชี่ย น้องเขาสายนี้นี้เหรอวะ”ไอ้บูมยังตามหาเรื่องไม่เลิก ตั้งแต่เห็นหน้าผมที่เข้ามาในห้องทำงาน บนตึกสโมสรนักศึกษามันก็พุ่งเป้ามาที่ผมทันที ผมไม่ตอบแล้วเดินหนีมันออกมาด้านนอก ยกมือขึ้นลูบหน้าและลำคอของตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยเล็บที่เล่นเอาแสบไปทั้งตัวไม่ใช่แค่หน้า คนบ้าอะไรโกรธได้รุนแรงขนาดนี้แผลที่เกิดตั้งแต่ตอนเช้าตอนนี้มันแดงจนคนอื่นมองกันหมด แต่ก็มีไอ้บูมนี่แหละที่กล้าทักผมคนแรงเพราะมันอยากเสือกเรื่องของผมอยู่แล้ว“กูถามจริง มึงได้น้องเขาแล้วสินะ”เป็นอีกคำถามที่ผมไม่ตอบ นั่งลงกับที่นั่งติดระเบียงแล้วควักเอามือถือของตัวเองออกมา ผมเลือนหาช่องแชทของใครบางคนที่ไม่ได้คุยกันนานมากจนแทบหาไม่เจอ ตั้งใจจะส่งข้อความไปถามไถ่แต่สุดท้ายก็ต้องกดออกจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร ผมไม่ได้รู้สึกผิดสักหน่อย เราก็เมากันทั้งคู่หรือเปล่าวะแต่ทำไมยัยนั่นพูดเหมือนขืนใจเธอเลยแม่ง!“แล้วทิ้งเลยไหม คนนี้มึงกว่าจะได้มารักษาไว้อีกหน่อยสงสารเขา”“เขาทิ้งกูไปแล้ว” ผมบอกเสียงเรียบ“เออ พูดแล้วดูดี น่าสงสารโคตร”มันไม่เชื่อทั้งที่ผมพูด
เมื่อแก่นกายใหญ่ของเขาแทรกลึงอยู่ภายในจนสุดความยาว ชนเข้ากับผนังภายใจจนรู้สึกเสียวซานซ่าน เราสบตากันแม้ไม่ได้พูดอะไรแต่รับรู้ได้ว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน และมีความรู้สึกที่ซ้อนบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ภายในใจของฉันแต่กลับเรียกชื่อไม่ถูกเสียงเนื้อกระทบเนื้อยังคงดังต่อเนื่อง ทุกท่วงท่าทำนองที่เขาสอนผ่านกิจกรรมรักคืนนี้ดูเหมือนจะยาวนานเหลือเกิน ค่ำคืนที่สุขสมนี้ไม่มีทีท่าจะจบลง ร่างกายของฉันและเขายังคงเรียกร้องเข้าหากันราวกับแม่เหล็กต่างขั้ว ความรู้สึกลึกซึ้งเกิดขึ้นและแผ่ซ่านอยู่ในอกอย่างไม่รู้ตัว ฉับควบคุมร่างกายไม่ได้และเขาก็อาจจะเป็นอย่างนั้นเสียงครวญครางของเราทั้งคู่ดังระงมผสมผสานกับเสียงกระทบกันของผิวเนื้ออยู่ค่อนคืนจนไม่รู้ว่ามันไปจบลงที่ตรงไหน ตอนไหน ฉันสลบเหมือดไปอย่างไร้เรี่ยวแรงหลังจากปลดปล่อยความต้องการที่แสนทรมานนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่นั้นจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำฉันค่อยๆ ขยับเปลือกตาปรือขึ้นในความสลัว มีแสงจากภายนอกลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเพียงนิดทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันแต่ไม่รู้เลยว่ามันกี่โมงยามแล้ว แถมยังไม่คุ้นชินกับสถานที่เอาเสียเลย ทั้งกลิ่นทั้งมุมห้อที่พอมองเห็นอยู่ตอน
“อยากได้ ลองใส่เข้ามาเลยได้ไหม” ฉันบอกความต้องการของตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบพร่าทรมานลมหายใจหอบถี่ราวกับเหนื่อยจากการวิ่งมาเป็นสิบกิโลทั้งที่ยังนอนอยู่เฉยๆ ขยับแค่เพียงสะโพกที่บดเบียดเรียกร้องต้องการ“ใจร้อนจัง เมาแล้วเป็นอย่างนี้เหรอเรา” เขาหัวเราในลำคอ แต่คำพูดเหล่านั้นฉันไม่ได้สนใจเพราะสายตาหยุดอยู่ตรงแท่งลำใหญ่ที่ไม่เคยพบเจอตรงหน้าพี่ไมเนอร์หยัดตัวตรงใช้มือกอบกำแท่งลำร้อนรูดขึ้นลงไปมา มันแข็งขึงจนชันชีมาตรงหน้าของฉันจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ อึกใหญ่ ฉันขยับตัวขึ้นนั่งแล้วคลานเข่าเข้าไปหาเขาแล้วเหลือบมองคนตัวสูง ไม่รู้ว่าสีหน้าของฉันตอนนี้เป็นยังไงแต่เขายิ้มอย่างพอใจ“รินลองทำได้ไหม” ฉันไม่พูดเปล่าเอื้อมมือไปจับแก่นกายของเขาอย่างรีบร้อน กอบกำความเป็นชายเอาไว้แน่นก่อนจะรูดขึ้นและลงแบบที่เขาทำ“อื้ม” เขาคำรามในลำคอ ขยับตัวไปนั่งพิงกับหัวเตียงแล้วกุมมือของฉันที่จับส่วนนั้นของเขาเอาไว้ “ทำให้พี่หน่อยครับ”คำพูดของเขาฉันไม่นึกสงสัย ขยับตัวไปอยู่ตรงกลางคลานเข่าเข้าหา เงยหน้ามองสบตากับผู้ชายตรงหน้าอย่างท้าทาย เอื้อมมือไปจับแท่งร้อนที่กำลังแข็งชูชันเอาไว้แล้วขยับตอกขึ้นลง เพียงแค่นั้นความทรมานตร
ฉันนั่งอยู่บนตักของเขา ซบไหล่ไหล่กว้างนั้นจนเขาขับมาถึงที่ไหนสักแห่งแต่กลับไม่อยากสนใจ ให้เดาคงเป็นลานจอดรถเพราะมันค่อนข้างมืดและชวนให้หายใจติดขัด“ลงรถ”“ไม่...” ฉันส่ายหน้าไปมาช้า ๆ ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ “ไม่ไหว อุ้มลงได้ไหม”ฉันไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบ้าง คล้ายสติมันเหลืออยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ก็พอจะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกอุ้มลงจากรถแล้วความทรงจำส่วนนั้นก็หายไปจนกระทั่งดวงตากระทบกับแสงภายในห้องแห่งหนึ่ง“ไปอาบน้ำ” เสียงนั้นดังแว่วอยู่ไม่ไกล “ไหวไหม”“ไม่” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั้นแหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยินฉันพยายามเรียกสติของตัวเองที่มันล่องลอยไปไกลให้กลับมาได้นิดหน่อย ลืมตามองเห็นห้องที่แปลกตา กับผู้ชายที่เปลือยท่อนบนมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่รอบเอว ท้องน้อยมันก็เริ่มรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง“มาดิ...”ฉันไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้างต่อจากนั้น แต่พอคนฟังได้ยินเขาก็ขยับขึ้นมานั่งคร่อมตัวฉันเอาไว้ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากแบบที่เคยเห็นอยู่บ่อย ๆริมฝีปากหนาขยับลงมาทาบทับ เพียงแค่นั้นร่างกายของฉันมันก็เหมือนถูกหลอมจนละลาย เคลิบเคลิ้มกับรสจูบหวานหอมจนไม่มีสติควบคุมอีกต่อไป ริมฝีปา
“ไปทางไหน”“คอนโดเวเนเซีย รู้จักไหม” ฉันบอกเสียงเรียบไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา เหตุผลหนึ่งก็เพราะทำตัวไม่ถูก บวกกับสมองที่กำลังมึนเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่ผสมปนเปกันไปหมดตอนที่ยัยหมวยสั่งมาเพิ่มพี่ไมเนอร์ไม่ตอบแต่พอหันไปก็เห็นว่าเขายิ้มอยู่จนฉันต้องเป็นคนตั้งคำถามเองอีกรอบ คนบ้าอะไรชอบทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่เรื่อย“ยิ้มอะไร”“ไม่กลัวเหรอ”“กลัวอะไรคะ” ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร แถมหัวใจก็เต้นรัวจวนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว“โรคจิตไง” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างกับคนโรคจิตจริงๆ“ไม่ตลกนะ ถ้าคิดอะไรชั่วๆ ก็ไม่ต้องไปส่ง” ฉันบอกตอนที่รถแล่นออกจากหน้าร้านพอดี “จอดข้างหน้านี้เลย”“ทำไม อยากไปกับไอ้วิศวะนั่น” คำถามของเขาออกแนวประชดประชัน “ไม่ได้ยินเหรอว่ามันมีเมียแล้ว”ตอนที่กำลังจะอ้าปากเถียงคนข้างๆ ฉันก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง เริ่มจากคลื่นไส้แต่ก็คืดว่ามันคงเป็นเพราะเครื่องดื่มที่ดื่มผสมกันไปหมดเพราะยัยหมวยมันสั่งมาเพิ่ม“พี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขานะ ผู้หญิงก็รออยู่ ออ ใจดีมาส่งรุ่นน้องแล้วค่อยไปต่อ พ่อพระ” ฉันแอบหัวเราะในลำคอเลียนแบบสิ่งที่เขาชอบทำบ้าง
Komen