ไปรับตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวง เฉียวม่อไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย นางมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้โดยสัญชาติญาณนี่เป็นความคิดของศิษย์พี่หรือ?ไม่ เป็นไปไม่ได้ฝ่าบาทคงไม่ถึงขนาดฟังคำพูดของสตรีผู้หนึ่งหรอก ทรงจะแต่งตั้งให้นางเป็นองครักษ์อารักขาประตูอะไรนั่นนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!เฉียวม่อกระวนกระวายใจยิ่งที่จริงแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันที่จู่ ๆ เซียวอวี้ตัดสินใจทำเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนวานเขายังซักถามวัตถุประสงค์ของนางด้วยความสงสัยอยู่เลยยามที่นางมองไปที่เขา เขาเองก็หันมามองนางเช่นกัน แววตาเฉยชานั้นกลับพูดสิ่งที่มีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจ “เช่นนี้ เจ้าพอใจหรือไม่?”เมื่อฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าทำอะไร เจ้าย่อมไร้หนทางในการปฏิเสธจากนั้นเซียวอวี้ก็ออกคำสั่งเฉียวม่อต่อทันที“การรับตำแหน่งเป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าต้องออกเดินทางภายในสามวัน”“ฝ่าบาท...” เฉียวม่อยังคงพยายามกอบกู้สถานการณ์แม่ทัพเมิ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้า “กระหม่อมขอขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทแทนบุตรสาวพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นก็ส่งสายตาให้เฉียวม่อทูลขอบพระทัยเฉียวม่อที่ไม่ยินยอมพร
ไม่ว่าไทเฮาจะถามอะไร นางสนมเจียล้วนตอบทั้งหมด“หม่อมฉันให้คนไปสืบที่วิหารบรรพบุรุษมา กลับไม่พบแม้แต่เงาของฮองเฮา หม่อมฉันจึงได้ข้อสรุปว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฮองเฮาเพคะ”สีหน้าไทเฮาเคร่งขรึมขึ้น“นางสนมเจีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าการพูดเหลวไหล แต่งเรื่องโกหก จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่าฮองเฮาไม่อยู่ที่วิหารบรรพบุรุษ?”นางสนมเจียพยักหน้า“เป็นเรื่องจริงเพคะไทเฮา! หม่อมฉันกล้าใช้ชีวิตรับประกันเพคะ”ไทเฮายังคงรู้สึกกังขาในเรื่องนี้นี่ช่างแปลกเสียจริงหากฮองเฮาไม่อยู่ที่วิหารบรรพบุรุษ เช่นนั้นช่วงที่ผ่านมานางไปที่ไหนกัน?เรื่องของฮ่องเต้ นางย่อมไม่อาจสืบเสาะได้ทว่านางไม่จำเป็นต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากนางสั่งนางสนมเจียว่า“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกนะ“ทว่าเท่าที่ข้าสืบความมาได้ ฮองเฮาไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอะไร นางใกล้จะกลับมาแล้ว หากเจ้าอยากไขข้อสงสัยให้กระจ่างก็ไปถามนางเป็นการส่วนตัวได้”นางสนมเจียแสดงสีหน้าดีอกดีใจ“จริงหรือเพคะ!”ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฮองเฮาก็ดีแล้ว!ไทเฮากำชับอย่างเป็นห่วง“หากครั้งต่อไปมีเรื่องอะไรก็
คนงานผู้นั้นยังอยากพูดอะไรอีกซักหน่อย ทว่าเมื่อเซียวอวี้ส่งสายตาดุดันมา เขาก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและหุบปากอย่างว่าง่ายในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงคิดว่าเซียวอวี้มีความเคยชินที่แปลกดีถึงอย่างไรในค่ายทหารก็มีคนชอบว่ายน้ำในฤดูหนาว บอกว่าทำเช่นนี้จะทำให้ร่างกายแข็งแรงสามวันจากนั้นก็เดินทางถึงเมืองหลวง ก่อนที่จะเข้าไปในวัง เหลียนซวงถูกส่งมาอยู่ข้างกายนางเหลียนซวงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก“ฮองเฮา!”เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถามถึงได้รู้ว่าหลังจากที่นาง ‘ตาย’ เซียวอวี้สร้างเรื่องโกหกว่านางอยู่ที่วิหารบรรพบุรุษมาโดยตลอด และเพื่อกลบเกลื่อนให้แนบเนียน ยังได้ส่งเหลียนซวงไปอยู่ที่นั่นหลังจากกลับวัง เซียวอวี้ก็เริ่มสะสางราชกิจเฟิ่งจิ่วเหยียนก็อาศัยอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอ ดำรงตำแหน่งฮองเฮาของนางต่อไปทุกอย่างดูสงบสุขดี ทว่าความจริงแล้วคลื่นใต้น้ำกำลังเชี่ยวกรากเมื่อรอบด้านไม่มีใครอยู่ เหลียนซวงถึงกล้าเอ่ยปากถาม“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทหาตัวท่านเจอหรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายหน้า“ไม่ใช่”หากนางไม่ยินดีปรากฏตัว เซียวอวี้ย่อมหานางไม่เจอยามนี้กักเฉียวม่อไว้ในเมืองหล
เมื่อพูดถึงการปรนนิบัติ เซียวอวี้ถึงได้เห็นว่าสีหน้าของนางมีการเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าความเปลี่ยนนั้นจะเล็กน้อยมาก ก็ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้นั่นเป็นสีหน้าของความตื่นตระหนก ขัดแย้ง และต่อต้านขัดขืนเซียวอวี้โกรธจนหัวเราะ“ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดได้เพียง ‘เพคะ’ หรอกรึ”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูลำบากใจอยู่บ้างนางอ้าปาก ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรยามนี้พูดให้น้อยจึงจะดีโชคดีที่เซียวอวี้ทนการปฏิบัติอย่างเย็นชาของนางไม่ไหว ไม่นานก็จากไปสองวันต่อมาเฉียวม่อก็มาถึงเมืองหลวงและรับตำแหน่งเป็นองครักษ์อารักขาประตูนางเข้าวังเพื่อแสดงความขอบคุณเป็นสิ่งแรกความรู้สึกที่เซียวอวี้มีต่อนางนั้นย้อนแย้งเป็นอย่างมากด้านหนึ่ง หากไม่ใช่นางเปิดเผยข้อมูลออกมา เขาไม่มีทางหาฮองเฮาพบได้เร็วขนาดนี้ทว่าอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่หักหลังคนอื่นย่อมไม่ใช่คนดีเขาไม่เคยโอ้อวดว่าตนเป็นสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม ทว่าเขาดูถูกคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ก่อนที่เฉียวม่อจะออกจากวัง คนของตำหนักหย่งเหอก็ส่งคนมารับนางนางเดาไว้แต่แรกแล้วเมื่อเข้ามาในตำหนักหย่งเหอก็พบเพียงศิษย์พี่ผู้เดียวเท่านั้นนางยังคงถวายคำนับอย่างเคารพนบนอบ
“กุ้ยเหริน ท่านเป็นอะไรไปหรือเพคะ?” สาวใช้ชิวหงถามอย่างเป็นห่วงมู่หรงฉานรีบเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ ใบหน้าโอบอ้อมอารีเหมือนปกติ ทว่าเลือดในกายกลับไหลเวียนเร็วขึ้น แอบให้กำลังใจตัวเองลับ ๆ “ไม่มีอะไร”สองวันต่อมาณ ตำหนักหวั่นโซ่วไทฮองไทเฮาฟังที่มู่หรงฉานพูดจบ พลันระเบิดอารมณ์ออกมาทันที“ได้เยี่ยงไรกัน! พวกตระกูลเฟิ่ง…พวกเขากล้าดีอย่างไร!”นางโกรธไม่เบา ความบริสุทธิ์ผุดผ่องจากการกินมังสวิรัติปฏิบัติธรรม พลันพังทลายลงในชั่ววินาทีนี้จากนั้นนางก็ถามมู่หรงฉานว่า“ฉานเอ๋อร์ เรื่องนี้ เจ้าตรวจสอบมาดีแล้วจริง ๆ หรือ?”มู่หรงฉานพูดความจริงกับนาง“ยามได้รับจดหมายลับนั้นครั้งแรก หม่อมฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันเพคะ“แต่เมื่อคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่สามารถทนมองท่านกับฝ่าบาทถูกหลอกได้“ด้วยเหตุนี้ หม่อมฉันจึงไหว้วานให้ท่านพ่อส่งคนไปที่วัดหลงหัว ทันทีที่สืบเจอว่าเป็นเรื่องจริง ถึงได้รีบมาทูลรายงานท่านในทันที”ไทฮองไทเฮามีความน่าเกรงขามล้นเหลือ แม้นดวงตาจะเริ่มฝ้าฟาง แต่ความคิดความอ่านมิได้มืดบอด“จะยังไม่กล่าวถึงผู้ส่งจดหมายลับให้เจ้า ในเมื่อเรื่องที่ตร
นายท่านเฟิ่งสารภาพออกมาโดยที่ไม่ต้องบังคับใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเซียวอวี้พลันปกคลุมไปด้วยไอทะมึนไทฮองไทเฮาพิโรธหนักกว่าเดิม“เจ้ามันเลวทราม! หลอกปั่นหัวฮ่องเต้องค์ก่อน ทำทุกวิถีทางให้บุตรสาวได้เป็นฮองเฮา เจ้า…เจ้าสมควรถูกประหาร!”ใบหน้าอ่อนโยนมีเมตตาของมู่หรงฉาน เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็วนายท่านเฟิ่งผู้นี้ช่างขี้ขลาดยิ่งนักในเมื่อกลัวตายถึงเพียงนี้ ก็ไม่ควรทำเรื่องหลอกลวงเช่นนั้นออกมาตั้งแต่แรกนายท่านเฟิ่งหมอบลงกับพื้น กล่าวอย่างสั่นเทิ้ม“ฝ่าบาท กระหม่อมทำแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ“นอกจากกระหม่อมแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้เรื่องนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮองเฮา ฮองเฮาไม่รู้อะไรด้วยเลยพ่ะย่ะค่ะ”ไทฮองไทเฮามิอาจปล่อยผ่านได้“ฝ่าบาท อย่าไปฟังเขาพูดมากความ! เรื่องนี้ ฮองเฮาต้องรู้ด้วยแน่ ๆ! ถึงจะไม่รู้จริง ๆ ก็สมควรรับโทษร่วมด้วย!”นายท่านเฟิ่งได้ยินประโยคนี้ ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างเดือดพล่าน“ไม่ใช่! ฮองเฮาไม่ผิด!“ตั้งแต่นางเป็นเด็ก กระหม่อมอบรมสั่งสอนนางด้วยชีวิตจิตใจ กระหม่อมเพียงอยากให้นางมีชีวิตแต่งงานที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้!“ตอนนั้นสตรีจากตระกูลเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมบ
ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้ว!คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นนายท่านเฟิ่งรอมาเนิ่นนาน คาดหวังมาโดยตลอด ในที่สุดฮองเฮาก็ตั้งครรภ์เสียที!เขาแทบลืมเลือนสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ในตอนนี้ไปหมดสิ้น ทั้งยังยิ้มอย่างซื่อบื้อ ปากแทบหุบเข้าหากันไม่ได้มู่หรงฉานยืนแข็งค้างอยู่กับที่ คำพูดที่ฝ่าบาททรงตรัสเมื่อครู่สะท้อนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่หยุดนางไม่คาดคิดเลยว่า ฮองเฮาจะตั้งครรค์!ไทฮองไทเฮารับแรงกระตุ้นนี้ไม่ไหว พลันทรุดฮวบลงบนเก้าอี้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ รีบเข้ามาพยุงนาง“ไทฮองไทเฮาเพคะ!”ไทฮองไทเฮากลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือ บอกให้บ่าวรับใช้ถอยออกไปจากนั้น นางก็จี้ถามเซียวอวี้“เรื่องตั้งแต่ยามใดกัน เจ้าอย่าคิดที่จะหลอกข้าเชียวนะ หลายวันที่ผ่านมา เจ้ามิเคยโปรดปรานฮองเฮา แล้วนางจะไปตั้งครรภ์ได้อย่างไร?”เซียวอวี้กล่าวอย่างไม่ร้อนตัว“ตั้งครรภ์ในวิหารบรรพบุรุษ ในบันทึกราชกิจและพระราชดำรัสไม่มีบันทึกไว้”“วิหารบรรพบุรษ?!” ไทฮองไทเฮาแน่นหน้าอกอย่างมาก แทบหายใจไม่ออกนางยกมือชี้หน้าเซียวอวี้“เจ้า…เจ้าเป็นกษัตริย์ของแคว้นนะ! เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ทำเรื่องเช่นนั้นในวิหารบรรพบุรุษของ
ไทฮองไทเฮาถูกเซียวอวี้กระตุ้นต่อมโมโหจนพูดไม่ออกแก้ไขหนังสือแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ฮ่องเต้ปล่อยผ่านไปได้หรือ?เขาไม่ใช่คนจิตใจดีถึงเพียงนั้นเสียหน่อย!เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปากนางเข้าใจ การที่เซียวอวี้ทำเช่นนี้ ก็เพื่อศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์ฮ่องเต้ถูกขุนนางผู้หนึ่งปั่นหัวอลหม่าน ซึ่งดูหมดรัศมีจริง ๆ เซียวอวี้กล่าวขึ้นมาอีก“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรากับฮ่องเต้องค์ก่อนไม่เหมือนกัน เราไม่เคยเชื่อหนังสือแห่งโชคชะตาสักครั้ง”ไทฮองไทเฮาเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจฝั่งเซียวอวี้พูดจบไม่ทันไร นางก็เป็นลมล้มพับไปถือคติไม่เห็นหน้าย่อมไม่เสียอารมณ์……จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็สลบไป จึงถูกนำตัวไปตรวจอาการภายในตำหนักยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากหมอหลวงกล่าวว่า แค่ได้รับผลกระทบทางจิตใจในชั่วขณะหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา เซียวอวี้ก็ไปหาไทฮองไทเฮาในตอนนั้นเชื่องซึมผิดปกติ เพียงพูดว่า“เจ้าเป็นฮ่องเต้ อยากทำอะไร ก็ทำเถอะ”หลังจากที่เซียวอวี้ทูลลา มู่หรงฉานก็เข้ามาในตำหนักนางเฝ้าอยู่ข้างแท่นบรรทมของไทฮองไทเฮา ขอบตาแดงก่ำเล็กน้อยไทฮองไทเฮารู้ว่านางกตัญญูรู้คุณ และรู้ว่า นางต
พระราชวัง ในตำหนักเซี่ยวเสียน หนิงเฟยกำลังเลี้ยงดูโอรสทั้งสองพระองค์ ในมือถือกลองป๋องแป๋งแววตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ ที่มิใช่ผู้ให้กำเนิด หากแต่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาที่แท้จริงสาวใช้วิ่งเข้ามา อย่างมิได้ระวัง “พระนางเพคะ! พระนาง! “ฝ่าบาทกับฮองเฮาเสด็จกลับวังแล้วเพคะ!”เสียง “ตัก!” ดังขึ้น กลองป๋องแป๋งในมือหนิงเฟยตกลงกระทบพื้น พร้อมกันนั้น รอยยิ้มก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นนางหันไปมองลูกทั้งสองคน พวกเขายังยิ้มให้กับนาง หาได้เข้าใจถึงคำว่าพรากจากไม่ ในใจหนิงเฟยนั้น มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เพียงสามเดือนสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน นางรักใคร่พวกเขาจากใจจริง บางครั้งยังมีความคิดอย่างเห็นแก่ตัว อยากถือครองพวกเขาไว้เป็นของตนทว่านางยังคงมีสติอยู่ฝ่าบาทกับฮองเฮากลับมาได้อย่างปลอดภัย แคว้นหนานฉีถึงจะร่มเย็นเป็นสุข ช่วงเวลาอันสั้นที่นางได้ดูแลโอรสทั้งสอง ก็พอใจแล้วหนิงเฟยรีบปรับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ฝืนยิ้มพลางมีรับสั่ง “เปลี่ยนอาภรณ์ ข้าจักพาพระราชโอรสทั้งสองไปเฝ้ารับเสด็จฝ่าบาทกับฮองเฮา”“เพคะ!”ตำหนักฉือหนิงไทเฮาทราบข่าวการกลับมาของฝ่าบาทกับฮองเฮาท่านก็ปลื้มปีติ ทว่
จักรพรรดิองค์ใหม่เป่ยเยี่ยนถูกลวงให้ตกหลุมพราง จึงรีบเรียกเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าประชุมเร่งด่วน หาทางต้านศึกอย่างไรดีบรรยากาศในท้องพระโรงตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงบ่นครวญเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดสามารถเสนอแผนการอันเป็นประโยชน์ได้ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิองค์ใหม่โกรธเป็นล้นพ้น“รับราชบำเหน็จจากแผ่นดิน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเรา! พวกเจ้าเหล่านี้ เราจะเลี้ยงพวกเจ้าเพื่อประโยชน์อันใด! ออกไปให้พ้นหน้า!”หลังออกมาจากวัง เหล่าขุนนางต่างคนต่างบ่นพึมพำ“ฝ่าบาทให้เราคิดหาหนทาง เขาไม่ลองคิดดู สถานการณ์ยามนี้ ยังจะเหลือหนทางออกใดอีก?”“ใช่แล้ว! แคว้นหนานฉีโอบล้อมทางตะวันออกกับทางใต้ของเรา แคว้นซีหนี่ว์ก็ข่มขู่เราทางด้านตะวันตก ภูมิประเทศทางด้านเหนือก็ไม่เอื้อให้ฝ่าวงล้อมได้ สถานการณ์ยามนี้ เหมือนสัตว์ติดกับดัก!”“ไม่ดูเลยว่าใครเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาททรงหลงเชื่อคำคนชั่ว ฆ่าขุนนางจงรักภักดี ฆ่าพี่น้อง เสียดายองค์ชายเจ็ดทรงมีปรีชาญาณ กลับถูกฝ่าบาทปองร้ายจนตาย! เฮ้อ!”นึกถึงองค์ชายเจ็ด เหล่าขุนนางล้วนพากันเสียดายทว่าพวกเขาก็เพียงกล้าคิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา
องค์ชายสี่ขึ้นครองราช แผ่นดินเป่ยเยี่ยนก็ประหนึ่งชีพจรจะขาดสะบั้น มิมีวันฟื้นคืนกลับมารุ่งเรืองอีกดั่งเดิม หากแต่สำหรับเซียวอวี้นั้น เพียงเท่านี้หาเพียงพอไม่เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งสารไปยังดินแดนต่าง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เขียนจดหมาย ส่งไปยังแคว้นซีหนี่ว์“หากจะล้างผลาญเป่ยเยี่ยนให้สิ้นซาก ย่อมมิอาจขาดการสนับสนุนจากแคว้นซีหนี่ว์ได้”เซียวอวี้พยักศีรษะ“เจ้าพูดถูก”……ภายในเขตแดนเป่ยเยี่ยน องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจสิ่งใดไม่ มัวแต่คิดหมายกำจัดเหล่าพี่น้องที่ขวางหูขวางตา โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดทว่าเขาก็มิใช่คนโง่เขลา ยังพอฟังคำของที่ปรึกษา มิได้กระทำอุกอาจ หากกลับเชื้อเชิญพี่น้องทั้งปวงให้กลับมาร่วมกันไว้ทุกข์บรรดาขุนนางผู้ภักดีต่อองค์ชายเจ็ดพากันกังวล จึงรีบร้อนเขียนจดหมายแจ้งองค์ชายเจ็ด อย่าได้กลับมาเด็ดขาด ทว่าน่าเสียดาย จดหมายของพวกเขาถูกดักจับเสีย ด้วยสายลับของฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก แล้วปลอมแปลงเนื้อหา วางกับดัก รอคอยองค์ชายเจ็ดมาตกหลุมพรางดังที่คาดไว้ องค์ชายเจ็ดกลับมาร่วมงานพระศพยังเมืองหลวง ได้เลือกเส้นทางลับตามที่กล่าวว่าไว้ในจดหมายลับ ได้ยินว่าทางน
เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับขึ้นไปบนรถม้า เห็นคอเสื้อของเซียวอวี้เปิดกว้าง ไม่กระชับ ดูเหมือนสวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อย คล้ายกับคณิกาชายในสภาพตกอับโดยเฉพาะสายตาของเขาที่มองมา ท่าทีราวกับขอความเมตตาจากนาง ทำให้คนรู้สึกขนลุกชันนางนั่งลงทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือเพคะ?”“รุ่ยอ๋องไม่ยอมทายาให้เรา” เซียวอวี้เอ่ยอย่างจนใจเฟิ่งจิ่วเหยียนยิ้มอย่างเรียบเฉย“เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้ยาแล้ว“เพราะอย่างไรบาดแผลก็หายสนิทแล้ว”“จะกลายเป็นแผลเป็นได้” เซียวอวี้ย้ายมาใกล้ ๆ นางในดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแฝงรอยยิ้มที่มีความหมายมากขึ้น “อ๋อ? จริงหรือ? เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางแล้ว ที่จริงแผลเป็นก็ไม่เป็นไร มีบุรุษคนใดบ้างที่บนตัวไม่มีรอยแผล”นางกลับไม่รู้ว่า เขาใส่ใจผิวพรรณเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดเซียวอวี้เป็นฝ่ายแสดงท่าทีผูกมิตร “ชื่อของลูก เราจะลองคิดดูอีกที หากใช้ไม่ได้จริง ๆ ก็ให้คนที่มีความสามารถมาจัดการ ว่าอย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลุดหัวเราะออกมานางกลั้นไม่ไหวจริง ๆ“ได้เพคะ”ที่จริงนางก็มิได้คิดมากกับเรื่องนี้ เป็นเขาที่คิดซับซ้อนเกินไป ยืนกรานจะทายาด้วยตัวเอง ทั้งยอมให้รุ่ยอ๋องช่วยเหลือ แ
เมื่อทราบว่าฮ่องเต้ทรงได้รับการช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันกับที่รุ่ยอ๋องรู้สึกยินดี ก็ยังรู้สึกยกย่องฮองเฮามากขึ้นด้วยเขารีบตรงไปที่ข้างรถม้า และแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้“ฝ่าบาท...”ภายในห้องโดยสาร ทันทีที่เซียวอวี้ได้ยินเสียงรุ่ยอ๋อง ก็ขมวดคิ้ว “เข้ามาก่อนเถอะ”รุ่ยอ๋องไม่มีความสงสัยแล้ว จึงรีบเข้ามาภายในห้องโดยสารจากนั้นกลับมองเห็น ฮ่องเต้มิได้สวมใส่อาภรณ์ท่อนบน กำลังทายาอย่างยากลำบากสาเหตุที่ยากลำบาก เป็นเพราะเขาทาไม่ถึงบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง“ช่วยเราทายาหน่อย” เซียวอวี้ส่งขวดยาให้กับรุ่ยอ๋องทันที จากนั้นก็รอรับการช่วยเหลือรุ่ยอ๋องก้มมองยาที่อยู่ในมือ และเหลือบมองฮ่องเต้หากเขาไม่มา ฮ่องเต้จะทรงทำอย่างไร?รุ่ยอ๋องถามเหมือนไม่ตั้งใจ: “ฝ่าบาท เหตุใดจึงมิให้ฮองเฮา...”เซียวอวี้รู้ว่าเขาคิดจะถามสิ่งใด จึงกระแอมเบา ๆ“ฮองเฮายังมีเรื่องอื่นต้องทำ อีกอย่าง แค่ทายา เราทำเองได้ ไม่ต้องรบกวนนาง”รุ่ยอ๋อง: ดังนั้นท่านจึงต้องมารบกวนกระหม่อมหรือ?เขาหารู้ไม่ว่า ที่จริงแล้ว เพราะเรื่องตั้งชื่อให้ลูก เซียวอวี้รู้ว่าตนเองผิดพลาด จึงไม่สะดวกใจที่จะรบกวนเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกอย่าง บาดแผลบน
สำหรับเรื่องชื่อของบุตร เซียวอวี้รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่หลายวันเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จิ่วเหยียนที่ปกติเป็นคนง่าย ๆ แต่สำหรับชื่อแล้วจะเรื่องมากถึงเพียงนี้ชื่อที่เขาเลือกมา กลับถูกมองด้วยสายตาเย็นชาจากนางทางนี้พวกเขาก็แค่ขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ทางนั้น เมืองหลวงของเป่ยเยี่ยนกลับทะเลาะกันรุนแรงใหญ่โตเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างตระหนกตกใจอย่างมากเหตุใดผ่านไปคืนเดียว จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงนี้เล่า?ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต และมอบบัลลังก์ให้กับองค์ชายสี่แล้วองค์ชายเจ็ดเล่า?ในราชสำนักมีคนที่สนับสนุนองค์ชายเจ็ดไม่น้อย ในที่ประชุมราชสำนักจึงตั้งข้อสงสัยทันทีก่อนพิธีราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่ จะต้องจัดงานพระศพของอดีตฮ่องเต้เสียก่อนดังนั้น ตำแหน่งขององค์ชายสี่ ยังต้องรอการหารือเหล่าขุนนางโต้เถียงกันไม่หยุด ส่วนองค์ชายสี่กลับแสดงตัวว่าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ จัดการปราบปรามกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านอย่างรวดเร็วเฉียบขาด“เราคือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่เสด็จพ่อทรงเลือกแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะขัดพระราชโองการให้ได้ใช่หรือไม่? ทหาร ลากทุกคนออกไป!”องค์ชายสี่ต้องการจะปิดปากคนเหล่านั้น ด้วยวิธีที่เรียบง่าย
เซียวอวี้นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า จิ่วเหยียนจะกำเนิดบุตรชายให้เขาสองคน!สิ่งแรกที่เขานึกถึง คือความลำบากของนางเขาโอบกอดนางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“คงลำบากอย่างมากเป็นแน่“เราได้ยินว่า ลำพังคลอดบุตรคนเดียว ก็เจ็บปวดจนขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในประตูผีแล้ว“จิ่วเหยียน เราควรจะอยู่เคียงข้างเจ้า”เขายังไม่รู้ว่า นางได้รับผลกระทบจากการหายตัวไปของเขา จนคลอดกะทันหัน และเกือบจะคลอดยากเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่คิดจะบอกเขาถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว หากจะให้เขามาเสียใจและเป็นกังวลตามไปด้วย มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจเท่านั้นมิสู้ถนอมความสุขที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายศีรษะอย่างผ่อนคลาย“สตรีคนอื่นอาจจะลำบาก แต่หม่อมฉันเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ความลำบากระดับนี้ ทนรับได้อยู่แล้ว“อีกอย่าง เด็กทั้งสองคนนี้ก็ว่าง่าย ไม่พลิกตัวไปมาวุ่นวาย”เซียวอวี้ยังคงกอดนางไว้“ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องขอบใจเจ้า“ในที่สุดเราก็มีทายาทแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องอยู่บนบัลลังก์ฮ่องเต้จนแก่ชรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำพูดนี้ รู้สึกชอบกลอยู่บ้างนางจ้องมองเขาพร้อมถามทันที“เหตุใดหม่อมฉันถึงรู้สึกว่า ตอนนี้
หร่วนฝูอวี้เคยเจอคนที่ตามตอแยมามาก ไม่คาดคิดว่ารุ่ยอ๋องก็เป็นคนเช่นนั้นด้วยนึกไม่ถึงว่าเขาจะยื่นหน้าเข้ามา เพื่อให้นางตบนางถูกบีบจนต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ“เจ้า เจ้าคงไม่เสียสติหรอกกระมัง?”ในดวงตาของรุ่ยอ๋องมีแต่นางรู้ดีว่านางแค่อยากจะให้เขายอมแพ้ ก็ทำตัวหน้าหนาหน้าทนเสียเลย“ฝ่ามือของพระชายาเมื่อครู่ ช่างหอมเหลือเกิน”ปัง!สมองของหร่วนฝูอวี้ระเบิดแล้วนางกำลังจะบ้าตาย!รุ่ยอ๋องเห็นนางทำตัวไม่เป็นปกติ จึงนั่งกลับลงไปตามเดิมทันทีเขากำมือแตะข้างริมฝีปาก กระแอมเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์ใด ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็แน่ใจว่า ข้าอยากจะอยู่กับเจ้า“ทว่า เรื่องของเรา ค่อยหารือกันภายหลังได้“ตอนนี้การไปเป่ยเยี่ยนช่วยฝ่าบาทเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า”หร่วนฝูอวี้ฝืนหัวเราะ“ไม่นึกว่าเจ้ายังรู้จักแยกแยะได้ว่าสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วน”รุ่ยอ๋องมองออกไปนอกรถม้า ในใจราวกับปกคลุมด้วยเมฆหมอกกับหร่วนฝูอวี้ก็แค่หยอกล้อ เขายังคงรู้สึกหนักใจกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงเกิดเรื่องไม่คาดคิดเพียงหวังว่าจะรีบไปให้ถึงเป่ยเยี่ยนโดยเร็ว......อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ออกจากเมืองห
กล่าวถึงทางด้านรุ่ยอ๋อง เมื่อได้รับข่าวของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบร้อนจะมุ่งหน้าไปที่เป่ยเยี่ยนโดยเร็วหร่วนฝูอวี้มาพบกับเขากลางทาง ก็เอ่ยตัดพ้อกับเขา“ตอนที่ข้ากลับไปถึงหนานเจียง อาการป่วยของอาจารย์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว อาจารย์ท่านก็คิดแต่จะให้ข้าสืบทอดวิชา ต้องการให้ข้าอยู่ที่นั่น“โชคดีที่คนของเจ้ามา มิเช่นนั้นข้าคงไปไหนไม่ได้จริง ๆ“ใช่แล้ว ฮ่องเต้ฉีทรงถูกจับไปที่เป่ยเยี่นจริงหรือ?”สีหน้าของรุ่ยอ๋องดูคร่ำเคร่ง“ตามที่ได้ยินมาเป็นเช่นนั้น”หร่วนฝูอวี้แค่นเสียงเย้ยหยัน“เขามิใช่อวดอ้างว่าตนมีวิทยายุทธ์สูงส่งหรอกหรือ ข้างกายก็มีองครักษ์คุ้มกันตั้งมากมาย เหตุใดถึงตกไปอยู่ในมือของชาวเป่ยเยี่ยนได้เล่า?”หากอ่อนแอเพียงนี้ แล้วจะปกป้องซูฮ่วนได้อย่างไร?กลับกลายเป็นซูฮ่วนต้องปกป้องเขาแล้วทว่านางก็รู้ว่ารุ่ยอ๋องมีความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อฮ่องเต้ จึงเอ่ยปลอบเขา: “วางใจเถอะ ในเมื่อซูฮ่วนไปถึงเป่ยเยี่ยนแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่”รุ่ยอ๋องพยักหน้า ทว่าความกังวลที่ปรากฏบนหว่างคิ้ว แทบจะกลืนกินความสงบนิ่งอันน้อยนิดของเขาไปหมดขณะที่หร่วนฝูอวี้กำลังลำบากใจไม่รู้ควรเอ่ยสิ