ช่วงสายของวันหลังจากที่หมอมาตรวจอาการของเด็กหญิงแล้ว เขาก็อนุญาตให้เจ้าตัวกลับบ้านได้
“ดีจังเลยนะคะที่หนูได้กลับบ้านแล้ว หนูอยากเจอคุณปู่ คุณย่ามากเลย” หลินซีกล่าวขึ้นในเบาะหลังของรถสี่ที่นั่งประจำบ้านที่ผู้เป็นพ่อซื้อมาในราคาสูงลิ่ว
ทว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับทำหน้าตกใจคล้ายถูกผีหลอก ทำให้เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่รองหันหน้ามาสนใจผู้เป็นน้องสาว
“น้องมีไข้อีกไหม” หลินชิวเอามืออังหน้าผากของน้องสาวผู้นั่งตรงกลางถามขึ้นสีหน้ากังวล
“หนูหายดีแล้วค่ะ ทำไมพี่รองถามแบบนี้ล่ะคะ” เด็กหญิงอมลมกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ก็น้องเคยคิดถึงปู่กับย่าเมื่อไหร่กัน ไม่สิอาจจะมีย่าอยู่คนหนึ่งคือคนนั้น” หลินชุนตอบแทนน้องชายฝาแฝด
“ตอนนี้หนูเปลี่ยนไปแล้วค่ะ หนูรู้แล้วว่าใครดีกับหนูอย่างจริงแท้ ดังนั้นหนูจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกคนยกเว้น..” หลินซีตอบพี่ชายก่อนที่จะหยุดคำพูดที่เหลือ
“ปกติน้องก็เป็นเด็กดีนะ แต่ติดตรงที่น้องชอบดื้อกับย่ากู้เพียงเท่านั้น” หลินชิวกล่าวตามจริง
“ต่อไปนี้หนูจะไม่ดื้อไม่ว่ากับใครก็ตาม และก็จะรักย่ากู้ด้วยค่ะ เพราะย่าคือย่าของหนู” หลินซีกล่าวยืนยัน
ทำให้พ่อผู้เป็นคนขับรถมีสีหน้าเบิกบานเนื่องจากแม้ว่า กู้หนิงจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของตนทว่าหญิงคนนั้นก็เลี้ยงเขามาตั้งแต่ห้าขวบหลังจากผู้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดทิ้งเขากับพ่อไปแต่งงานใหม่กับคนที่หล่อนคิดว่าสามารถนำความร่ำรวยมาสู่หล่อนได้
โดยที่หญิงคนนั้นไม่คิดกลับมาดูดำดูดีเขาจนเวลาผ่านไปหลายปี แต่แล้วหญิงคนนั้นก็กลับมาตอนที่หลินซีอายุได้ห้าขวบ ซึ่งนับแต่นั้นมาจากเด็กน้อยน่ารักสำหรับผู้เป็นย่ากู้ก็เริ่มเปลี่ยนไป
เด็กหญิงมักจะเอาแต่ใจตัวเอง ยิ่งพอเข้าเรียนชั้นประถมเด็กหญิงก็เอาแต่ใจมากขึ้น ซึ่งหากลูกของเขาคิดได้ตามที่พูดออกมาก็นับว่าเป็นเรื่องดี
รถยนต์ของครอบครัวหลินขับเข้ามายังเส้นทางหมู่บ้านชนบทซึ่งห่างจากตัวมณฑลราวหนึ่งชั่วโมงสำหรับรถยนต์
หน้าหมู่บ้านที่มีต้นไม้ต้นใหญ่หลายคนโอบแผ่กิ่งก้าน สาขาอันใหญ่โตกำลังเริ่มแตกใบรับฤดูกาลใหม่
รถยนต์บ้านหลินแล่นผ่านต้นไม้ใหญ่นั้นอย่างเชื่องช้า เนื่องจากกลัวฝุ่นจะปลิวเข้าหาผู้คนที่กำลังออกจากบ้านเพื่อไปลงแปลงนา
“อาจารย์หลินช่างโชคดีนะที่มีลูกชายขยัน ในตอนนั้นผู้คนพากันคัดค้านเรื่องที่เขาจะเปิดร้านค้า แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร รวยกว่าใครในหมู่บ้านไปแล้ว ฝ่ายเมียก็ยังเป็นถึงหัวหน้าของโรงงานทอผ้า ครอบครัวนี้ช่างโชคดีเสียจริง” น้ำเสียงกึ่งอิจฉากึ่งชื่นชมกล่าวกับสหายที่เดินอยู่ข้างกันเมื่อเห็นท้ายรถที่ขับแซงหน้าพวกเขามุ่งหน้าไปยังบ้านอิฐหลังใหญ่ห้าห้องนอนท้ายหมู่บ้าน
ซึ่งที่ดินโดยรอบบริเวณนั้นรวมถึงที่ดินบนภูเขาใหญ่อีกแห่งก็เป็นของกู้หนิงผู้เป็นแม่เลี้ยงของหลินไท่ผู้ที่พวกเขากล่าวถึง
“ฉันเห็นด้วยกับแก อีกอย่างเป็นเพราะอาจารย์หลินได้นางกู้มาเป็นภรรยาด้วย แกก็รู้ว่าครอบครัวของนางนั้นเองก็ร่ำรวยพอสมควร ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของอาจารย์หลินที่ได้หย่ากับหญิงใจโลเลผู้นั้น” ผู้เป็นสหายที่รู้เรื่องราวของครอบครัวที่พวกเขาพูดถึงเป็นอย่างดีกล่าว
เรื่องของครอบครัวหลินต่างก็ยังคงเป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านอยู่ ทว่าผู้เป็นเจ้าของเรื่องหาได้รับรู้ด้วยไม่ และตอนนี้รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ก็ได้มาจอดอยู่หน้าประตูบ้านสีแดงบานใหญ่ของครอบครัว
“คุณปู่ คุณย่าครับ พวกเรากลับมาแล้ว” หลินชิวเป็นผู้ลงมาเคาะประตูพลางตะโกนส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ด้านใน
“ผมไปเปิดประตูเอง คุณรีบเตรียมอาหารเถอะ ฉลองให้ยัยหนูที่ได้ออกจากโรงพยาบาล” ชายวัยห้าสิบกลางบอกกับผู้เป็นภรรยาในระหว่างที่เขากำลังลุกจากเก้าอี้โยกภายในบ้าน
“คุณว่าหลานจะพอใจกับข้าวของฉันหรือคะ” กู้หนิงกล่าวเสียงเนือยเนื่องจากไม่ว่าเธอจะทำของอร่อยมากขนาดไหนเด็กหญิงก็มักจะติเตียนทุกครั้งจนทำให้เธอท้อใจ
“หล่อนยังเด็ก พอโตขึ้นเธอก็จะเข้าใจเองนั่นแหละ คุณเชื่อผมเถอะ” ชายผู้เป็นสามีกล่าวปลอบด้วยรู้สึกเห็นใจคู่ชีวิต
“คุณรีบไปเปิดประตูเถอะค่ะ ฉันจะเข้าครัวแล้ว” อดีตหญิงงามกล่าวเลี่ยงพร้อมกับที่เธอก็เดินเข้าไปยังห้องครัวด้านหลัง
ชายผู้เข้าสู่วัยชราจึงได้เดินไปเปิดประตูบ้าน “มาแล้ว” น้ำเสียงแหบของเขาตะโกนตอบกลับผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังประตู
“คุณปู่คะ” เมื่อประตูไม้บานใหญ่เปิดออก หลินซีก็กระโจนไปหาผู้เปิดประตูพร้อมส่งเสียงเรียกชายชราอย่างดีใจ
“เสี่ยวซีของปู่ หนูหายดีแล้วหรือลูก” ชายรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมอ้าแขนรับผู้เป็นหลานสาวถามขึ้นอย่างห่วงใย
“หนูหายดีแล้วค่ะ คุณย่าล่ะคะ” เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้างตอบก่อนจะถามถึงผู้ที่ตนรู้สึกผิดและติดค้าง
“อยู่ในครัวนะลูก กำลังทำของอร่อยให้หนูกินยังไงล่ะ” ชายชราตอบหลานสาวพลางมองหน้าคล้ายสำรวจหลานสาวอย่าง หวั่นใจ
“ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปช่วยคุณย่า” เด็กหญิงยกยิ้มขึ้นบอกอย่างหมายมาดทำให้คนในครอบครัวคล้ายรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของลูก หลาน น้องของตน แต่ก่อนที่จะได้มีใครกล่าวอะไรเด็กหญิงก็เดินตัวปลิวเข้าบ้านไปแล้วโดยฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปด้วย
“พ่อครับ ผมว่าพวกเราเดินตามเข้าไปดูกันเถอะ” หลินไท่กล่าวออกมาหลังจากไม่เห็นแผ่นหลังของบุตรสาว
“ก็ดีเหมือนกัน รีบตามเข้าไปเถอะ” ชายชรากล่าวอย่างเห็นด้วย
ภายในห้องครัวของบ้าน หญิงวัยห้าสิบกำลังดูสิ่งที่ตัวเองตุ๋นอยู่ในหม้ออย่างตั้งใจ ทำให้ไม่รู้สึกตัวว่าเด็กหญิงร่างผอมได้มายืนมองตนอยู่สักพักแล้วด้วยดวงตาแดงเรื่อ
“คุณย่าคะ หนูมาช่วยค่ะ” หลินซีสูดจมูกของตนแหงนหน้าขึ้นเพื่อระงับอารมณ์อันอ่อนไหวกล่าวออกมาเสียงหวาน
“เอ๊ะ! เสี่ยวซีหนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หนูหายดีแล้วหรือลูก” กู้หนิงหันมาตามเสียงเรียกเอ่ยถามเด็กหญิงอย่างเป็นห่วงสีหน้าแปลกใจ
“หายดีแล้วค่ะ ย่าคะ ในอดีตหนูทำผิดกับย่ามากเหลือเกิน หนูขอโทษนะคะ ต่อจากนี้หนูจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังย่าทุกอย่างเลย ยะ..ย่าจะให้อภัยหนูไหมคะ” หลินซีเงยหน้าสบตาพร้อมเอ่ยในสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างลังเล
“หนูพูดอะไรแบบนี้ ย่าไม่เคยโกรธหนูเลยนะลูก บางครั้งย่าก็ผิดเองที่อาจจะวุ่นวายกับหนูมากเกินไป” หญิงชราดึงตัวเด็กหญิงเข้าไปกอดพูดออกมาจากใจจริง
“ย่าคะ ย่าดีกับหนูมากขนาดนี้เหตุใดในตอนนั้นฮึก... ๆ” หลินซีกระชับอ้อมแขนของตนโอบกอดผู้เป็นย่าแน่นกล่าวเสียงสะอื้น
“อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปนะ ต่อจากนี้เรามาเริ่มกันใหม่ดีไหม ไม่ต้องร้องแล้ว” กู้หนิงแม้จะยังรู้สึกแคลงใจ ทว่านางก็ปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวออกมา
“ค่ะ หนูเชื่อย่า” เด็กหญิงสูดน้ำหูน้ำตาพูดออกมาเสียงเครือ
“เอาละไปล้างหน้าล้างตาเสีย” หญิงชราคลายอ้อมกอดของตนพูดกับเด็กหญิงที่เงยหน้ามองตนด้วยดวงตากลมโตฉ่ำน้ำจมูกแดงคล้ายกระต่าย
“ค่ะ หนูจะไปล้างหน้าเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะมาช่วยย่าทำกับข้าวด้วย” หลินซีฉีกยิ้มกว้างทั้งน้ำตา
ด้านคนที่เดินตามมาพวกเขาก็มองภาพด้านหน้าด้วยความแปลกใจระคนดีใจที่เด็กหญิงคิดได้
หลังจากหลินซีเดินออกไปทางประตูครัวด้านหลังเพื่อไปล้างหน้าแล้วได้เดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง
“ย่าคะ จะให้หนูช่วยทำอะไรบ้างบอกมาได้เลยค่ะ” หลินซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หนูหายดีแล้วแน่นะ จะไม่พักสักหน่อยหรือ” กู้หนิงที่กำลังล้างผักอยู่หันมามองหลานสาวอย่างสำรวจ
“หายดีแล้วแน่นอนค่ะ หนูนอนอยู่ในโรงพยาบาลจนเบื่อแล้วให้หนูได้ยืดเส้นยืดสายบ้างเถอะค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมกับเดินไปดูสิ่งที่อยู่ในหม้อต้ม
แล้วสิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นทำให้เธอต้องกะพริบตาแล้วมองดูสิ่งที่เห็นใหม่อีกครั้งก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเป็นเหมือนเดิม
“ย่าคะ บ้านเรามีเก๋ากี้หรือเปล่าคะ” เด็กหญิงถามหญิงชราเมื่อเห็นข้อความที่ลอยอยู่ในหม้อว่าต้องเติมสิ่งใดลงไป“ตายจริง! ย่าว่าแล้วลืมอะไร ดีนะที่หลานพูดขึ้น” กู้หนิงเช็ดมือก่อนจะเดินไปหยิบในสิ่งที่หลานสาวต้องการมาใส่ในหม้อ“ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงว่าย่ายังไม่ได้ใส่อะไร” หญิงชราหลังจากใส่สิ่งที่ตนลืมแล้ว หันมามองหน้าหลานสาวอย่างสงสัยก่อนถาม“ฮ่า ๆ หนูเดาเอาค่ะ ปกติเวลาย่าทำสิ่งนี้มักจะต้องใส่ลงไปทุกครั้งนี่คะ” หลินซีหัวเราะกลบเกลื่อนตอบออกไป“หนูนี่ช่างสังเกตดีนะ” กู้หนิงกล่าวชม จากนั้นเธอก็เดินไปหั่นผักที่ล้างเรียบร้อยแล้วเพื่อจะนำมาผัด“ย่าคะ ให้หนูเป็นคนทำกับข้าวเองนะคะ” เด็กหญิงกล่าวอาสา แม้ว่าฝีมือของเธอจะไม่ถึงขั้นเลิศรสแต่ก็จัดได้ว่าอร่อย ดังนั้นเธอจึงคิดอยากแบ่งเบาภาระของผู้เป็นย่าอีกทั้งยังได้สร้างความสนิทสนมภายในตัวไปด้วย“ลูกสาวแม่แน่ใจหรือจ๊ะ” เจียวเหมยหลังจากเก็บข้าวของที่นำมาจากโรงพยาบาลเข้าที่เรียบร้อยแล้วเดินเข้าครัวมาทันได้ยินคำพูดของลูกเข้าพอดีจึง
เด็กหญิงนั่งเหม่อคิดถึงอดีตเพื่อนสาวผู้ที่เคยสดใส จนกระทั่งได้ยินเสียงของพี่ชายทำให้หล่อนได้รู้สึกตัว“เสี่ยวซี น้องเตรียมอุปกรณ์การเรียนพร้อมหรือยัง มีอะไรขาดหรือเปล่า” หลินชุนถามน้องสาวผู้มักหลงลืมอยู่เป็นประจำ“ฉันคิดว่าไม่นะคะ หากมีอะไรขาดก็ค่อยไปหาซื้อเอา” เด็กหญิงตอบออกมาอย่างไม่คิดอะไร“น้องลืมไปหรือเปล่าครับว่าบริเวณโรงเรียนไม่มีสถานที่ให้ซื้อ หากอยากได้อะไรต้องไปถึงตัวมณฑล” หลินชิวแย้ง“แหะ ๆ ฉันลืมไปสนิทเลยค่ะ จะว่าไปพ่อคะ ทำไมพ่อไม่เปิดร้านเครื่องเขียนหน้าโรงเรียนล่ะคะ หรือว่าจะรวมเอาร้านอาหารเข้ามาด้วยก็ได้เพราะแถวนั้นไม่ได้มีแค่โรงเรียนที่ตั้งอยู่อย่างเดียวไหนจะโรงพยาบาลประจำชุมชน ที่ทำการไปรษณีย์ โรงพัก โรงงานที่แม่ทำงาน อีกทั้งไหนจะโรงงานเหล็ก โรงงานรองเท้าก็ตั้งอยู่โดยรอบด้วย หากว่าเปิดร้านอาหารเช้าหนูว่าน่าจะขายดี” เด็กหญิงยิ้มแห้งตอบกลับผู้เป็นพี่ก่อนจะร่ายยาวออกมาให้คนในครอบครัวฟัง“ลูกคิดว่าทำได้แน่เหรอ เพราะส่วนใหญ่คนมักจะประหยัดโดยการห่อข้าวมาจากบ้านหรือไม่ก็กินก่อน
หน้าหลุมศพของสถานที่อันเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของผู้ที่เคยมีชีวิตท่ามกลางสายฝนโปรยปรายได้มีหญิงสาวรูปร่างผอมบางสวมชุดเดรสสีขาว สภาพผมของหล่อนกับชุดแนบลู่ติดกับร่างกายเนื่องจากฝนที่ตกลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดใบหน้าของหญิงสาวขาวซีดดวงตาบอบช้ำมีหยาดน้ำไหลอาบร่องแก้ม ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นหยาดน้ำตาของเจ้าตัวหรือเป็นหยาดน้ำจากฝนที่กำลังโปรยปรายกันแน่“พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนเจอกันหรือยังคะ ตอนนี้ทุกคนสบายดีไหม” หญิงสาวยืนกล่าวกับหลุมศพที่เรียงกันอยู่ด้านหน้าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า“วันนี้ฉันมาลาทุกคนนะคะ ฉันกำลังจะไปจากเมืองนี้ค่ะ ไปให้ไกลจากคนชั่วพวกนั้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าตามสายเลือดทว่าหญิงคนนั้นกลับใจร้ายกับพวกเราเสียเหลือเกิน พ่อคะ แม่คะ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนจะอภัยให้ฉันไหม แม้ในตอนนี้ฉันจะรู้ดีว่าการตายของทุกคนเกี่ยวข้องกับใครตะ...แต่ฉันก็ไม่อาจที่จะแก้แค้นคนเหล่านั้นได้ ไม่อาจที่จะนำของที่เป็นของครอบครัวเรากลับคืนมา พ่อคะ พ่อจะโทษฉันไหม ที่ฉันเป็นคนขี้ขลาด” หญิงสาวไหล่ไหวสะท้านขึ้นลงกล่าวออกมาอีกครั
“แม่ครับ พ่อครับ น้องหายดีหรือยัง” น้ำแสงเริ่มแตกหนุ่มของเด็กชายรูปร่างผอมสูงวัยสิบห้าผู้มีดวงหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายคนเป็นพ่อส่งเสียงถามผู้ที่อยู่ด้านในก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง“อาชุนมาดูน้องสิลูก พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียกบุตรชายฝาแฝดคนโตอย่างจนใจ“น้องเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือครับ” น้ำเสียงร้อนใจของเด็กหนุ่มผู้มาใหม่อีกคนถามขึ้นทันที“น้องรองใจเย็นก่อน เราค่อย ๆ ไปถามน้องสาวกัน” ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดรีบปรามคนเป็นน้องที่เกิดห่างจากตนไม่กี่นาที“ก็ผมเป็นห่วงน้องนี่” คนเป็นน้องหน้ามุ่ย“พี่ใหญ่ พี่รอง” คนเป็นน้องสาวผละออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่มองมาตามเสียงที่ตนได้ยิน ก่อนเรียกคนทั้งสองน้ำเสียงสะอื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก“เสี่ยวซี น้องเป็นอะไรใครรังแกบอกพี่มา” ผู้เป็นพี่ใหญ่รีบเดินเข้าไปหาพลางเอามือลูบผมผู้เป็นน้องถามเสียงอ่อนเด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้โฮส่ายหัวไปมาพลางจับมือของพี่ชายแน่น “น้องเ
ภายนอกห้องน้ำ ในขณะที่หลินชิวกำลังยืนรอน้องสาวอยู่หน้าประตู เสียงเคาะประตูหน้าห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกับตน เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีไฝใต้ตาซ้ายเช่นเดียวกับเขาเด็กหนุ่มผู้มาใหม่กวาดตามองไปบนเตียงผู้ป่วยเห็นเพียงแต่ผ้าห่มยู่ยี่ไม่เป็นระเบียบ เขาจึงได้หันหน้ามามองน้องชายแววตาบ่งบอกถึงคำถาม“น้องสาวอยู่ในห้องน้ำ” เด็กหนุ่มตอบออกมาทันทีเมื่อเห็นสายตาของคนที่เกิดก่อนตนห่างกันเพียงเล็กน้อย“นานหรือยัง” เด็กหนุ่มถามอย่างนึกสงสัย“สักพักแล้ว เอ๊ะ! เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้เป็นน้องตอบคำพร้อมกับนึกขึ้นมาได้“นายนี่มัน เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นพี่ส่งสายตาเชิงตำหนิให้น้องชายพร้อมพยายามเปิดประตูในระหว่างนี้ก็ตะโกนเรียกน้องสาวไปด้วย“ฉันสบายดีค่ะ พี่ใหญ่อย่าดุพี่รองเลยนะคะ” หลินซีกล่าวขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกมาหลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตนลงแล้ว“น้องไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” พี่ใหญ่ของน้องทั้งสองถามไถ่เด็กหญิงอย
เด็กหญิงนั่งเหม่อคิดถึงอดีตเพื่อนสาวผู้ที่เคยสดใส จนกระทั่งได้ยินเสียงของพี่ชายทำให้หล่อนได้รู้สึกตัว“เสี่ยวซี น้องเตรียมอุปกรณ์การเรียนพร้อมหรือยัง มีอะไรขาดหรือเปล่า” หลินชุนถามน้องสาวผู้มักหลงลืมอยู่เป็นประจำ“ฉันคิดว่าไม่นะคะ หากมีอะไรขาดก็ค่อยไปหาซื้อเอา” เด็กหญิงตอบออกมาอย่างไม่คิดอะไร“น้องลืมไปหรือเปล่าครับว่าบริเวณโรงเรียนไม่มีสถานที่ให้ซื้อ หากอยากได้อะไรต้องไปถึงตัวมณฑล” หลินชิวแย้ง“แหะ ๆ ฉันลืมไปสนิทเลยค่ะ จะว่าไปพ่อคะ ทำไมพ่อไม่เปิดร้านเครื่องเขียนหน้าโรงเรียนล่ะคะ หรือว่าจะรวมเอาร้านอาหารเข้ามาด้วยก็ได้เพราะแถวนั้นไม่ได้มีแค่โรงเรียนที่ตั้งอยู่อย่างเดียวไหนจะโรงพยาบาลประจำชุมชน ที่ทำการไปรษณีย์ โรงพัก โรงงานที่แม่ทำงาน อีกทั้งไหนจะโรงงานเหล็ก โรงงานรองเท้าก็ตั้งอยู่โดยรอบด้วย หากว่าเปิดร้านอาหารเช้าหนูว่าน่าจะขายดี” เด็กหญิงยิ้มแห้งตอบกลับผู้เป็นพี่ก่อนจะร่ายยาวออกมาให้คนในครอบครัวฟัง“ลูกคิดว่าทำได้แน่เหรอ เพราะส่วนใหญ่คนมักจะประหยัดโดยการห่อข้าวมาจากบ้านหรือไม่ก็กินก่อน
“ย่าคะ บ้านเรามีเก๋ากี้หรือเปล่าคะ” เด็กหญิงถามหญิงชราเมื่อเห็นข้อความที่ลอยอยู่ในหม้อว่าต้องเติมสิ่งใดลงไป“ตายจริง! ย่าว่าแล้วลืมอะไร ดีนะที่หลานพูดขึ้น” กู้หนิงเช็ดมือก่อนจะเดินไปหยิบในสิ่งที่หลานสาวต้องการมาใส่ในหม้อ“ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงว่าย่ายังไม่ได้ใส่อะไร” หญิงชราหลังจากใส่สิ่งที่ตนลืมแล้ว หันมามองหน้าหลานสาวอย่างสงสัยก่อนถาม“ฮ่า ๆ หนูเดาเอาค่ะ ปกติเวลาย่าทำสิ่งนี้มักจะต้องใส่ลงไปทุกครั้งนี่คะ” หลินซีหัวเราะกลบเกลื่อนตอบออกไป“หนูนี่ช่างสังเกตดีนะ” กู้หนิงกล่าวชม จากนั้นเธอก็เดินไปหั่นผักที่ล้างเรียบร้อยแล้วเพื่อจะนำมาผัด“ย่าคะ ให้หนูเป็นคนทำกับข้าวเองนะคะ” เด็กหญิงกล่าวอาสา แม้ว่าฝีมือของเธอจะไม่ถึงขั้นเลิศรสแต่ก็จัดได้ว่าอร่อย ดังนั้นเธอจึงคิดอยากแบ่งเบาภาระของผู้เป็นย่าอีกทั้งยังได้สร้างความสนิทสนมภายในตัวไปด้วย“ลูกสาวแม่แน่ใจหรือจ๊ะ” เจียวเหมยหลังจากเก็บข้าวของที่นำมาจากโรงพยาบาลเข้าที่เรียบร้อยแล้วเดินเข้าครัวมาทันได้ยินคำพูดของลูกเข้าพอดีจึง
ช่วงสายของวันหลังจากที่หมอมาตรวจอาการของเด็กหญิงแล้ว เขาก็อนุญาตให้เจ้าตัวกลับบ้านได้“ดีจังเลยนะคะที่หนูได้กลับบ้านแล้ว หนูอยากเจอคุณปู่ คุณย่ามากเลย” หลินซีกล่าวขึ้นในเบาะหลังของรถสี่ที่นั่งประจำบ้านที่ผู้เป็นพ่อซื้อมาในราคาสูงลิ่วทว่าผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับทำหน้าตกใจคล้ายถูกผีหลอก ทำให้เด็กหนุ่มผู้เป็นพี่รองหันหน้ามาสนใจผู้เป็นน้องสาว“น้องมีไข้อีกไหม” หลินชิวเอามืออังหน้าผากของน้องสาวผู้นั่งตรงกลางถามขึ้นสีหน้ากังวล“หนูหายดีแล้วค่ะ ทำไมพี่รองถามแบบนี้ล่ะคะ” เด็กหญิงอมลมกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ“ก็น้องเคยคิดถึงปู่กับย่าเมื่อไหร่กัน ไม่สิอาจจะมีย่าอยู่คนหนึ่งคือคนนั้น” หลินชุนตอบแทนน้องชายฝาแฝด“ตอนนี้หนูเปลี่ยนไปแล้วค่ะ หนูรู้แล้วว่าใครดีกับหนูอย่างจริงแท้ ดังนั้นหนูจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกคนยกเว้น..” หลินซีตอบพี่ชายก่อนที่จะหยุดคำพูดที่เหลือ“ปกติน้องก็เป็นเด็กดีนะ แต่ติดตรงที่น้องชอบดื้อกับย่ากู้เพียงเท่านั้น” หลินชิวกล่าวตามจริง“ต่อไปนี้หนูจะไ
ภายนอกห้องน้ำ ในขณะที่หลินชิวกำลังยืนรอน้องสาวอยู่หน้าประตู เสียงเคาะประตูหน้าห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้นก่อนที่จะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกับตน เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีไฝใต้ตาซ้ายเช่นเดียวกับเขาเด็กหนุ่มผู้มาใหม่กวาดตามองไปบนเตียงผู้ป่วยเห็นเพียงแต่ผ้าห่มยู่ยี่ไม่เป็นระเบียบ เขาจึงได้หันหน้ามามองน้องชายแววตาบ่งบอกถึงคำถาม“น้องสาวอยู่ในห้องน้ำ” เด็กหนุ่มตอบออกมาทันทีเมื่อเห็นสายตาของคนที่เกิดก่อนตนห่างกันเพียงเล็กน้อย“นานหรือยัง” เด็กหนุ่มถามอย่างนึกสงสัย“สักพักแล้ว เอ๊ะ! เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผู้เป็นน้องตอบคำพร้อมกับนึกขึ้นมาได้“นายนี่มัน เสี่ยวซีน้องเป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นพี่ส่งสายตาเชิงตำหนิให้น้องชายพร้อมพยายามเปิดประตูในระหว่างนี้ก็ตะโกนเรียกน้องสาวไปด้วย“ฉันสบายดีค่ะ พี่ใหญ่อย่าดุพี่รองเลยนะคะ” หลินซีกล่าวขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกมาหลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตนลงแล้ว“น้องไม่เป็นอะไรแน่นะครับ” พี่ใหญ่ของน้องทั้งสองถามไถ่เด็กหญิงอย
“แม่ครับ พ่อครับ น้องหายดีหรือยัง” น้ำแสงเริ่มแตกหนุ่มของเด็กชายรูปร่างผอมสูงวัยสิบห้าผู้มีดวงหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายคนเป็นพ่อส่งเสียงถามผู้ที่อยู่ด้านในก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง“อาชุนมาดูน้องสิลูก พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ผู้เป็นพ่อกล่าวเรียกบุตรชายฝาแฝดคนโตอย่างจนใจ“น้องเป็นอะไร ร้องไห้ทำไมหรือครับ” น้ำเสียงร้อนใจของเด็กหนุ่มผู้มาใหม่อีกคนถามขึ้นทันที“น้องรองใจเย็นก่อน เราค่อย ๆ ไปถามน้องสาวกัน” ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดรีบปรามคนเป็นน้องที่เกิดห่างจากตนไม่กี่นาที“ก็ผมเป็นห่วงน้องนี่” คนเป็นน้องหน้ามุ่ย“พี่ใหญ่ พี่รอง” คนเป็นน้องสาวผละออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่มองมาตามเสียงที่ตนได้ยิน ก่อนเรียกคนทั้งสองน้ำเสียงสะอื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก“เสี่ยวซี น้องเป็นอะไรใครรังแกบอกพี่มา” ผู้เป็นพี่ใหญ่รีบเดินเข้าไปหาพลางเอามือลูบผมผู้เป็นน้องถามเสียงอ่อนเด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้โฮส่ายหัวไปมาพลางจับมือของพี่ชายแน่น “น้องเ
หน้าหลุมศพของสถานที่อันเป็นแหล่งพำนักสุดท้ายของผู้ที่เคยมีชีวิตท่ามกลางสายฝนโปรยปรายได้มีหญิงสาวรูปร่างผอมบางสวมชุดเดรสสีขาว สภาพผมของหล่อนกับชุดแนบลู่ติดกับร่างกายเนื่องจากฝนที่ตกลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดใบหน้าของหญิงสาวขาวซีดดวงตาบอบช้ำมีหยาดน้ำไหลอาบร่องแก้ม ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็นหยาดน้ำตาของเจ้าตัวหรือเป็นหยาดน้ำจากฝนที่กำลังโปรยปรายกันแน่“พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนเจอกันหรือยังคะ ตอนนี้ทุกคนสบายดีไหม” หญิงสาวยืนกล่าวกับหลุมศพที่เรียงกันอยู่ด้านหน้าน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้า“วันนี้ฉันมาลาทุกคนนะคะ ฉันกำลังจะไปจากเมืองนี้ค่ะ ไปให้ไกลจากคนชั่วพวกนั้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าตามสายเลือดทว่าหญิงคนนั้นกลับใจร้ายกับพวกเราเสียเหลือเกิน พ่อคะ แม่คะ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนจะอภัยให้ฉันไหม แม้ในตอนนี้ฉันจะรู้ดีว่าการตายของทุกคนเกี่ยวข้องกับใครตะ...แต่ฉันก็ไม่อาจที่จะแก้แค้นคนเหล่านั้นได้ ไม่อาจที่จะนำของที่เป็นของครอบครัวเรากลับคืนมา พ่อคะ พ่อจะโทษฉันไหม ที่ฉันเป็นคนขี้ขลาด” หญิงสาวไหล่ไหวสะท้านขึ้นลงกล่าวออกมาอีกครั