“ใช่แล้วละ ซานเป่าได้รับบาดเจ็บจากการไปกู้ภัยเขาก็เลยขอลาออกทำให้ตอนนี้ค่อนข้างลำบาก วันนั้นพ่อจะให้เงินเขามากขึ้นกว่าที่เขาต้องการเขาก็ไม่ยอมรับ พ่อก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง ว่าแต่ลูกรู้เรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ” หลินไท่เล่าเรื่องของสหายออกมาตามตรงพลางถามลูกสาวอย่างสงสัย
“ในเมื่อตอนนี้พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคนแล้ว หนูมีเรื่องจะเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ ในขณะที่เล่าออกมาทุกคนอย่าเพิ่งถามอะไรจนกว่าหนูจะเล่าจนจบนะคะ หลังจากนั้นทุกคนค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่” เด็กหญิงพูดขึ้นสีหน้าจริงจังแต่ทว่าแววตากลับมีความลังเลระคนหวาดหวั่นพาดผ่าน
“พวกเราจะตั้งใจฟัง” เสียงแหบพร่าจากชายชรากล่าวแทนคนในครอบครัว
“หนูจะเริ่มเล่าเลยนะคะ ในตอนที่หนูไม่สบายอยู่หนูได้ฝันค่ะ ฝันว่าครอบครัวของพวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนกับตอนนี้ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะหนูเองที่หลงเชื่อผู้หญิงคนนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ.....” หลินซีเล่าเรื่องราวในอดีตออกมาทั้งหมดด้วยเสียงอันสั่นเครือจากการร้องไห้ ไหล่ของหล่อนสั่นสะท้านยามนึกถึงเรื่องในอดีตอันเลวร้ายเหล่านั้น
“ลูกสาวแม่ หยุดร้องเถอะนะ ตอนนี้พวกเราก็ยังสบายดีใช่ไหมจ๊ะ หนูอย่าโทษตัวเองเลย” จิวเหมยโอบกอดเด็กหญิงกล่าวปลอบโยนด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวดด้วยความสงสารบุตรสาว
“แม่คะ ฮือ ๆ หนูขอโทษ ทุกคนคะหนูขอโทษ” หลินซีกล่าวออกมาพลางสะอื้นไห้อย่างน่าสงสารโอบกอดเอวของแม่แน่น
“ไม่ต้องร้องนะหลานปู่ พวกเราไม่มีใครโกรธหลานหรอก” ชายชราปลอบโยนคนเป็นหลานเช่นเดียวกับลูกสะใภ้
แม้ว่าเรื่องที่หลานสาวเล่าออกมาจะฟังดูน่าเหลือเชื่อก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยรู้จักนิสัยของผู้หญิงที่เคยชื่อว่าเป็นภรรยาเก่าของตนดี
“ย่าเองก็ไม่เคยถือโทษโกรธหนูเช่นกัน หยุดร้องเถอะนะ” หญิงชราแม้จะตกใจในเรื่องที่ได้ยินแต่เธอคิดว่าไม่มีเหตุผลที่หลานสาวจะต้องโกหก อีกอย่างการที่หลานสาวรู้เรื่องหรือทำในสิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องที่หลานสาวพูดออกมาน่าจะเป็นเรื่องจริง
“ลูกสาวหนูไม่ต้องกลัวนะ พวกเราก็แค่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น เหตุการณ์ที่ลูกกลัวก็จะไม่เกิดลูกคิดว่ายังไง” หลินไท่เอามือลูบหัวบุตรสาวกล่าวอย่างอ่อนโยน
“พ่อคะ แม้ว่าเราจะไม่ยุ่งกับเขาแต่หนูกลัวว่าเขาจะไม่หยุด เราวางใจเขาไม่ได้หรอกค่ะ ดังนั้นเราจะต้องเตรียมรับมือให้ดี” หลินซีผู้รู้จักธาตุแท้ของหญิงคนนั้นกล่าวออกมาทั้งเสียงสะอื้น
“ผมเห็นด้วยกับน้องสาว อย่างน้อยในตอนนี้เรื่องราวเลวร้ายที่น้องฝันยังไม่เกิด อีกทั้งน้องยังรู้จักชื่อคนเหล่านั้นด้วย ผมว่าควรใช้จุดนี้ให้เกิดประโยชน์กับทางเราให้มากที่สุด” หลินชุนกล่าวคล้อยตามผู้เป็นน้อง
“ใช่ครับ ผมเองก็เห็นด้วย นับตั้งแต่นี้ไปผมจะตั้งใจเรียนทุกอย่างรวมถึงศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงด้วย” หลินชิวกล่าวอย่างมุ่งมั่น
เพราะเขาคิดว่าคนในฝันของน้องสาวนั้นเป็นเขาแน่หรือ ทำไมไม่เก่งกาจเอาซะเลย
เช่นเดียวกับหลินชุนต่อไปนี้ก่อนที่จะทำอะไรเขาจะต้องระแวดระวังเอาไว้ทุกฝีก้าวไม่หลงเชื่อใครง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้หญิงยกเว้น ย่า แม่ และน้องสาว เพราะคนในฝันของน้องนั้นเป็นเพราะใจอ่อนช่วยเหลือผู้หญิงที่เป็นนางนกต่อนั่นเอง
หลินซีเมื่อได้ฟังสิ่งที่คนในครอบครัวกล่าวออกมา เธอก็ปล่อยอ้อมแขนจากเอวบางของแม่ก่อนกวาดตามองทุกคนที่มองมาทางตนด้วยดวงตาแดงก่ำคล้ายกระต่าย
“ทุกคนเชื่อเรื่องที่หนูเล่าออกมาหรือคะ” เด็กหญิงถามคนในครอบครัวน้ำเสียงแหบแห้ง
“เชื่อสิครับ/สิจ๊ะ” คนในครอบครัวตอบออกมาพร้อมเพรียง
“ขอบคุณนะคะ ทุกคนรู้ไหมคะว่าหนูกังวลมากเลย กลัวไปสารพัด หนูไม่อยากเสียทุกคนไปอีกแล้วไม่อยาก” เด็กหญิงร้องไห้ออกมาอีกครั้งทำให้คนในครอบครัวต่างสลับเข้ามากอดปลอบกันวุ่นวาย
“พ่อว่าดีแล้วที่ลูกเล่าเรื่องนี้ออกมา ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันมีหลายคนช่วยคิดดีกว่าให้ลูกเผชิญความทุกข์ตามลำพัง” หลินไท่บอกลูกสาวตามตรง
“ใช่แล้วละ ตอนนี้หนูก็เลิกร้องเถอะนะ ปู่เห็นแล้วใจคอไม่ดี” ชายชราปลอบหลานสาวพลางเอามือเต็มไปด้วยริ้วรอยลูบหัวเล็กของเด็กหญิงอย่างสงสาร
“หนูจะไม่ร้องไห้แล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนนะคะ ต่อไปนี้หนูจะไม่ดื้อรั้นเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว” หลินซีกล่าวพลางสูดน้ำมูกของตน
“เช็ดหน้าก่อนครับ” หลินชุนผู้ไปนำผ้าชุบน้ำอุ่นมากล่าวพร้อมยื่นผ้าสีขาวสะอาดส่งให้น้องน้อย
“ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่” หลินซีรับผ้ามาเช็ดหน้าของตนกล่าวเสียงเครือ
“ไม่ต้องร้องแล้วนะครับ ต่อไปนี้พวกเรามาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งกันเถอะจะได้ไม่มีคนมารังแกครอบครัวของเราได้” หลิน ชิวกล่าวอย่างมุ่งมั่นพร้อมกับชูมือขึ้นสูง
ทำให้หลินซีหัวเราะทั้งน้ำตาให้กับพี่รองของตน ‘โชคดีที่ได้กลับมา โชคดีที่ตัดสินใจเล่าความจริง’ เด็กหญิงคิด
“เรามาเปลี่ยนเรื่องสนทนากันเถอะ เรื่องของร้านในมณฑลพ่อจะทำตามความเห็นของลูกก็แล้วกัน และอีกอย่างอาเป่าขับรถบรรทุกได้ดังนั้นเรื่องการขนส่งไม่มีปัญหา” หลินไท่กล่าวเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าลูกสาวระงับอารมณ์ของตนได้แล้ว
“ดีค่ะ เรื่องนี้หนูเห็นด้วย” หลินซีรีบกล่าวสนับสนุน
ดังนั้นเช้าวันต่อมาหลินไท่จึงได้ขับรถของตนไปยังบ้านของสหายที่อยู่กันคนละหมู่บ้าน เมื่อไปถึงหน้าบ้านหลังที่ตนจำได้แม่นยำว่าต้องเป็นบ้านของสหายอย่างแน่นอน
“พวกแกรีบไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้กันได้แล้ว ไม่มีเงินมาใช้คืนฉันก็ต้องยึดที่ดินก็ถูกแล้ว” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากด้านในทำให้หลินไท่ผู้กำลังเดินลงจากรถวิ่งไปยังต้นเสียงทันที
“ผมขอเวลาอีกสักหน่อยไม่ได้หรือครับ หากว่าคุณไล่ผมไปตอนนี้ แม่กับลูกของผมจะไปอยู่ที่ไหน” ชายวัยกลางคนร่างซูบผอมใบหน้าตอบกล่าวอ้อนวอน
“นั่นมันเป็นปัญหาของแกไม่ใช่ปัญหาของฉัน รีบไสหัวออกไปกันได้แล้ว” หญิงชราผู้นั้นยังคงกล่าวไล่โดยไม่สนใจคำอ้อนวอนของชายผู้ที่นั่งคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอรวมถึงน้ำตาของหญิงชราและเด็กหนุ่มเลยสักนิดเดียว
หลินไท่ผู้อดรนทนรออยู่นานแล้วส่งเสียงถามออกมาอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นที่นี่ พวกคุณเป็นใคร”
“อาไท่!” ซานเป่าส่งเสียงเรียกชื่อสหายอย่างตกใจ
“นายไม่เป็นอะไรนะ คุณป้าครับลุกขึ้นมาก่อน เสี่ยวจื้อ ด้วย” หลินไท่พยุงหญิงสูงวัยกล่าวอย่างเป็นห่วง
“คุณเป็นใคร คนบ้านนี้ติดหนี้ฉันไว้ หากอยากช่วยเขาก็นำเงินมาให้ฉันซะ หากไม่มีก็พากันไสหัวไป” หญิงวัยเดียวกับเจ้าบ้านกล่าวเสียงดังพลางแบมือของตนออกมา
“พวกเขาติดหนี้คุณเท่าไหร่ มีหนังสือกู้ยืมไหม” หลินไท่ถามออกมาเสียงดังไม่แพ้กัน
“มี เอาไปดูซะ” หญิงคนนั้นตอบหลินไท่ก่อนบ่ายหน้าไปทางลูกน้องของตน
“ดูให้เต็มตา” ลูกน้องคนนั้นกล่าวเสียงเยาะ
“สองร้อยหยวน อาเป่านายติดหนี้จำนวนนี้จริงหรือเปล่า” หลินไท่หันไปถามเพื่อนผู้ก้มหน้าอย่างรู้สึกละอายใจที่สหายได้มาเห็นภาพความอัปยศของตน
“หนี้พวกนี้เป็นผู้หญิงคนนั้นสร้างไว้ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับพวกเราด้วยซ้ำ” เสียงของเด็กหนุ่มกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้นแววตาชิงชังยามนึกถึงผู้ให้กำเนิด
“อาจื้อ! ผู้หญิงคนนั้นยังไงก็เป็นแม่ของหลานอย่าก้าวร้าว” หญิงชราส่งเสียงปรามหลานสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์
เด็กหนุ่มยังคงมีท่าทางฮึดฮัดคล้ายไม่ยินยอม หลินไท่มองหน้าสหายที่เอาแต่ก้มหน้าสลับกับหญิงชราและเด็กหนุ่มก็ถอนใจออกมาอย่างอึดอัด
“ผมจะใช้หนี้แทนเอง และต่อไปนี้พวกคุณก็อย่ามาที่นี่อีก” หลินไท่ตัดสินใจพูดออกไป
“อาไท่ หนี้พวกนี้เป็นของบ้านเราฉันจะให้นายมารับผิดชอบใช้หนี้แทนได้ยังไงไม่ได้หรอก” ซานเป่าเรียกชื่อของสหายพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างยืดยาว
“มีคนจะใช้หนี้แทนพวกแกก็ดีแล้วนี่ จนก็จนยังจะเรื่องมากอีกถุย!” หญิงผู้นั้นถ่มน้ำลายลงพื้นหลังจากพ่นคำพูดไม่น่าฟัง
“คุณช่วยคืนหนังสือสัญญาการเป็นหนี้มาด้วย จากนี้หากมีคนไปยืมเงินของคุณโดยไม่ใช่คนในครอบครัวของสหายผมสามคนนี้อีก ผมจะแจ้งทางการมาจับคุณข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกและปล่อยเงินกู้” หลินไท่แสร้งข่มขู่คนเหล่านี้ที่เขามองแล้วว่าน่าจะใช้แต่กำลังเป็นอย่างเดียว
“ดะ.. ได้ นี่หนังสือสัญญาเอาเงินมาสิ” หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงสั่น หลินไท่อ่านหนังสือสัญญาที่ได้รับมาอย่างละเอียดก่อนจะส่งให้สหายที่ยืนมองเขาอยู่
“ไปได้แล้วอย่าให้ผมเห็นพวกคุณอีก” หลินไท่กล่าวไล่หลังจากที่เขาส่งเงินให้ตามจำนวนที่พวกนั้นต้องการ
“อาไท่ขอบใจมาก หากไม่ได้นายวันนี้ฉะ..” ซานเป่ากล่าวเสียงเครือยังไม่ทันจบหลินไท่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่เป็นไร เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันภายหลัง”
“เสี่ยวไท่ ป้าขอบใจมากนะที่ช่วยเหลือเราเอาไว้” หญิงชรากำลังจะก้มหัวขอบคุณชายรุ่นลูกทว่าได้ถูกหลินไท่กล่าวห้ามไว้เอาไว้
“อาไท่ครับ ผมขอขอบคุณอามาก หากอามีเรื่องอะไรต้องการให้ผมช่วยเหลือได้โปรดบอกออกมาได้เลย แม้ว่าผมในตอนนี้อาจจะไม่สามารถช่วยได้มากนักก็ตาม” ซานจื้อคุกเข่าลงคำนับให้กับชายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งใจ
เนื่องจากชายวัยกลางคนผู้นี้ช่างเป็นผู้ส่งถ่านกลางหิมะ[1]ให้กับครอบครัวของเขาได้ทันพอดี
“ลุกขึ้นเถอะ พวกเราเข้าไปคุยกันด้านในดีกว่า” หลินไท่เอามือจับบ่าเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวออกมา
“ได้สิ” ซานเป่าเดินเข้าไปพยุงมารดารับปากสหายอย่างไม่ลังเล
[1] หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่ลำบากได้ทันกาล
หลังจากอาหารเย็นวันนั้นผ่านไปก็เข้าสู่วันปิดภาคการศึกษาของเด็ก ๆ โม่เซียงก็มาทำงานพิเศษอยู่ในร้านครอบครัวหลินเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่ว่าง ส่วนเด็กบ้านหลินนั้นตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลไม้ผลที่ได้เริ่มปลูกเมื่อช่วงต้นภาคเรียนในเทอมก่อน ทำให้หลินซีได้หลงลืมในเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ของตนไปชั่วคราว “หลินซีน้องกำลังทำอะไรอยู่” หลินชิวถามน้องสาวที่นั่งยองอยู่หน้าเถาองุ่น “ฉันกำลังคิดว่าหากมันโตได้เร็วก็คงดี จะได้ทันเก็บผลไปขายในช่วงวันปีใหม่” เด็กหญิงตอบพี่ชายในขณะที่มือของตนยังจับอยู่ที่ลำต้นอ่อนของเถาองุ่นด้านหน้า&nb
นับตั้งแต่วันที่เด็กทั้งเก้ามีลุงคนใหม่ ทุกวันหยุดของผู้เป็นลุงเด็ก ๆ จะนั่งรถสาธารณะเพื่อไปยังสนามฝึกซ้อมของหน่วยทหารที่ลุงของตนประจำอยู่ ภายในโรงฝึกสำหรับลูกหลานของคนในกองทัพ ในขณะนี้เด็กทั้งเก้าได้เปลี่ยนเป็นชุดฝึกประจำของแต่ละคนแล้ว เสียงการต่อสู้ของพวกเขาดังอย่างต่อเนื่องโดยมีหลินกวงเป็นผู้ฝึกด้วยตนเอง ทำให้ทหารภายในหน่วยหลายนายต่างพากันมาฝึกกับเด็กกลุ่มนี้ด้วยแม้ว่าจะแค่อาทิตย์ละสองวันก็ตาม ชีวิตประจำวันของสามพี่น้องบ้านหลินในตอนนี้นอกจากออกกำลังกายกับการฝึกหมัดมวยก็คือการช่วยงานทางบ้านเหตุการณ์สำหรับพวกเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้จนถึงวันประกาศผลสอบก่อนปิดภาคการศึกษา “เสี่ยวซี เธอแน่มาก” ซุนเหมียวกอดคอสหายแน่นหลังจากเห็นคะแนนสอบ
“พี่ใหญ่ ห้องนี้คือที่พักของพี่เหรอครับ” ผู้เป็นน้องมองห้องที่มีเพียงหนึ่งเตียงหนึ่งโต๊ะทำงานถามพี่ชายสีหน้าแสดงความเห็นใจ เพราะเขาคิดว่าพี่ชายจะต้องอยู่อย่างลำบากเป็นแน่ “นายคิดอะไรอยู่สีหน้าคล้ายจะร้องไห้แบบนี้ โตเป็นพ่อคนแล้วนะ” หลินกวงถามน้องชายต่างสายเลือดพลางกล่าวติงไปพร้อมกัน “พี่ใหญ่ หลายปีมานี้พี่คงลำบากมากเลยใช่ไหม ผมจะดูแลพี่ให้ดีและจะบอกให้หลานทั้งสามกตัญญูต่อพี่ด้วย” หลินไท่พูดในขณะที่เขาเดินเข้ามากอดพี่ชายตัวเองแน่น “อะไรของนาย แต่ก็ลำบากจริง ๆ นั่นแหละ กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย” หลินกวงผู้เข้าใจคนละความหมายของน้องชายตอบคำถามของน้องตามจริง หลินเจ๋อได้แต่ส่ายหัวให้กับบุตรชายทั้งสองที่สน
“พวกแกจำเอาไว้ให้ดี ฉันไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ง่าย ๆ อย่างแน่นอน” นางฟางยกนิ้วชี้หน้าครอบครัวหลินกล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น จากนั้นหล่อนก็รีบสาวเท้าเดินออกจากร้านอาหารบ้านหลินอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดมองใครให้อับอายเพิ่มขึ้น ในขณะที่หญิงชราเดินผ่านหน้าเด็กหนุ่มนายน้อยสองตระกูลใหญ่ไป ทั้งลู่หยางและซินอี๋ได้ลอบสบตากันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกันทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ส่วนคนภายในร้านอาหารหลังจากเห็นว่าหมดเรื่องสนุกที่ไม่ใช่ของตนจบลง พวกเขาก็พากันกินอาหารด้านหน้าของตนต่ออย่างเป็นปกติเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน “วันนี้ร้านอาหารบ้านหลินของเราต้องทำให้ทุกคนเห็นเรื่องขายหน้
เรื่องราวที่คิดว่าได้จบลงแล้วกลับกลายเป็นว่าหลายวันต่อมาได้มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ลงข่าวเกี่ยวกับครอบครัวหลินเอาไว้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นข้อความใหญ่โตก็ตาม ทว่าก็ยังได้เรียกความสนใจจากคนผู้หนึ่งได้ ซึ่งคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “ภรรยาลูกของคุณตอนนี้ดังใหญ่แล้วนะ อีกทั้งยังมีกิจการใหญ่โตเสียด้วย คุณไม่คิดจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อยเหรอ” “คุณไปได้ยินมาจากไหนกัน เราอยู่ห่างเขาตั้งหลายกิโล” เสียงของหญิงวัยห้าสิบเศษพูดขึ้นหลังจากได้ยินถ้อยคำเย้ยหยันออกมาจากปากสามีวัยชรา “ก็ในหนังสือนี่ยังไงล่ะ ในนี้ลงข่าวว่าหลานของคุณเป็นผู้กอบกู้เชียวนะ พวกเขาถ่ายร้านอาหารของลูกคุณด้วยมาดูสิ กะอีแค่ช่วยเพื่อนนักเรียนให้รอดพ้นจากผู้ร้ายหนีคดีมันต้องลงข่าวอวยกันขนาดนี้เลย” ชายชราผู้พูดกล่าวเสียงขึ้นจมูกสบถออกมาอย่า
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังนับตั้งแต่วันที่หลินซีได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกย่างก้าวของเธอในตอนนี้จะต้องมีพี่ชายทั้งสองหรือไม่ก็หนึ่งคอยสลับกันอยู่ด้วยตลอดเวลา “ทุกคนคะ หนูแข็งแรงแล้วนะคะ หนูรู้ค่ะว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ถ้าทุกคนยังทำอย่างกับหนูเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอยู่แบบนี้มันทำให้หนูรู้สึกอึดอัดค่ะ” หลินซีพูดเปิดอกกับคนในครอบครัวช่วงเย็นของวันหลังจากมื้ออาหารจบลง “พ่อรู้ว่าลูกลำบากใจ แต่คราวหน้าคราวหลังลูกจะต้องรับปากออกมาก่อนว่าจะไม่ทำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายแบบนี้อีก ตกลงไหม” หลินไท่พูดกับลูกสาวน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับใบหน้า “หนูให้สัญญาค่ะ ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก ดังนั้นทุกคนช่วยปฏิบัติกับหนูเหมือนเดิมนะคะ” หลินซีตอบรับอย่างเชื่อฟังพลางร้องขอ เนื่องจากทุกวันนี้เธ
“เสี่ยวซีน้องจะไปไหน” ลู่หยางเอ่ยถามเด็กหญิงที่วิ่งอยู่ด้านหน้าโดยมีพวกเขาทั้งสี่ตามมาติด ๆ “ไปช่วยเซียงเซียงค่ะ เร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทัน” หลินซีตะโกนตอบในขณะที่วิ่งอย่างรวดเร็วมุ่งไปทางข้างหน้าตามความทรงจำที่เคยได้ยินมาเมื่อครั้งอดีต ในวันนั้นเธอจำได้ว่าชายชั่วผู้เป็นสามีของตนกำลังนั่งดื่มสุรากับลูกพี่ลูกน้องของเขา ส่วนเธอก็ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ให้กับมันในการทำอาหาร ระหว่างที่เธอกำลังยกอาหารออกมาให้คนเหล่านั้นก็ได้ยินถ้อยคำอันไม่น่าฟังเข้าพอดี “พวกแกดูแม่นักข่าวสาวคนนั้นสิ ยังกล้ามาอยู่หน้ากล้องอีก” “แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หล่อนก็ดูสวยดีนี่ทำไมจะอยู่หน้ากล้อง
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสองได้เจียนปิ่งมาแล้ว เด็กทั้งห้าก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกันโดยที่มีเพียงสองคนในกลุ่มที่สนทนากันอย่างสนุกสนาน “ระวังจะติดคอเถอะ กินไปพูดไปแบบนั้น” หลินชุนอดที่จะเอ่ยปากเตือนสหายใหม่ออกมาไม่ได้ ฟู่ซินอี๋หันมามองหน้าเขาก่อนจะเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปาก และเมื่อกลืนลงคอเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงยิ้มพร้อมพูดออกมา “ฉันกินหมดแล้ว” เด็กหนุ่มอ้าปากให้เพื่อนใหม่ดู “รู้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้” หลินชุนพูดพร้อมกับส่ายหัว ‘ไม่รู้ว่าเขามีเพื่อนหรือน้องชายเพิ่มมาอีกคนกันแน่’ เด็กหนุ่มคิด&
“ลืมกันแล้วอย่างนั้นเหรอ” ลู่หยางถามเด็กหญิงตรงหน้าน้ำเสียงแฝงความเศร้า ทำให้หลินซีรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงความผิดหวังนั้น เธอจึงมองใบหน้าของเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจและในที่สุดก็ได้ปรากฏภาพความทรงจำภาพหนึ่งผุดขึ้นมา หน้าสุสานแห่งหนึ่ง ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเป็นสถานที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณของตายายผู้จากไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุ วันนั้นเธอได้เดินเลี่ยงคนในครอบครัวออกมาถึงม้านั่งใต้ร่มไม้และก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังถูกเด็กชายอีกสองสามคนรุมล้อม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบผู้สวมชุดกระโปรงยาวสีดำทรงสุ่มจึงได้เดินเข้าไปใกล้ จากนั้นเธอก็ได้ยินคำพูดอันร้ายกาจของเด็กชายหนึ่งในสามที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเด็กชายชุดดำที่นั่งอยู่บนม้านั่ง&nbs