หลังจากพ่อลูกกลับมาถึงบ้านแล้ว เด็กทั้งสามก็นำสิ่งของที่ซื้อมาเดินเข้าไปในครัวยกเว้นเครื่องในหมูที่เด็กหญิงให้นำไปใส่อ่างเพื่อเอาไว้หลังบ้านก่อนที่เธอจะเป็นผู้จัดการเอง
“ซื้ออะไรกันมาเยอะแยะ อาไท่ลูกซื้ออะไรมาทำไมกลิ่นมันแรงแบบนี้” พ่อผู้ชราที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยกเอานิ้วบีบจมูกถามออกมาน้ำเสียงอู้อี้เมื่อหลานชายหญิงเดินผ่านพร้อมสิ่งของในมือ
“เครื่องในหมูครับ หลานสาวพ่อให้ผมซื้อ” ผู้เป็นลูกตอบพร้อมกับหย่อนก้นลงนั่งหลังจากบุตรทั้งสามเดินหายไปในครัว
“ซื้อมาทำไม” ชายชราขยับขาแว่นตาถามอย่างสงสัย
“เรื่องนี้ต้องถามหลานสาวของพ่อดูเอาเองครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้” หลินไท่ตอบขึ้นอย่างจนใจในคำตอบเพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกัน
“เอาเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็คงรู้เองนั่นแหละ จะว่าไปตั้งแต่เสี่ยวซีหายป่วยพ่อรู้สึกว่าหลานดูเปลี่ยนไป แต่เป็นไปในทางที่ดีก็ดีแล้ว ดูเหมือนว่าจะโตขึ้นมีความคิดมากขึ้นไม่เอาแต่ใจเหมือนก่อน” ชายชรากล่าวเสียงเนิบกับลูกชายที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“ผมเห็นด้วยกับพ่อครับ เธอเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว พ่อครับวันนี้ผมได้ไปซื้อ....ผมว่าจะปล่อยเช่าร้านในตัวมณฑลนะครับ พ่อมีความเห็นอะไรไหม” หลินไท่เล่าในสิ่งที่ไปทำวันนี้ออกมาให้พ่อฟัง
ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่มและถามชายชราออกมาอีกครั้งในเรื่องที่ตนคิดระหว่างขับรถกลับบ้าน
“หากแกคิดดีแล้วก็เอาตามที่แกว่าเถอะ ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก เงินทองบ้านเราก็พอมีไม่ได้เดือดร้อน” ผู้เป็นพ่อไม่คิดขัด ทั้งสองพ่อลูกต่างสนทนากันอยู่นานจนกระทั่งพวกเขาเริ่มได้กลิ่นหอมลอยออกมาจากด้านในครัวหลังบ้าน
“เสี่ยวซี ซาลาเปาที่น้องทำ ทำไมมันหอมแบบนี้ล่ะครับ” หลินชิวสูดกลิ่นหอมเข้าปอดลึกถามกับน้องสาวที่ใบหน้าเปื้อนคราบแป้งเป็นหย่อม ๆ
“เสี่ยวซี พี่เช็ดหน้าให้” หลินชุนกล่าวกับน้องในขณะเดียวกันก็นำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยเปื้อนให้น้องสาวอย่างเอาใจใส่
กู้หนิงผู้เพิ่งจะเดินกลับเข้าบ้านมาก็ได้กลิ่นหอมลอยอวลไปทั่ว หล่อนจึงได้มองไปยังชายต่างวัยทั้งสองสีหน้ามีคำถาม
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของเสี่ยวซีครับ วันนี้ผมซื้อเนื้อหมูมาตามที่ลูกอยากได้” หลินไท่ตอบแม่เลี้ยง
“อย่างนั้นหรือ แม่เข้าไปดูหน่อยดีกว่า” เมื่อได้ยินคำตอบ หญิงชราก็พูดพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปยังห้องครัวทันที
ภายในห้องครัวตอนนี้หลินชิวกำลังนั่งกินซาลาเปาสีขาวลูกใหญ่อย่างมีความสุข
“เสี่ยวซีหลานทำอะไรหรือลูก กลิ่นหอมไปทั่วบ้านเชียว” กู้หนิงเมื่อเห็นหลานสาวอยู่หน้าเตาเอ่ยถามออกไป
“หนูทำซาลาเปาค่ะ คุณย่าลองชิมดูสิคะว่าอร่อยไหม” เด็กหญิงหันหน้ามาตามเสียงเรียกพร้อมกับนำซาลาเปาที่นึ่งสุกแล้วเรียงในจานโดยมีพี่ชายคนโตคอยช่วย
“ย่าไม่ต้องชิมย่าก็รู้ว่าต้องอร่อยกลิ่นหอมมากขนาดนี้” กู้หนิงเดินเข้ามาใกล้ซาลาเปาแป้งขาวลูกใหญ่กล่าวเยินยอทำให้คนทำยิ้มแก้มปริด้วยความปลื้มใจ “น้องสาวครับแก้มจะแตกแล้ว” หลินชิวกล่าวแซวในขณะที่ยังเคี้ยวซาลาเปาอยู่ในปาก
“ของกินยังอุดปากนายไม่ได้อีกนะ รีบกินเข้าไปขนาดนั้นเดี๋ยวก็ลิ้นพอง” พี่ชายคนโตส่งสายตาปรามน้องชายพูดจิกกัด
แทนที่เด็กหนุ่มผู้ถูกต่อว่าจะสลด เขากลับทำสีหน้าทะเล้นกล่าวออกมาอย่างไม่รู้สา “พองก็ยอมครับ ของอร่อยผมย่อมไม่พลาด”
หลังพูดจบเด็กหนุ่มก็นำซาลาเปาในมือเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ต่อไป ทำให้น้องสาวกับผู้เป็นย่าได้แต่หัวเราะให้กับการกระทำของเขายกเว้นก็แต่เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายกันส่ายหน้าอย่างระอา
“เสี่ยวซี หนูทำอะไรอีกหรือ ย่าได้ยินเสียงเดือดดังมาจากหม้อและกลิ่นหอมคล้ายเครื่องเทศ” กู้หนิงถามหลานสาวออกมาอีกครั้ง
“เครื่องในตุ๋นค่ะ หนูขอตัวไปดูก่อนนะคะ” เด็กหญิงตอบก่อนเดินไปดูสิ่งที่ตัวเองทำ
เมื่อเปิดฝาหม้อออกไอร้อนก็พวยพุ่งออกมาพร้อมกลิ่นหอมเข้มข้น ทำให้คราวนี้ผู้ที่นั่งอยู่ด้านนอกต้องพากันเดินเข้ามาตามกลิ่น
“ภรรยา กลิ่นอะไรครับหอมจัง” ชายชราถามคู่ชีวิตอย่างใคร่รู้
“หลานสาวตุ๋นเครื่องในค่ะ กลิ่นหอมใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะคะ คุณอยากชิมดูไหม” หญิงชราตอบพลางตักสิ่งที่อยู่ในหม้อขึ้นมา
“ลองดูก็ได้” ชายชราผู้ไม่ค่อยชอบกลิ่นของเครื่องในกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้เนื่องจากไม่อยากทำร้ายความรู้สึกหลานสาวที่มองมาอย่างคาดหวัง
ทว่าหลังจากที่ชายชราได้ลิ้มรสสิ่งที่ภรรยาป้อนเข้าปาก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างคล้ายตกใจกับรสชาติที่ได้รับ
“อร่อย! หลานทำได้ยังไง ปู่จำได้ว่าเคยไปกินมาครั้งหนึ่งรสชาติของมันทำให้ปู่ฝันร้ายอยู่นานมาก” ชายชราเล่าถึงอดีตในรสชาติอันเลวร้ายที่ฝังใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณปู่คิดว่าเครื่องในตุ๋นจะขายได้ไหมคะ” เด็กหญิงถามขึ้นอย่างลังเลหลังจากได้ยินคำพูดของชายชรา
“ขายได้แน่นอน ขนาดร้านที่ปู่เคยไปกินยังขายได้แล้วของหลานที่รสชาติอร่อยขนาดนี้จะขายไม่ได้ ได้ยังไง” ชายชราตอบตามจริง
“เสี่ยวซี ซาลาเปาล่ะ ลูกจะทำขายด้วยไหม รสชาติดีทีเดียวอร่อยกว่าร้านในมณฑลเสียอีก” หลินไท่พูดขึ้นบ้างหลังจากกินซาลาเปาไปครึ่งลูก
“ขายสิคะ แต่ว่าหากหนูไปโรงเรียนอาจจะลำบากสักหน่อย” หลินซีกล่าวอย่างลังเลเนื่องจากในตอนนี้เธอยังเป็นนักเรียนมัธยมต้นอยู่
“เรื่องนี้ไม่ยากหรอกลูก หนูเขียนสูตรให้ย่าก็ได้ย่าจะเป็นคนทำเอง รับรองว่าแม้จะไม่อร่อยเท่ารสมือหนูแต่ย่อมไม่น้อยหน้าอย่างแน่นอน” หญิงชรากล่าวอาสา
ซึ่งในเรื่องนี้หลินซีก็เห็นดีด้วยแต่เธอแค่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะ ทำแล้วได้รับผลดีเท่าเธอไหมแต่อย่างน้อยก็ต้องลองดูก่อน เพราะยังไงก็สูตรเดียวกันวิธีการปรุงเหมือนกันน่าจะแตกต่างกันไม่มาก คิดแล้วก็ลงมือทำเลยดีกว่าเนื้อหมูยังมีอยู่
“ย่าคะ สนใจจะลองทำเองเลยไหมคะ” หลินซีพูดขึ้นทันทีด้วยอยากทดลองสมมุติฐานของตน
“ตกลง” หญิงชรากล่าวตอบรับ
จากนั้นหลินไท่ก็ได้มาช่วยนวดแป้ง ส่วนกู้หนิงก็ผสมไส้ซาลาเปาตามที่หลานสาวชี้แนะ “ย่าคะ ผักดองของย่าก็มีนี่ เราลองเอามาทำไส้ผักดองดูดีไหมคะ ผักดองของย่าอร่อยมาก” หลินซีพูดขึ้น
“ได้สิลูก เสี่ยวชิวหลานไปหยิบอ่างผักดองของย่ามาที” หญิงชรารีบใช้หลานชายผู้ยังกินไม่หยุด
“ได้เลยครับ” เด็กหนุ่มรับคำก่อนที่เขาจะเดินไปอุ้มอ่างผักดองขนาดใหญ่ของย่าออกมาโดยที่ยังมีซาลาเปาคาบอยู่ในปาก
“นายจะหยุดกินก่อนไม่ได้ว่างั้น” หลินชุนส่ายหน้าอย่างระอาให้น้องชายก่อนที่จะเดินเข้าไปช่วยรับอ่างผักดอง
“ขอบคุณครับพี่ชาย” หลินชิวส่งยิ้มกว้างให้ผู้เป็นพี่โดยไม่เก็บคำพูดของพี่มาใส่ใจหลังจากกลืนซาลาเปาที่เคี้ยวลงคอเรียบร้อย
หลังจากหลินชุนวางอ่างผักดองข้างผู้เป็นน้องแล้ว เขาจึงได้เอ่ยถามในเรื่องที่ตนทำเสร็จออกมา “เสี่ยวซีเศษเนื้อติดมันกับไส้หมูที่น้องสอนให้พี่ล้างล่ะ น้องจะเอามาทำอะไรครับ”
“ทำกุนเชียงค่ะ” เด็กหญิงตอบออกไปทันที
“หลานทำเป็นอย่างนั้นหรือ” กู้หนิงถามหลานสาวสีหน้าแสดงความแปลกใจ
“หนูเคยเห็นย่าทำยังไงล่ะคะ หนูอยากกินก็เลยซื้อหมูมาทำ” หลินซีแก้ตัวอย่างเก้อ ๆ
“แต่ย่าทำนานแล้วนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเสร็จจากตรงนี้เราก็ไปทำด้วยกันดีไหม” หญิงชราบอกหลานสาวอย่างอาทร
“ขอบคุณค่ะย่า ย่าดีที่สุดเลย” เด็กหญิงกล่าวประจบ
“พี่ใหญ่ พวกเรากลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วละ” หลินชิวแกล้งกล่าวออกมาพร้อมตีหน้าเศร้า
“โตแล้วยังทำเป็นเด็กไปได้” ผู้เป็นพี่เอามือผลักหัวน้องชายอย่างหมั่นไส้
“พี่ชายปลอบผมหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ผมเสียใจ” เด็กหนุ่มมองพี่หน้ามุ่ยก่อนที่จะกล่าวเสแสร้งออกมาอีก ทำให้สี่คนที่มองอยู่ได้แต่ยกยิ้มให้กับการกระทำที่ไม่รู้จักโตของเขา
ช่วงเย็นในวันเดียวกันหลินไท่ก็ไปรับผู้เป็นภรรยาจากโรงงาน ก่อนที่เขาจะเล่าเรื่องในวันนี้ออกมารวมถึงการตัดสินใจของเจ้าตัวด้วย
“หากคุณคิดดีแล้วฉันก็ไม่ขัดหรอกค่ะ ดีเสียอีกคุณจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าเมืองมณฑลบ่อย ๆ” จิวเหมยกล่าวอย่างเห็นด้วย
แม้ว่าตัวมณฑลจะไม่ไกลแต่ก็ต้องออกไปตั้งแต่เช้ามืดกลับค่ำ ซึ่งเธอคิดว่ามันค่อนข้างไม่ปลอดภัยหากมีทางเลือกที่ดีกว่าก็ลองดูเถอะ
อาหารมื้อเย็นก็ยังคงเป็นฝีมือของเด็กหญิงเป็นผู้ปรุงตามเดิม “หากให้ปู่กินแบบนี้ทุกมื้อ ปู่ต้องอ้วนแน่” ชายชรากล่าวขึ้นหลังจากมื้ออาหารจบลง
“นั่นนะสิคะ ฝีมือของหลานสาวดีมากขนาดนี้ฉันก็คงจะอ้วนในไม่ช้าเป็นแน่” กู้หนิงกล่าวคล้อยตาม
“ไม่ทันได้อ้วนหรอกครับ เพราะน้องสาวบอกว่าจะชวนพวกเราทุกคนปลูกไม้ผลบนที่ดินของย่า” หลินชิวบอกในสิ่งที่น้องสาวต้องการทำในขณะเอามือลูบท้องที่เริ่มแน่นของตน
“หนูคิดจะปลูกอะไรบ้างหรือลูก ย่าไม่คิดขัดหรอก ทว่าเราจะได้จ้างคนให้มาช่วย ลำพังแค่ครอบครัวเราทำกันเองไม่น่าจะไหว” กู้หนิงแม้จะแปลกใจหล่อนก็ยังคงถามหลานออกมาอย่างหวังดี
ยังไม่ทันที่หลานสาวจะตอบคำถามของย่าก็ได้ถูกผู้เป็นปู่โพล่งในสิ่งที่นึกได้ออกมาเสียก่อน
“อาไท่ หากลูกไม่รับซื้อผักของชาวบ้านแล้วลูกได้ไปบอกพวกเขาหรือยัง” ผู้เป็นพ่อถามบุตรชาย
หลังจากหลินซีได้ยินคำถามของชายชรา เธอจึงได้หันหน้าไปมองทางบิดาก่อนถามออกมา
“ทำไมพ่อจะไม่รับซื้อผักจากชาวบ้านแล้วล่ะคะ” หลินซีผู้ยังไม่รู้เรื่องที่บิดาตัดสินใจถามขึ้นอย่างสงสัย
“ก็พ่อคิดจะไปทำร้านขายอาหารเช้าในตัวอำเภอตามที่ลูกบอกยังไงล่ะ ส่วนร้านตัวมณฑลพ่อก็เลยว่าจะปล่อยเช่า” หลินไท่เล่าในสิ่งที่ต้องการทำออกมาอีกรอบ
“ทำไมพ่อไม่หาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลร้านในตัวมณฑลแทนล่ะคะ จ้างเขาเป็นรายวันก่อน หากว่าทำงานดีซื่อสัตย์พ่อก็ค่อยจ้างเป็นรายเดือนหยุดสัปดาห์ละครั้ง แบบนี้จะไม่ดีกว่าหรือคะ รถบรรทุกสำหรับขนผักก็มีไม่อย่างนั้นพ่อคิดจะทำยังไงกับรถ” หลินซีพูดขึ้นพลางมองหน้าของผู้เป็นพ่อไปด้วย
“จะว่าไปความคิดของหลานสาวก็ดีทีเดียวนะ หากพ่อจำไม่ผิดเมื่ออาทิตย์ก่อนสหายเก่าของลูกเพิ่งจะมาขอความช่วยเหลือไม่ใช่หรือ ลองจ้างเขาดูไหม” หลินเจ๋อกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วยกับความคิดของผู้เป็นหลาน
“มันจะดีหรือครับ เขาจะว่าเราคิดดูถูกเขาหรือเปล่า” หลินไท่กล่าวออกมาสีหน้าแสดงความกังวล
“หนูคิดว่าไม่หรอกค่ะ คนที่มาขอความช่วยเหลือจากพ่อใช่อาซานเป่าหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงจำได้เลือนรางว่าบุคคลผู้นี้เสียใจต่อการจากไปของพ่อเป็นอย่างมาก
หลังจากที่พ่อตายเขายังเคยจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตนทว่าในตอนนั้นได้ถูกผู้หญิงคนนั้นขัดขวางทำให้เขาไม่อาจสามารถยื่นมือเข้ามาได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะลำบากแต่ในอนาคตบุตรชายของคนผู้นี้จะได้เป็นถึงทนายความชั้นนำของประเทศ อีกทั้งยังรู้จักคนใหญ่คนโตมากมาย
ครานี้เหมือนจะได้ผลผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่จึงได้หันมาทิศทางที่ผู้สนทนากระซิบบอก “คนพวกนั้นเป็นใคร” หล่อนเปรยกับตัวเองเสียงเบาอย่างสงสัยระคนใคร่รู้ ซึ่งทำให้หล่อนไม่ทันได้เห็นผู้มาใหม่ “เธอไม่เข้าไปทักทายอดีตว่าที่พ่อแม่สามีหน่อยเหรอ” หญิงผู้มาใหม่กล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน “มันเป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่ธุระของหล่อน” ซูจินฮวาหันมาตามเสียงที่ได้ยินก่อนเค้นเสียงลอดไรฟันพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้โมโหหญิงผู้เป็นคู่ปรับ “คงจะไม่มีหน้าเข้าไปสินะ ลูกของเขายังไม่ทันฝังหล่อนก็เปิดตัวสามีกับลูกใหม่อายุห่างกันเพียงหนึ่งปี อย่าคิดว่าเรื่องน่าละอายเช่นนี้จะปิดได้มิดล่ะ” หญิงคนนั้นกล่าวถากถางออกมาอีก&nb
ช่วงเย็นของวันต่อมา หลินกวงจึงได้พาสหายที่ตนบอกมาหาน้องชาย คนที่หลินกวงพามานั้นต่างได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะจากทั้งใบหน้า แขน และขา ทว่าพวกเขาไม่อยากเป็นภาระให้กับครอบครัวที่มีเพียงพ่อแม่ชรา ดังนั้นเมื่อได้ยินคำชวนของหัวหน้าเก่าคนทั้งสามจึงได้ตกลงที่จะตอบรับคำชวนนี้ อีกอย่างจากคนที่เคยมีความภาคภูมิใจในตัวเองต้องมากลายเป็นคนพิการทำให้พวกเขาทั้งสามต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จึงหวังว่าน้องชายของหัวหน้าจะให้โอกาสพวกตน “อาไท่ นี่คือคนที่พี่พามา แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ปกติไปบ้างแต่เรื่องความซื่อสัตย์และฝีมือพี่รับประกันได้” หลินกวงบอกกับน้องชาย “สวัสดีสหายทุกท่านครับ ผมหลินไท่น้องชายพี่กวง สหายมีชื่อว่าอะไรกันบ้าง” หลินไท่กล่าวทักทาย
เรื่องราวของทางครอบครัวนั้นไม่ได้มาถึงหูของครอบครัวบ้านหลินที่ในเวลานี้พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเก็บผลไม้ของตนหรือแม้ว่าพวกเขาจะรู้ คนในครอบครัวนี้ก็ไม่คิดจะใส่ใจเนื่องจากชีวิตของใครก็เป็นของมัน “เสี่ยวซี หลานไปพักสักหน่อยไหม” กู้หนิงเอ่ยถามหลานสาวที่ตอนนี้ใบหน้าแดงเรื่อหลังจากอยู่ท่ามกลางแดดจ้าเป็นเวลานาน “ไม่เป็นไรค่ะย่า หนูสบายดี” หลินซียกชายแขนเสื้อเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อตอบออกมาโดยไม่คิดหยุดพัก นับตั้งแต่วันที่เด็กหญิงเร่งผลไม้ให้เติบโตทิ้งช่วงไปเพียงหนึ่งเดือนเด็ก ๆ บ้านหลินก็ต้องไปโรงเรียนในภาคการศึกษาใหม่ซึ่งในตอนนี้หลินซีอายุได้สิบสี่ปีเต็ม ห้าเด็กหนุ่มต่างก็สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายตามที่พวกเขาตั้งใจไว้ได้อย่
หลังจากอาหารเย็นวันนั้นผ่านไปก็เข้าสู่วันปิดภาคการศึกษาของเด็ก ๆ โม่เซียงก็มาทำงานพิเศษอยู่ในร้านครอบครัวหลินเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่ว่าง ส่วนเด็กบ้านหลินนั้นตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลไม้ผลที่ได้เริ่มปลูกเมื่อช่วงต้นภาคเรียนในเทอมก่อน ทำให้หลินซีได้หลงลืมในเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ของตนไปชั่วคราว “หลินซีน้องกำลังทำอะไรอยู่” หลินชิวถามน้องสาวที่นั่งยองอยู่หน้าเถาองุ่น “ฉันกำลังคิดว่าหากมันโตได้เร็วก็คงดี จะได้ทันเก็บผลไปขายในช่วงวันปีใหม่” เด็กหญิงตอบพี่ชายในขณะที่มือของตนยังจับอยู่ที่ลำต้นอ่อนของเถาองุ่นด้านหน้า&nb
นับตั้งแต่วันที่เด็กทั้งเก้ามีลุงคนใหม่ ทุกวันหยุดของผู้เป็นลุงเด็ก ๆ จะนั่งรถสาธารณะเพื่อไปยังสนามฝึกซ้อมของหน่วยทหารที่ลุงของตนประจำอยู่ ภายในโรงฝึกสำหรับลูกหลานของคนในกองทัพ ในขณะนี้เด็กทั้งเก้าได้เปลี่ยนเป็นชุดฝึกประจำของแต่ละคนแล้ว เสียงการต่อสู้ของพวกเขาดังอย่างต่อเนื่องโดยมีหลินกวงเป็นผู้ฝึกด้วยตนเอง ทำให้ทหารภายในหน่วยหลายนายต่างพากันมาฝึกกับเด็กกลุ่มนี้ด้วยแม้ว่าจะแค่อาทิตย์ละสองวันก็ตาม ชีวิตประจำวันของสามพี่น้องบ้านหลินในตอนนี้นอกจากออกกำลังกายกับการฝึกหมัดมวยก็คือการช่วยงานทางบ้านเหตุการณ์สำหรับพวกเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้จนถึงวันประกาศผลสอบก่อนปิดภาคการศึกษา “เสี่ยวซี เธอแน่มาก” ซุนเหมียวกอดคอสหายแน่นหลังจากเห็นคะแนนสอบ
“พี่ใหญ่ ห้องนี้คือที่พักของพี่เหรอครับ” ผู้เป็นน้องมองห้องที่มีเพียงหนึ่งเตียงหนึ่งโต๊ะทำงานถามพี่ชายสีหน้าแสดงความเห็นใจ เพราะเขาคิดว่าพี่ชายจะต้องอยู่อย่างลำบากเป็นแน่ “นายคิดอะไรอยู่สีหน้าคล้ายจะร้องไห้แบบนี้ โตเป็นพ่อคนแล้วนะ” หลินกวงถามน้องชายต่างสายเลือดพลางกล่าวติงไปพร้อมกัน “พี่ใหญ่ หลายปีมานี้พี่คงลำบากมากเลยใช่ไหม ผมจะดูแลพี่ให้ดีและจะบอกให้หลานทั้งสามกตัญญูต่อพี่ด้วย” หลินไท่พูดในขณะที่เขาเดินเข้ามากอดพี่ชายตัวเองแน่น “อะไรของนาย แต่ก็ลำบากจริง ๆ นั่นแหละ กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย” หลินกวงผู้เข้าใจคนละความหมายของน้องชายตอบคำถามของน้องตามจริง หลินเจ๋อได้แต่ส่ายหัวให้กับบุตรชายทั้งสองที่สน
“พวกแกจำเอาไว้ให้ดี ฉันไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ง่าย ๆ อย่างแน่นอน” นางฟางยกนิ้วชี้หน้าครอบครัวหลินกล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น จากนั้นหล่อนก็รีบสาวเท้าเดินออกจากร้านอาหารบ้านหลินอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดมองใครให้อับอายเพิ่มขึ้น ในขณะที่หญิงชราเดินผ่านหน้าเด็กหนุ่มนายน้อยสองตระกูลใหญ่ไป ทั้งลู่หยางและซินอี๋ได้ลอบสบตากันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกันทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ส่วนคนภายในร้านอาหารหลังจากเห็นว่าหมดเรื่องสนุกที่ไม่ใช่ของตนจบลง พวกเขาก็พากันกินอาหารด้านหน้าของตนต่ออย่างเป็นปกติเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน “วันนี้ร้านอาหารบ้านหลินของเราต้องทำให้ทุกคนเห็นเรื่องขายหน้
เรื่องราวที่คิดว่าได้จบลงแล้วกลับกลายเป็นว่าหลายวันต่อมาได้มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ลงข่าวเกี่ยวกับครอบครัวหลินเอาไว้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นข้อความใหญ่โตก็ตาม ทว่าก็ยังได้เรียกความสนใจจากคนผู้หนึ่งได้ ซึ่งคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “ภรรยาลูกของคุณตอนนี้ดังใหญ่แล้วนะ อีกทั้งยังมีกิจการใหญ่โตเสียด้วย คุณไม่คิดจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อยเหรอ” “คุณไปได้ยินมาจากไหนกัน เราอยู่ห่างเขาตั้งหลายกิโล” เสียงของหญิงวัยห้าสิบเศษพูดขึ้นหลังจากได้ยินถ้อยคำเย้ยหยันออกมาจากปากสามีวัยชรา “ก็ในหนังสือนี่ยังไงล่ะ ในนี้ลงข่าวว่าหลานของคุณเป็นผู้กอบกู้เชียวนะ พวกเขาถ่ายร้านอาหารของลูกคุณด้วยมาดูสิ กะอีแค่ช่วยเพื่อนนักเรียนให้รอดพ้นจากผู้ร้ายหนีคดีมันต้องลงข่าวอวยกันขนาดนี้เลย” ชายชราผู้พูดกล่าวเสียงขึ้นจมูกสบถออกมาอย่า
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังนับตั้งแต่วันที่หลินซีได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกย่างก้าวของเธอในตอนนี้จะต้องมีพี่ชายทั้งสองหรือไม่ก็หนึ่งคอยสลับกันอยู่ด้วยตลอดเวลา “ทุกคนคะ หนูแข็งแรงแล้วนะคะ หนูรู้ค่ะว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ถ้าทุกคนยังทำอย่างกับหนูเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอยู่แบบนี้มันทำให้หนูรู้สึกอึดอัดค่ะ” หลินซีพูดเปิดอกกับคนในครอบครัวช่วงเย็นของวันหลังจากมื้ออาหารจบลง “พ่อรู้ว่าลูกลำบากใจ แต่คราวหน้าคราวหลังลูกจะต้องรับปากออกมาก่อนว่าจะไม่ทำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายแบบนี้อีก ตกลงไหม” หลินไท่พูดกับลูกสาวน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับใบหน้า “หนูให้สัญญาค่ะ ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก ดังนั้นทุกคนช่วยปฏิบัติกับหนูเหมือนเดิมนะคะ” หลินซีตอบรับอย่างเชื่อฟังพลางร้องขอ เนื่องจากทุกวันนี้เธ