หลังจากที่หลินไท่หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว เขาก็อ้ำ ๆ อึ้งสีหน้าบ่งบอกความลำบากใจ
“สหายไท่ นายมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ” ซานเป่าถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของสหาย
“ฉันเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ คือว่าที่ฉันมาหานายวันนี้เป็นเพราะฉันต้องการจะว่าจ้างนายให้ไปเฝ้าร้านและขายสินค้าที่ตัวมณฑลรวมถึงในเรื่องที่ต้องการให้นายขับรถบรรทุกรับซื้อสินค้าด้วย” หลินไท่พูดวัตถุประสงค์ของตนพลางสังเกตสีหน้าสหายไปด้วย
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีนี่ นายจะทำสีหน้าอึดอัดไปทำไม” ซานเป่าหลังฟังสิ่งที่สหายกล่าวออกมาก็ผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งใจที่ไม่มีเรื่องร้ายอย่างที่นึกกลัว
“ก็ฉันกลัวว่านายจะคิดว่าฉันดูถูกนะสิ” หลินไท่กล่าวตรงไปตรงมาสีหน้าผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าสหายไม่ได้คิดอย่างเช่นที่ตนคิด
“สหายไท่นายหวังดีกับฉันทำไมฉันต้องโกรธนายกัน เรื่องนี้ฉันยินดีทำนายไม่ต้องให้เงินฉันก็ได้ เพราะยังไงซะฉันก็ยังติดหนี้นายอยู่” ซานเป่าพูดขึ้นอย่างที่ใจคิด
“ไม่ได้หรอก นายยังมีป้ากุ้ยและอาจื้อยังต้องเรียนหนังสือ นายจะไม่รับเงินไม่ได้ ส่วนเรื่องหนี้ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้า หากนายไม่สบายใจฉันจะค่อย ๆ ทยอยหักจากเงินเดือนที่ให้นายก็แล้วกัน หากนายยังไม่ตกลงอีกฉันเกรงว่าคงจะต้องหาคนอื่น หรือไม่ก็ต้องปล่อยเช่าเพราะหาคนไว้ใจไม่ได้” หลินไท่กล่าวขึ้นเสียงดังก่อนที่สีหน้าของเขาจะหมองลง
“เจ้าลูกบ้านี่ จะปล่อยให้อาไท่ลำบากได้หรือ หากเขาต้องเสียรายได้ตรงนั้นไป อีกอย่างในเมื่อเขาไว้ใจพวกเราแล้วเราก็ต้องทำให้เต็มที่ถึงจะถูก” หญิงชรากล่าวกับบุตรชายสีหน้าไม่พอใจ
“ผมก็ไม่ได้ว่าจะไม่ทำนี่ครับ เพียงแต่ว่าเราจะไม่เอาเปรียบนายเกินไปหรอกหรือ ให้อยู่อาศัยโดยเปล่าอีกทั้งยังให้เงินเดือนอีก” ซานเป่าพูดกับแม่ก่อนหันหน้ามาทางสหายพูดขึ้นอย่างลังเล
“นายอย่าคิดมากได้ไหม เราเป็นสหายกันมาแทบจะตลอดชีวิตอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องที่อยู่ก็ถือว่าเป็นสวัสดิการที่ทางร้านมอบให้ก็แล้วกัน”
“พ่อครับ รับปากอาไท่เถอะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นหลังจากนั่งฟังในเรื่องนี้ด้วย
“ก็ได้ ฉันยินดีทำงานให้นาย” ซานเป่ากล่าวขึ้นสีหน้าจริงจัง พร้อมตั้งมั่นว่าจะดูแลร้านของสหายให้ดี
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นเอาไว้อีกสามวันฉันจะมารับ ส่วนเรื่องโรงเรียนเสี่ยวจื้อจะย้ายไปตัวมณฑลหรือจะเรียนอยู่ที่เดิมดีล่ะ แต่ที่เดิมค่อนข้างไกลนะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถสาธารณะมาเรียน” หลินไท่ตบบ่าสหายอย่างรู้สึกยินดีในคำตอบที่ได้ยิน ก่อนถามเด็กหนุ่มผู้อยู่ในวัยเดียวกับบุตรชายฝาแฝดของตน
“ผมขอเรียนที่เดิมไปก่อนครับ ยังไงซะปีหน้าก็ต้องสอบเข้าเรียนมัธยมปลายอยู่ดี เอาไว้ตอนนั้นค่อยเลือกโรงเรียนมัธยมปลายในมณฑล” เด็กหนุ่มตอบตามที่คิด เรื่องการตื่นเช้าไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันกลับก่อนก็แล้วกันอีกสามวันจะมารับ” หลินไท่กล่าวออกมาพร้อมกับจะลุกขึ้นยืน
ทว่าได้ถูกเสียงของแม่ของสหายห้ามเอาไว้ก่อน “อาไท่รอพวกเราอยู่นี่แหละ เราจะกลับไปกับเธอเลย”
“คุณป้าจะไม่เก็บสิ่งของก่อนหรือครับ” หลินไท่เอ่ยถามหญิงชราออกมาอย่างสงสัย
“ไม่ต้องหรอก สิ่งของพวกเราได้เก็บกันหมดแล้ว เธอก็เห็นข้าวของของพวกเรามีไม่มาก ส่วนบ้านหลังนี้ก็ได้กรรมสิทธิ์คืนมาแล้วดังนั้นก็แค่ปิดไว้ก็พอ” กุ้ยฮวากล่าวตามจริง เนื่องจากพวกเธอโดนบังคับให้ย้ายออกจากหญิงคนนั้นก็เลยจำต้องเก็บข้าวของ
“อย่างที่แม่ฉันบอกนั่นแหละ พวกเราพร้อมจะไปกับนายเลย อีกอย่างจะได้เริ่มงานได้เร็วขึ้นด้วย” ซานเป่าไม่ค้านความเห็นของมารดา
“ถ้าอย่างนั้นไปที่บ้านของฉันก่อนก็แล้วกันรถบรรทุกจอดอยู่ที่นั่น จากนั้นฉันจะให้นายเอารถไปใช้” หลินไท่พูดขึ้น
ดังนั้นรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ของบ้านหลินจึงได้พาคนอีกสามกลับมายังบ้านของตน
“ทุกคนเข้าบ้านก่อนเลยครับ” หลินไท่กล่าวเชิญ
“พ่อคะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ” หลินซีฉีกยิ้มกล่าวต้อนรับพ่อของตนเสียงใสโดยไม่รู้ว่าพ่อพาแขกมาด้วย
“เสี่ยวซี พี่ชายของลูกไปไหน มารู้จักสหายของพ่อก่อน” หลินไท่บอกบุตรสาวผู้ที่หน้าตามอมแมมจากฝุ่นแป้งสีขาว ซึ่งเขาคิดว่าเจ้าตัวคงจะกำลังทำอาหารอะไรอยู่เป็นแน่
“หนูจะไปตามพี่ใหญ่ พี่รองให้ค่ะ” หลินซีพูดพร้อมกับวิ่งหายลับไปเมื่อเห็นแขกเดินเข้ามา
“ปู่คะ ย่าคะ พี่ใหญ่ พี่รอง พ่อให้มาตามไปรับแขกค่ะ” หลินซีกล่าวกับคนทั้งสี่ที่กำลังช่วยกันห่อเกี๊ยวอย่างตั้งใจ
“ไปสิ คงจะเป็นครอบครัวของอาเป่าละมั้ง” ชายชราจับจีบเกี๊ยวในมือเสร็จพอดีพูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปล้างมือกันเถอะ หลานสองคนนำน้ำไปต้อนรับแขกด้วย” หญิงชราวางงานในมือกล่าวกับหลานชายทั้งสอง
จากนั้นหล่อนก็หันหน้าไปทางหลานสาวก่อนพูดขึ้นน้ำเสียงแตกต่างจากพูดกับหลานชายลิบลับ
“เสี่ยวซี หลานไปล้างมือแล้วออกไปพร้อมย่าเถอะ” หญิงชราบอกหลานสาวน้ำเสียงผิดกับหลานชายลิบลับ
“พี่ใหญ่ ใครว่าหลานชายมักเป็นใหญ่ มาดูบ้านเรานี่ หลานสาวใหญ่ที่สุดต่างหาก” หลินชิวกระซิบพูดข้างหูผู้เป็นพี่เสียงเบา
“นายไม่รักน้องหรือไง ถึงได้พูดคล้ายอิจฉาแบบนี้” หลินชุนมองหน้าน้องชายสายตาขุ่นมัวกล่าวเสียงดุ
“พี่อย่ามาใส่ร้ายผม ผมรักน้องสาวที่สุดอยู่แล้ว ในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะดีมากกว่าผู้หญิงสามคนในบ้านของเราแล้วละ” ผู้เป็นน้องแย้งขึ้นทันทีสีหน้าคล้ายจะร้องไห้
“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า ฉันได้ยินนายพูดแบบนั้นก็คิดว่านายไม่รักน้องนะสิ” พี่ใหญ่ของน้องกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“ผมแค่ล้อเล่น พี่เข้าใจไหม” หลินชิวกล่าวหน้ามุ่ย
“พี่ขอโทษนายก็แล้วกัน เอาละรีบไปยกน้ำต้อนรับแขกกันเถอะ” หลินชุนกล่าวอย่างสำนึกผิดจริงตามที่พูด
“ผมไม่โกรธพี่แล้วก็ได้ หากมีคราวหน้าพี่กล่าวหาผมแบบนี้อีกผมจะไม่พูดกับพี่สักสามวัน” ผู้เป็นน้องกล่าวพร้อมเดินไปหยิบแก้ว
หลินชุนได้แต่ส่ายหน้าระอาให้กับน้องชายผู้ที่มักทำตัวเป็นเด็กกับตนทั้งที่เขาเกิดก่อนแค่ไม่กี่นาที
ภายในห้องโถงของบ้านหลิน หลังจากที่คนในครอบครัวเดินออกมาพร้อมหน้ากันแล้วการทักทายกันก็เกิดขึ้นและก็เป็นเรื่องบังเอิญที่บุตรชายของซานเป่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของสองแฝด
หลังจากที่สองพี่น้องนำน้ำออกมาหลินชิวจึงได้เรียกชื่อของเด็กหนุ่มผู้อยู่ในวัยเดียวกันอย่างประหลาดใจ “อาจื้อ!”
ฝ่ายผู้เป็นเจ้าของชื่อเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน เพราะคาดไม่ถึงว่าสหายร่วมห้องจะเป็นบุตรชายของผู้มีคุณ
“อาชุน อาชิว นายเป็นลูกของอาไท่อย่างนั้นหรือ” ซานจื้อ ถามคนทั้งสองสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน
“ใช่” หลินชุนตอบรับ
“ช่างเป็นโชคชะตาของพวกเรานะที่เด็ก ๆ ก็เป็นเพื่อนกันด้วย” หลินไท่ยกยิ้มกล่าวกับสหายผู้นั่งอยู่ข้างกัน
“นั่นสิ” ซานเป่าเองก็กล่าวอย่างเห็นด้วย
“วันนี้พวกนายก็กินข้าวที่นี่แหละ รอฉันก่อนก็แล้วกันฉันขอไปรับอาเหมยก่อน” หลินไท่บอกกับสหายหลังดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“แต่ว่า มันจะไม่รบกวนเกินไปหรอกหรือ” ซานเป่ากล่าวอย่างเกรงใจเนื่องจากคิดว่าเขารบกวนสหายมากจนเกินไปแล้ว
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้พวกเราทำเกี๊ยวไว้เยอะทีเดียว เพราะเสี่ยวซีต้องการจะทำขายเลยฝึกทำไว้มาก มีคนช่วยกินก็ดีเหมือนกัน” ชายชรากล่าวขึ้นเป็นการตัดสินแทน
“ถ้าอย่างนั้นมื้อนี้ผมกับครอบครัวคงต้องรบกวนแล้วครับ” ซานเป่าไม่สามารถปฏิเสธผู้สูงวัยได้กล่าวขึ้นอย่างสุภาพ
และมื้อเย็นของบ้านหลินก็ต่างเป็นที่ถูกปากของทุกคนอีกเช่นเคย
“ฉันไม่คิดเลยว่าเด็กอายุน้อยขนาดเสี่ยวซีจะทำอาหารออกมาได้อร่อยมากขนาดนี้” กุ้ยฮวากล่าวชมจากใจ
“ย่ากุ้ยชมหนูเกินไปแล้วค่ะ หนูเพิ่งจะหัดทำเป็นครั้งแรก ยังกลัวว่าจะไม่ถูกปากทุกคนอยู่เลย” เด็กหญิงกล่าวถ่อมตน
“จะไม่ถูกปากได้ยังไง ย่ากินเข้าไปตั้งหลายตัว จะว่าไปหากหนูทำขายรับรองว่าขายดิบขายดีแน่” หญิงชรากล่าวออกมาอีกครั้งอย่างไม่หวงคำชม
“อากุ้ย เธอก็อย่าชมหลานฉันเกินไปนักเดี๋ยวหล่อนจะเหลิงเสียก่อนแม้จะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ” กู้หนิงกล่าวใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างพอใจที่มีคนชื่นชมหลานสาว
“แม่ครับ ผมฟังคำของแม่แล้วมันดูแปลก ๆ นะครับ” หลินไท่กล่าวหยอกแม่เลี้ยงของตนสีหน้าล้อเลียน
“หรือแกจะเถียงว่าไม่จริงล่ะ ลูกสาวเก่งแบบนี้จะต้องถนอมให้ดี” กู้หนิงโต้กลับลูกเลี้ยงก่อนพูดออกมาเสียงดังทำให้ทุกคนยิ้มขำให้กับคนหลงหลาน
“อย่างที่แม่แกพูดนั่นแหละ ฉันเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้” ชายชราผู้รักหลานสาวกล่าวเสริม
“ครับผมเองก็เห็นด้วย” หลินไท่ฉีกยิ้มกว้างกล่าวออกมาบ้างทำให้หลินซีรู้สึกตื้นตันในคำกล่าวนี้เป็นอย่างมาก ส่วนแขกทั้งสามก็ยิ้มให้กับการแสดงออกของคนในบ้านนี้เช่นเดียวกัน
สำหรับซานจื้อนั้นเขากลับคิดว่าข่าวลือที่ได้ยินมาจากโรงเรียนนั้นไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
‘ใครบอกว่าหลินซีเอาแต่ใจเจ้าอารมณ์ทำอะไรไม่เป็นกัน ต่อไปนี้หากจะเชื่อสิ่งใดคงต้องสืบให้ถ่องแท้เสียก่อนไม่อย่างนั้นอาจเกิดการตัดสินที่ผิดพลาดได้’ เด็กหนุ่มครุ่นคิด
หลังจากกินอาหารเย็นที่บ้านหลินเรียบร้อย หลินไท่ก็ให้ครอบครัวซานพักที่บ้านเพราะตอนเช้าจะได้แนะนำให้ซานเป่ารู้จักกับชาวบ้านและนำสินค้ากลับไปขายที่ร้าน
หลังจากอาหารเย็นวันนั้นผ่านไปก็เข้าสู่วันปิดภาคการศึกษาของเด็ก ๆ โม่เซียงก็มาทำงานพิเศษอยู่ในร้านครอบครัวหลินเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่ว่าง ส่วนเด็กบ้านหลินนั้นตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการดูแลไม้ผลที่ได้เริ่มปลูกเมื่อช่วงต้นภาคเรียนในเทอมก่อน ทำให้หลินซีได้หลงลืมในเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่เกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ของตนไปชั่วคราว “หลินซีน้องกำลังทำอะไรอยู่” หลินชิวถามน้องสาวที่นั่งยองอยู่หน้าเถาองุ่น “ฉันกำลังคิดว่าหากมันโตได้เร็วก็คงดี จะได้ทันเก็บผลไปขายในช่วงวันปีใหม่” เด็กหญิงตอบพี่ชายในขณะที่มือของตนยังจับอยู่ที่ลำต้นอ่อนของเถาองุ่นด้านหน้า&nb
นับตั้งแต่วันที่เด็กทั้งเก้ามีลุงคนใหม่ ทุกวันหยุดของผู้เป็นลุงเด็ก ๆ จะนั่งรถสาธารณะเพื่อไปยังสนามฝึกซ้อมของหน่วยทหารที่ลุงของตนประจำอยู่ ภายในโรงฝึกสำหรับลูกหลานของคนในกองทัพ ในขณะนี้เด็กทั้งเก้าได้เปลี่ยนเป็นชุดฝึกประจำของแต่ละคนแล้ว เสียงการต่อสู้ของพวกเขาดังอย่างต่อเนื่องโดยมีหลินกวงเป็นผู้ฝึกด้วยตนเอง ทำให้ทหารภายในหน่วยหลายนายต่างพากันมาฝึกกับเด็กกลุ่มนี้ด้วยแม้ว่าจะแค่อาทิตย์ละสองวันก็ตาม ชีวิตประจำวันของสามพี่น้องบ้านหลินในตอนนี้นอกจากออกกำลังกายกับการฝึกหมัดมวยก็คือการช่วยงานทางบ้านเหตุการณ์สำหรับพวกเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้จนถึงวันประกาศผลสอบก่อนปิดภาคการศึกษา “เสี่ยวซี เธอแน่มาก” ซุนเหมียวกอดคอสหายแน่นหลังจากเห็นคะแนนสอบ
“พี่ใหญ่ ห้องนี้คือที่พักของพี่เหรอครับ” ผู้เป็นน้องมองห้องที่มีเพียงหนึ่งเตียงหนึ่งโต๊ะทำงานถามพี่ชายสีหน้าแสดงความเห็นใจ เพราะเขาคิดว่าพี่ชายจะต้องอยู่อย่างลำบากเป็นแน่ “นายคิดอะไรอยู่สีหน้าคล้ายจะร้องไห้แบบนี้ โตเป็นพ่อคนแล้วนะ” หลินกวงถามน้องชายต่างสายเลือดพลางกล่าวติงไปพร้อมกัน “พี่ใหญ่ หลายปีมานี้พี่คงลำบากมากเลยใช่ไหม ผมจะดูแลพี่ให้ดีและจะบอกให้หลานทั้งสามกตัญญูต่อพี่ด้วย” หลินไท่พูดในขณะที่เขาเดินเข้ามากอดพี่ชายตัวเองแน่น “อะไรของนาย แต่ก็ลำบากจริง ๆ นั่นแหละ กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย” หลินกวงผู้เข้าใจคนละความหมายของน้องชายตอบคำถามของน้องตามจริง หลินเจ๋อได้แต่ส่ายหัวให้กับบุตรชายทั้งสองที่สน
“พวกแกจำเอาไว้ให้ดี ฉันไม่มีวันปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ง่าย ๆ อย่างแน่นอน” นางฟางยกนิ้วชี้หน้าครอบครัวหลินกล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บแค้น จากนั้นหล่อนก็รีบสาวเท้าเดินออกจากร้านอาหารบ้านหลินอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดมองใครให้อับอายเพิ่มขึ้น ในขณะที่หญิงชราเดินผ่านหน้าเด็กหนุ่มนายน้อยสองตระกูลใหญ่ไป ทั้งลู่หยางและซินอี๋ได้ลอบสบตากันอย่างเข้าใจความคิดของกันและกันทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ส่วนคนภายในร้านอาหารหลังจากเห็นว่าหมดเรื่องสนุกที่ไม่ใช่ของตนจบลง พวกเขาก็พากันกินอาหารด้านหน้าของตนต่ออย่างเป็นปกติเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน “วันนี้ร้านอาหารบ้านหลินของเราต้องทำให้ทุกคนเห็นเรื่องขายหน้
เรื่องราวที่คิดว่าได้จบลงแล้วกลับกลายเป็นว่าหลายวันต่อมาได้มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ลงข่าวเกี่ยวกับครอบครัวหลินเอาไว้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นข้อความใหญ่โตก็ตาม ทว่าก็ยังได้เรียกความสนใจจากคนผู้หนึ่งได้ ซึ่งคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “ภรรยาลูกของคุณตอนนี้ดังใหญ่แล้วนะ อีกทั้งยังมีกิจการใหญ่โตเสียด้วย คุณไม่คิดจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อยเหรอ” “คุณไปได้ยินมาจากไหนกัน เราอยู่ห่างเขาตั้งหลายกิโล” เสียงของหญิงวัยห้าสิบเศษพูดขึ้นหลังจากได้ยินถ้อยคำเย้ยหยันออกมาจากปากสามีวัยชรา “ก็ในหนังสือนี่ยังไงล่ะ ในนี้ลงข่าวว่าหลานของคุณเป็นผู้กอบกู้เชียวนะ พวกเขาถ่ายร้านอาหารของลูกคุณด้วยมาดูสิ กะอีแค่ช่วยเพื่อนนักเรียนให้รอดพ้นจากผู้ร้ายหนีคดีมันต้องลงข่าวอวยกันขนาดนี้เลย” ชายชราผู้พูดกล่าวเสียงขึ้นจมูกสบถออกมาอย่า
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังนับตั้งแต่วันที่หลินซีได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกย่างก้าวของเธอในตอนนี้จะต้องมีพี่ชายทั้งสองหรือไม่ก็หนึ่งคอยสลับกันอยู่ด้วยตลอดเวลา “ทุกคนคะ หนูแข็งแรงแล้วนะคะ หนูรู้ค่ะว่าทุกคนเป็นห่วงแต่ถ้าทุกคนยังทำอย่างกับหนูเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอยู่แบบนี้มันทำให้หนูรู้สึกอึดอัดค่ะ” หลินซีพูดเปิดอกกับคนในครอบครัวช่วงเย็นของวันหลังจากมื้ออาหารจบลง “พ่อรู้ว่าลูกลำบากใจ แต่คราวหน้าคราวหลังลูกจะต้องรับปากออกมาก่อนว่าจะไม่ทำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายแบบนี้อีก ตกลงไหม” หลินไท่พูดกับลูกสาวน้ำเสียงจริงจังเช่นเดียวกับใบหน้า “หนูให้สัญญาค่ะ ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก ดังนั้นทุกคนช่วยปฏิบัติกับหนูเหมือนเดิมนะคะ” หลินซีตอบรับอย่างเชื่อฟังพลางร้องขอ เนื่องจากทุกวันนี้เธ
“เสี่ยวซีน้องจะไปไหน” ลู่หยางเอ่ยถามเด็กหญิงที่วิ่งอยู่ด้านหน้าโดยมีพวกเขาทั้งสี่ตามมาติด ๆ “ไปช่วยเซียงเซียงค่ะ เร็วเข้าเดี๋ยวไม่ทัน” หลินซีตะโกนตอบในขณะที่วิ่งอย่างรวดเร็วมุ่งไปทางข้างหน้าตามความทรงจำที่เคยได้ยินมาเมื่อครั้งอดีต ในวันนั้นเธอจำได้ว่าชายชั่วผู้เป็นสามีของตนกำลังนั่งดื่มสุรากับลูกพี่ลูกน้องของเขา ส่วนเธอก็ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ให้กับมันในการทำอาหาร ระหว่างที่เธอกำลังยกอาหารออกมาให้คนเหล่านั้นก็ได้ยินถ้อยคำอันไม่น่าฟังเข้าพอดี “พวกแกดูแม่นักข่าวสาวคนนั้นสิ ยังกล้ามาอยู่หน้ากล้องอีก” “แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง หล่อนก็ดูสวยดีนี่ทำไมจะอยู่หน้ากล้อง
หลังจากเด็กหนุ่มทั้งสองได้เจียนปิ่งมาแล้ว เด็กทั้งห้าก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกันโดยที่มีเพียงสองคนในกลุ่มที่สนทนากันอย่างสนุกสนาน “ระวังจะติดคอเถอะ กินไปพูดไปแบบนั้น” หลินชุนอดที่จะเอ่ยปากเตือนสหายใหม่ออกมาไม่ได้ ฟู่ซินอี๋หันมามองหน้าเขาก่อนจะเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปาก และเมื่อกลืนลงคอเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มจึงยิ้มพร้อมพูดออกมา “ฉันกินหมดแล้ว” เด็กหนุ่มอ้าปากให้เพื่อนใหม่ดู “รู้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้” หลินชุนพูดพร้อมกับส่ายหัว ‘ไม่รู้ว่าเขามีเพื่อนหรือน้องชายเพิ่มมาอีกคนกันแน่’ เด็กหนุ่มคิด&
“ลืมกันแล้วอย่างนั้นเหรอ” ลู่หยางถามเด็กหญิงตรงหน้าน้ำเสียงแฝงความเศร้า ทำให้หลินซีรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นสีหน้าที่แฝงความผิดหวังนั้น เธอจึงมองใบหน้าของเขาอีกครั้งอย่างตั้งใจและในที่สุดก็ได้ปรากฏภาพความทรงจำภาพหนึ่งผุดขึ้นมา หน้าสุสานแห่งหนึ่ง ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเป็นสถานที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณของตายายผู้จากไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุ วันนั้นเธอได้เดินเลี่ยงคนในครอบครัวออกมาถึงม้านั่งใต้ร่มไม้และก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังถูกเด็กชายอีกสองสามคนรุมล้อม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบผู้สวมชุดกระโปรงยาวสีดำทรงสุ่มจึงได้เดินเข้าไปใกล้ จากนั้นเธอก็ได้ยินคำพูดอันร้ายกาจของเด็กชายหนึ่งในสามที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเด็กชายชุดดำที่นั่งอยู่บนม้านั่ง&nbs