พอพี่ทิมบอกจะจัดการ ฉันก็รีบผวาเดินตามหลังออกมา จนเห็นว่าพี่ทิมเลือกที่จะเดินขึ้นไปชั้นบนคงจะเข้าไปหาร็อคแน่ๆ ถึงจะโล่งใจที่ไม่เห็นพี่ทิมอาละวาดตรงนี้ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เสียทีเดียว เพราะฉันเองก็เคยเห็นฤทธิ์เดชของพี่เขามาบ้างเหมือนกัน จะบอกว่าราบเป็นหน้ากองเลยแหละ แม้กระทั่งร็อคก็แทบเอาไม่อยู่เลยทีเดียว
หลังจากเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันก็รีบไปทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนมีสายตาของพนักงานคนอื่นกำลังมองมาที่ฉัน พวกเขาคงกำลังต่อว่าฉันแน่ๆ ที่มัวแต่อู้งาน
ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็ได้ยินพี่ทิมตะโกนเรียกพนักงานทุกคนให้มารวมตัวกัน
“ทุกคนมาตรงนี้หน่อยครับ”
ท่าทางและคำพูดที่ดูสุภาพของพี่ทิมทุกคนเห็นจนชินตาอยู่แล้ว แต่ถ้าสังเกตุแววตาของพี่เขาดีๆ จะพบความแข็งกร้าวอยู่ในนั้นด้วย
“พอดีผมได้ยินข่าวลือมั่วๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพนักงานคนหนึ่ง ผมได้ยินแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่” หลังจากที่พนักงานเดินมารวมตัวกัน พี่ทิมก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเริ่มพูดออกมาทันที
“คงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะว่าผู้หญิงคนนั้นที่พวกคุณพูดถึงคือใคร…” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยติดหงุดหงิดของพี่ทิม เริ่มทำให้พนักงานคนอื่นเริ่มเกร็งไปด้วย
“ผมเป็นผู้จัดการคลับแห่งนี้มานาน ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพนักงานคนไหน ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือเมื่อก่อน” พี่ทิมพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
“ผมไม่ได้คบใคร เพราะฉะนั้นผมไม่เคยนอกใจใคร การที่ข่าวลือมั่วๆ นั้นมาแพร่ในที่ทำงานแบบนี้ มันทำให้ผมหงุดหงิดมากและที่สำคัญพวกคุณกำลังทำร้ายพนักงานหญิงคนนั้นทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
พอพูดมาถึงตรงนี้ ฉันก็สังเกตเห็นพนักงานกลุ่มนั้นที่นินทาฉันเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาพี่ทิมที่กำลังจ้องมองไปยังพวกเธอเลย
“ผมอยากจะขอเตือนพวกคุณเอาไว้ ถ้าหลังจากนี้มีการแพร่ข่าวลือไร้สาระที่ทำให้คนอื่นต้องเสียหายอีกล่ะก็…เชิญไปหางานใหม่ทำได้เลย!” สิ้นคำพูดของผู้จัดการร้าน ทุกคนก็เงียบกริบไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
“...ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้เลย!!”
พี่ทิมประกาศกร้าวอย่างไม่ไว้หน้าใคร ก่อนจะไล่ให้ทุกคนไปทำงานของตัวเองตามเดิม
ทุกคนรีบวิ่งไปประจำที่ของตัวเอง คงเพราะกลัวท่าทางของพี่ทิมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สำหรับคนที่อยู่ที่นี่มานานอย่างฉันอย่างพี่เนตรแล้วก็ที ไม่ได้ตกใจกับความเกรี้ยวกราดไม่กลัวใครของทิมเลยเพราะเคยเห็นมาแล้ว แล้วก็เคยเห็นยิ่งกว่านี้ด้วย
“เส้นใหญ่จริงนะ” ผู้หญิงพวกนั้นไม่วายหันมาแดกดันฉันระหว่างที่เดินผ่านหน้าไป
เอาแล้วไงละ! ดูเหมือนจะมีเรื่องให้ฉันต้องปวดหัวเพิ่มอีกแล้วสินะ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อฉันยังต้องกินต้องใช้อยู่นี่นา
“ช่างเถอะ! ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ถ้าเราไม่ได้ทำซะอย่าง ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้” ฉันปลอบใจตัวเองให้ปล่อยวางเรื่องไม่เป็นเรื่องไปซะ ก่อนจะสนใจแค่งานที่อยู่ตรงหน้าเพียงอย่างเดียว
เหมือนเคยงานของฉันวันนี้คือการเสิร์ฟ เพราะวันศุกร์เป็นวันที่ลูกค้าจะมาปลดปล่อยหลังจากที่เรียนและทำงานกันอย่างหนักมาตลอดสัปดาห์ ทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาจนฉันต้องคอยเดินเบียดเสียดเพื่อไปส่งเครื่องดื่มให้กับลูกค้า
“อลิซส่งวีไอพีโต๊ะ4ครับ” พี่ทิมก็เป็นมืออาชีพมากๆ ทำงานราวกับไม่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อนเลย
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันรับถาดเครื่องดื่มมาถือเอาไว้ และพยายามฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดเพื่อไปชั้นบนให้ได้
“...ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ” ฉันถือถาดเครื่องดื่มเอาไว้แน่นราวกับของล้ำค่าราคาแพง
แต่จะว่าไปเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่งก็แพงจริงๆ นั่นแหละ แค่ค่าเหล้าหนึ่งขวดฉันก็ต้องทำงานถึง2วันกว่าจะซื้อได้ แล้วถ้าหากฉันทำมันตกแตกนั่นก็หมายความว่าเงินค่าแรงของฉันก็จะถูกหักไปด้วย เพราะฉะนั้นฉันต้องประคบประหงมเครื่องดื่มพวกนี้เอาไว้ราวกับลูกน้อยของตัวเองอย่างสุดความสามารถ
เดินมาถึงชั้นบนได้ก็รีบตรงไปยังโต๊ะของลูกค้าทันที ก่อนจะเห็นหน้าของลูกค้าทั้งสามคน ซึ่งก็คือลูกค้าที่ดื่มเมื่อวานนี้นี่เอง
“ว้าว~ วันนี้อลิซก็มาเสิร์ฟโต๊ะผมอีกแล้ว” ชายคนนี้คือคนที่ถามชื่อฉันเมื่อวาน เขาร้องทักออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ของที่ลูกค้าสั่งได้ครบแล้วค่ะ” ฉันก็ยิ้มรับคำทักทายของลูกค้าตามมารยาท หลังจากที่วางทุกอย่างไว้บนโต๊ะแล้ว
“เดี๋ยวครับ! อลิซพอจะชงเหล้าให้สักแก้วได้ไหมครับ” ผู้ชายคนเดิมร้องขอพร้อมกับจ้องหน้าฉันอย่างคาดหวัง
“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับทันที ถ้าลูกค้าร้องขอฉันก็ต้องทำนั่นเป็นหน้าที่ของเด็กเสิร์ฟที่นี่เช่นกัน
ฉันชงตามที่พี่พีอาร์เคยสอนเอาไว้ หลังจากผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้าเสร็จก็ยื่นให้กับลูกค้าอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ฉันคงระวังไม่มากพอมันถึงได้หกรดกางเกงของชายหนุ่มที่ร้องขอให้ฉันชงเหล้าให้ไปทั้งแก้ว
“ขะ ขอโทษค่ะลูกค้า ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ” ฉันผวาคุกเข่าลงต่อหน้าลูกค้าด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบดึงทิชชู่ที่วางอยู่มาเช็ดให้ลูกค้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร…”
“เดี๋ยวฉันเช็ดให้ค่ะ! ขอโทษจริงๆ นะคะ” ฉันยังคงก้มหน้าก้มตาเช็ดปลายขากางเกงยีนส์ราคาแพงของลูกค้า จนไม่ได้ฟังเลยว่าเขากำลังพูดหรือต่อว่าอะไรฉันบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ” ลูกค้าตอบกลับและพยายามจับมือของฉันเอาไว้
“ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ! อย่ารายงานเรื่องนี้ให้ทางร้านทราบเลยนะคะ” ฉันอ้อนวอนคนตรงหน้าหวังให้เขาให้อภัยที่ฉันทำงานผิดพลาด
ถ้าถามว่าทำไมฉันต้องลนลานและกลัวขนาดนั่น มันเป็นเพราะคนที่จะมานั่งชั้นวีไอพีได้ล้วนแต่ต้องจ่ายค่าเมมเบอร์ราคาที่แพงหูฉี่ นั่นเท่ากับว่าวีไอพีเหล่านี้ล้วนเป็นคนมีอันจะกิน และจะต้องได้รับการบริการที่ไร้ที่ติด้วย ซึ่งถ้าฉันทำพลาดแล้วถูกรายงานนั่นเท่ากับว่าฉันอาจจะต้องเสียงานที่นี่ไป แม้ฉันเองไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่มากนัก แต่ฉันยังคงต้องใช้จ่ายอยู่ เพราะฉะนั้นฉันจะเสียงานไปตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ครับๆ ผมเข้าใจแล้ว ลุกขึ้นเถอะครับ” ลูกค้าประคองให้ฉันที่ยังกังวลลุกขึ้นจากพื้น
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะยืนได้เต็มสองขา ร่างของฉันก็ถูกดึงให้เซไปอีกทาง
“เป็นอะไร?” เสียงเข้มดุที่แสนคุ้นเอ่ยถาม พลางจ้องหน้าลูกค้าของฉันไปด้วย
“คือ…คือว่า” ฉันได้แต่อึกอักไม่กล้าบอก
“คืออะไร” ร็อคกำแขนของฉันแน่น
“เจ็บนะ” เรื่องแค่นี้เอง ทำไมเขาต้องรุนแรงกับฉันด้วยเล่า
“พี่ร็อค ใจเย็นก่อนครับ อลิซสะดุดล้มผมก็เลยช่วยพยุงขึ้นมาน่ะครับ”
ลูกค้าหนุ่มคนนี้คงจะรู้จักร็อคสินะ แต่ก็ขอบคุณที่เขาไม่ได้บอกความจริงออกไป
“สะดุดล้ม เหอะ!” ร็อคมองฉันสลับกับมองลูกค้าหนุ่ม ท่าทางของเขาดูเหมือนจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแม้แต่น้อย
“ฉันสะดุดล้มจริงๆ ค่ะ” ฉันรีบพูดเสริมอีกคน เพราะไม่ว่ายังไงฉันจะไม่ยอมถูกหักเงินเด็ดขาด
ร็อคมองนิ่งๆ ทำให้ฉันได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดด้วยความกระวนกระวายใจ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่เชื่อ
“เอาล่ะๆ …เธอไปชงเหล้าที่โต๊ะฉัน บริการให้ดีด้วย”
“ได้ค่ะ” ฉันลอบถอนหายใจที่ไม่โดนจับได้
“...ขอบคุณลูกค้าอีกครั้งนะคะ” แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณลูกค้าโต๊ะนี้ที่ช่วยฉันเอาไว้
“ผมยินดีและเต็มใจเสมอครับ”
ฉันยิ้มให้พวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเลยไปยังโต๊ะสุดท้ายโซนวีไอพีซึ่งเป็นโต๊ะประจำของร็อค
(Rocco’s talk)
ผมมองตามแผ่นหลังบอบบางของอลิซไปจนถึงโต๊ะของผม ซึ่งตอนนี้กำลังจัดงานปาร์ตี้วันเกิดย้อนหลังให้กับชะเอมอยู่ ก่อนจะหันกลับมาทางลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าตามเดิม
“เมื่อกี้นายทำอะไรกับอลิซ” ผมยิงคำถามที่สงสัยออกไปทันที เพราะตอนที่ผมเดินขึ้นมาโซนวีไอพีนี้ก็เห็นอลิซกำลังก้มทำอะไรบางอย่างที่ตักของหมอนี่
“อลิซสะดุดล้มครับ”
“ไม่ใช่! ฉันเห็นยัยนั่นกำลังทำอะไรบางอย่างกับตรงนั้นของนาย” เมื่อเห็นว่าไอ้หน้าอ่อนนี่ยังโกหกไม่เลิก ผมเลยชี้ไปตรงนั้นของมัน
“เอ่อ…มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดเลยนะครับ ทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ครับ” หมอนี่ละล้ำละลักตอบอย่างมีพิรุธ
“นายรู้เหรอว่าฉันคิดอะไรน่ะ” ผมกอดอกยืนจังก้าอย่างจับผิด
“มะ ไม่รู้ครับ”
คนตรงหน้าหลบตาผม แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าที่ผมเห็นมันไม่ใช่แค่สะดุดล้ม มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น
“งั้นฉันจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน อย่ามาทำอะไรแบบนั้นกับเด็กในร้านของฉันอีก ไม่อย่างนั้นนายอาจจะไม่ได้มีโอกาสสนุกกับชีวิตอีกเลย” ผมเตือนผู้ชายสามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเนิบๆ พร้อมรอยยิ้มเย็น
“แต่พี่กำลังเข้าใจพวกผมผิดจริงๆ นะครับ!”
ไอ้หมอนี่ยังไม่ยอมรับอีกสินะ!
“...จริงๆ แล้วอลิซเผลอทำเหล้าหกใส่ผม เธอเลยรีบเช็ดทำความสะอาดให้ครับ แล้วเธอก็ขอร้องไม่ให้ผมรายงานเรื่องนี้กับทางร้าน เพราะกลัวทางร้านจะต่อว่าเอา” สีหน้าจริงจังที่หมอนี่กำลังอธิบายทำให้ผมชั่งใจ แล้วก็เห็นเพื่อนของหมอนี่อีกสองคนพยักหน้ายืนยันด้วย
“แค่ทำเหล้าหกเนี่ยนะ…”
“จริงๆ ครับ!” หมอนี่ยืนยันเสียงหนักแน่น คงกลัวตัวเองจะไม่ได้สนุกกับชีวิตอีกล่ะมั้ง
“โอเค ฉันเชื่อนาย แล้วก็ต้องขอโทษแทนพนักงานของฉันด้วย ถ้าหากยัยนั่นทำอะไรผิดพลาดอีกก็ให้มาบอกฉันได้เลย”
“ถ้าบอกพี่อย่าลงโทษเธอได้ไหมครับ”
ไอ้นี่มันกล้าขอร้องแทนพนักงานของร้านด้วยแหะ
“ทำไม? นายสนใจเธอเหรอ” ผมถามออกไปตรงๆ ผู้ชายด้วยกันก็พอมองออกละนะ
“เอ่อ…แฮะๆ” ท่าทางขัดเขินของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคำตอบได้อย่างดี
“ห้ามยุ่งกับเด็กฉัน!”