LOGINหลังจากที่ฌอนขับรถมาส่งที่หน้าคอนโด ฉันบอกขอบคุณและไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาด้วย ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ฉันก็พอจะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ เพราะรังสีบางอย่างที่แผ่มาจากร่างสูงมันบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังหงุดหงิดระดับเลเวลสิบเลยล่ะ
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ…”
ฉันยกมือไหว้อีกครั้งและเปิดประตู ค่อยๆ ขยับตัวโดยที่มือข้างหนึ่งยันเบาะเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปจับที่ประตูอีกที บอกตามตรงท่าทางของฉันมันคงจะน่าสมเพชน่าดู ฌอนที่นั่งเงียบมาตลอดทางถึงได้หายใจเข้าออกแรงๆ ก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งเขาและเดินอ้อมมาทางฉันด้วยความรวดเร็ว
“เอ่อ...ไม่” ฉันกำลังจะปฏิเสธแต่ก็ต้องรีบหุบปากอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหน้าตาของเขากำลังบึ้งตึง ดูเหมือนพร้อมจะงาบหัวฉันได้ทุกเมื่อ
อยากจะบอกว่าการช่วยเหลือโดยการประคองของฌอนมันไม่ได้นุ่มนวลชวนฝันเลยสักนิด ก็เขาทั้งฉุดทั้งดึงราวกับว่าเขากำลังลากตุ๊กตาไร้ชีวิตไม่มีผิด พอฉันพ้นจากตัวรถของเขาออกมาได้ ฌอนก็กลับไปที่รถและขับออกไปเลย
ฉันยังยืนมึนๆ งงๆ อยู่ที่เดิม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าฉันต้องแวะไปซุปเปอร์มาเก็ต เพราะที่ห้องของฉันมันไม่เหลืออะไรให้กินแล้ว
“คงต้องลากสังขารตัวเองไปแบบนี้แล้วละ” ฉันบอกตัวเองอย่างปลงตก
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกริ่นกับฌอนตอนที่เขากำลังประคองมาที่รถ แต่ดูเหมือนฌอนจะไม่ได้ยินหรือเขาอาจจะได้ยิน แต่เลือกที่จะไม่สนใจ เพราะไม่อยากคล่องเกี่ยวกับฉันอย่างนั้นก็เป็นได้
“เรานี่เป็นตัวน่ารำคาญจริงๆ” พอคิดได้แบบนั้นมันก็เจ็บแปลบขึ้นมา แม้จะบอกให้ตัวเองชินกับความรู้สึกนี้ซะ แต่มันก็ห้ามความรู้สึกเสียใจปนน้อยใจไม่ได้เลย
ฉันยืนอยู่ที่เดิมอีกพักนึงก่อนจะค่อยๆ โขยกเขยกไปที่ลิฟต์ เมื่อเข้ามาอยู่ในลิฟต์ฉันก็ลืมความรู้สึกเสียใจก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท เพราะความเหนื่อยเข้ามาแทนที่ เสียงหอบหายใจของตัวเองดังมาเป็นระยะ ยอมรับเลยว่าตอนนี้เหนื่อยมาก เพราะขาที่เจ็บทำให้ฉันเดินเซไปมาและเดินช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน กว่าจะมาถึงห้องได้ก็เล่นเอาหมดแรง ทรุดลงไปที่พื้นห้องเลยทีเดียว
“จะรอดไหมเนี่ยเรา…”
หลังจากที่ใช้เวลาลากสังขารตัวเองไปอาบน้ำแต่งตัวก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมง แม้ว่าตอนนี้ไม่อยากขยับตัวไปไหน แต่เพราะความหิวที่มันห้ามไม่ได้ทำให้ต้องโขยกเขยกไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ใกล้ๆ คอนโดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดีหน่อย เพราะพี่สาวคนสวยที่อยู่ข้างห้อง เธอช่วยประคองฉันจนมาถึงซุปเปอร์มาเก็ตได้อย่างปลอดภัย
“ขอบคุณนะคะพี่เจน”
พี่สาวสุดสวยคนนี้ชื่อว่า เจน จริงๆ เราก็เห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ เราสองคนก็มีทักทายกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก ก็ประมาณว่าเป็นเพื่อนร่วมคอนโดร่วมชั้นกันประมาณนั้น
“ไม่เป็นไรจ้ะ...แล้วขากลับเลิฟจะกลับยังไงล่ะ?” พี่เจนมองฉันด้วยสายตาเป็นห่วง
“เลิฟกลับได้ค่ะ พี่เจนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉันก็แอบหนักใจเหมือนกัน และได้แต่ส่งยิ้มกลับไปให้คนตรงหน้าเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น พี่ไปก่อนนะ” พี่เจนโบกมือให้ ก่อนจะเดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ และเดินขึ้นรถสปอร์ตคันหรูที่จอดรออยู่
ตอนที่เห็นฉันก็นึกว่าพี่เจนจะรอรถเมล์ แต่ที่ไหนได้พี่เค้ากลับเดินขึ้นรถสปอร์ตเสียอย่างนั้น สงสัยจะเป็นแฟนของพี่เจนแน่ๆ เลย ท่าทางจะรวยไม่เบา จริงๆ ฉันก็เคยเห็นแฟนพี่เจนอยู่สองสามครั้งเหมือนกันจะบอกว่าหล่อมากเลยละ แต่งตัวดีดูภูมิฐาน แถมยังสุภาพอีกต่างหาก รวมๆ แล้วทั้งสองคนเหมาะสมกันมากทีเดียว
นึกแล้วก็แอบอิจฉา ไม่รู้ว่าผู้หญิงอย่างฉันจะมีโอกาสได้เจอกับผู้ชายที่เพียบพร้อมใจดีแบบนั้นบ้างไหมนะ
“เพ้ออีกแล้วยัยเลิฟ สงสัยต้องไปเช็คสมองบ้างแล้วละเรา” ฉันได้แต่เขกหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะลากขาเดี้ยงๆ ของตัวเองเข้าไปในซุปเปอร์ฯ
ฉันเดินเลือกของโดยที่มีรถเข็นเป็นตัวช่วยทำให้ตัวเองเดินได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ก็คงต้องซื้อของเเห้งเเละอาหารเเช่เเข็งไปก่อน ถึงเเม้ว่าอยากจะเลือกของสดเพื่อไปทำอาหารสดๆ ใหม่ๆ กินเองที่ห้อง เเต่เพราะขาที่เจ็บนี่แหละที่เป็นอุปสรรค ฉันก็คงต้องพึ่งเจ้าอาหารพวกนี้ไปก่อนละนะ
“ซื้อไปเผื่อสักสามสี่วันเเล้วกัน”
ฉันเดินวนอยู่เเผนกอาหารเเช่เเข็งอยู่หลายรอบ เพราะเลือกไม่ถูกจริงๆ ว่าจะเอาอะไรดี เเต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เลือกมาได้หลายอย่างเหมือนกัน จนกระทั่งเดินมาถึงโซนเครื่องดื่มซึ่งฉันก็ตั้งใจที่จะซื้อนมเเละน้ำอัดลม พอได้สิ่งที่ต้องการครบเเล้วฉันก็หยิบใส่รถเข็นเตรียมที่จะไปจ่ายเงิน เเต่เเล้วก็ต้องชะงักไปเพราะฉันเจอเข้ากับใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ
“พี่ฌอน...”
“ยัยมัมมี่...!”
หะ! เดี๋ยวนะ เขาเรียกใครว่ามัมมี่?
“วันนี้มันเป็นวันบ้าอะไรวะ!”
ฌอนสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับขยี้ผมตัวเองไปด้วย ดวงตาคมกริบปลายตามองมาทางฉันเหมือนอยากจะมีเรื่องหรือเอาง่ายๆ ก็คือเขาคงอยากจะเข้ามาชกหน้าฉันสักที โทษฐานที่เข้ามาในสายตาทำให้เขาอารมณ์เสีย ส่วนฉันที่เป็นต้นตอของอารมณ์บูดก็ได้เเต่ยิ้มเเห้งๆ ให้เขาไป พร้อมกับเข็นรถออกมาด้วยความนอบน้อมเจียมตัว
ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำเป็นหงอขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันก็เเค่มาซื้อของเเละบังเอิญเจอเข้ากับเขาก็เเค่นั้น เเละที่นี่ก็ไม่ได้เขียนป้ายเอาไว้ซะหน่อยว่าห้ามฉันเข้า เเต่...เเต่ก็เอาเถอะฉันเลือกที่จะเป็นคนเลี่ยงออกมามันก็ดีต่อตัวเองเเล้ว ดีกว่าฉันต้องไปมีปัญหากับกับฌอนอีกครั้ง เเค่เรื่องเมื่อเย็นมันก็ทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากพอเเล้ว เพราะฉะนั้นก็ตามนั้นเเหละ…แยกย้ายค่ะ!
เเต่ดูเหมือนว่าเรื่องมันจะไม่ได้จบลงเพียงเเค่นั้น เพราะตอนที่ฉันกำลังคิดเงินอยู่ที่เคาน์เตอร์ ฌอนกลับวางเบียร์กระป๋องลงที่เคาน์เตอร์เเละบอกให้พนักงานคิดเงินรวมไปกับของของฉันเลย
“เอ่อ…” ฉันก็ได้เเต่น้ำท่วมปาก ส่วนพนักงานก็มองหน้าฌอนสลับกับมองมาที่ฉันเหมือนต้องการจะถามว่าจะเอายังไง
“...คิดเงินรวมกันเลยค่ะ”
ฉันอยากร้องไห้จริงๆ ก็ตอนนี้เบียร์มากกว่า2โหลที่ฉันไม่เคยเเม้เเต่จะแตะต้องหรือเคยได้รับรู้ถึงรสชาติของมันกำลังตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในรถเข็น หลังจากที่ฉันต้องควักบัตรเครดิตมาจ่ายเเทนเพราะเงินสดมีไม่พอ คนเลือกก็รสนิยมดีเสียเหลือเกิน เลือกแต่เบียร์นอกทั้งนั้น ราคามันเลยแพงกว่าค่าอาหารของฉันเสียอีก
พี่พนักงานคนเดิมก็มองฉันอีกครั้งตอนที่ยืนบัตรเครดิตให้ไป พี่เค้าคงจะสงสารฉันหรือไม่ก็สมเพชฉันมาก เเต่ฉันไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ฉันคิดถึงเงินที่ฉันต้องเสียไปโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรกลับมาเลย ก็เสียดายนี่...เงินมันไม่ได้หาง่ายๆ นะ ถึงเเม้ว่าฉันจะสามารถโทรไปขอแด๊ดดี๊กับคุณแม่เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าหากว่าเงินของฉันหมด เเต่ฉันไม่อยากทำเเบบนั้น อยากจะประหยัดเเละไม่ฟุ่มเฟือยเกินตัว เพราะเเค่ที่ฉันได้รับมาจากพวกท่านมันก็มากเกินพอเเล้ว ฉันไม่อยากทำให้พวกท่านต้องหนักใจอะไรเกี่ยวกับฉันทั้งนั้น
หลังจากที่คิดเงินเรียบร้อยฉันก็ต้องเข็นรถที่มีของยังชีพของตัวเองรวมถึงเบียร์นอกหลายกระป๋องของฌอนไปส่งให้เขาจนถึงรถ มองๆ ไปแล้วฉันมันก็คือนางทาสดีๆ นี่เอง ไม่ว่าเขาจะสั่งให้ซ้ายหันหรือขวาหันฉันก็ทำตามอย่างไม่มีปากไม่มีเสียงเลย
ฉันนี่มันนางทาสดีเด่นชัดๆ!!
“ขึ้นรถ”
เอาเเล้วไงคำสั่งเสียงห้วนๆ มาอีกเเล้วเเละฉันก็ได้เเต่ยืนมองคนตรงหน้าอย่างงงๆ ฉันทั้งเหนื่อยทั้งหิวเเละก็ปวดข้อเท้าด้วย ตอนนี้พร้อมทิ้งตัวเเละอยากจะหลุดพ้นจากฌอนเต็มทน ฉันอยากพักเเล้ว ใครก็ได้ช่วยที!!
“มองหน้าอยากมีเรื่องรึไง บอกให้ขึ้นรถ!” คราวนี้ฌอนไม่ได้เเค่สั่งอย่างเดียว เเต่โยนของของฉันไปไว้หลังรถของเขาด้วย
“เอ่อ...พอดีว่าคอนโดฉัน...เอ่อเลิฟ” เเล้วฉันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ จะปฏิเสธเเต่กลับลิ้นพันกันจนพูดไม่เป็นภาษาคน
“อย่างลีลาได้ไหม ขึ้นไป!” ฌอนสวนกลับเสียงเเข็งปิดท้ายรถเเละเดินตรงเข้ามา
“...!”
ส่วนฉันน่ะเหรอ เเค่เห็นฌอนเดินมาก้าวเดียวฉันก็รีบเปิดประตูรถของเขาเข้าไปนั่งพร้อมคาดเบลท์อย่างรวดเร็ว
“ก็เเค่เนี่ยมั่วอืดอาดยืดยาดอยู่ได้” ฌอนบ่นเเถมยังมีน้ำใจปิดประตูรถให้ฉันเสียงดังลั่นอีกต่างหาก
ขอบคุณจริงๆ!!
ฌอนต้องไปกลับรถค่อนข้างไกลอยู่เหมือนกันเพื่อมาส่งฉันที่คอนโด จริงๆ เขาน่าจะปล่อยให้ฉันกลับเอง เพราะเขาจะได้ไม่เสียเวลาขับรถกลับไปกลับมา ส่วนฉันก็คงจะนอนตีพุงอยู่ที่ห้องตั้งนานเเล้ว เเต่คนอย่างฉันจะไปคัดค้านคนอย่างฌอนได้ยังไงกัน แค่ได้ยินชื่อก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกแล้ว เพราะงั้นปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ใจเขาต้องการแบบนี้น่ะดีแล้ว
เเต่เเล้วปัญหาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพี่ยามที่ฉันตั้งใจจะให้เขาช่วยขนของไปที่ห้องกลับไม่อยู่เสียอย่างนั้นเเละฉันก็คงต้องขนของขึ้นไปเอง เเค่คิดฉันก็อยากจะเเดดิ้น ร่างกายฉันมันไม่สมบูรณ์อย่างเช่นทุกครั้ง กว่าจะขนของหมดคงต้องเดินหลายรอบเเน่ๆ
“ข้อเท้าฉัน...” ข้อเท้าฉันบวมมากกว่าเดิมเเละเริ่มเจ็บตึงมากกว่าครั้งเเรกเสียอีก
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม มาขนของลงไปสิ” ฌอนตามลงมาเร่งฉันยิกๆ พร้อมกับรวบถุงที่มีข้าวของของฉันออกมาจากหลังรถ
อยากน้อยเขาก็ยังมีน้ำใจช่วยขนของลงจากรถละนะ...
“จะซื้ออะไรนักหนาวะเนี่ย” ฌอนบ่นเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” ฉันได้ยินแบบนั้นก็ได้เเต่ขยับตัวอย่างอึดอัด
เมื่อเห็นว่าของทั้งหมดถูกวางไว้ที่ม้านั่งตัวยาว ฉันก็ได้เเต่ยืนค้อมศรีษะให้ฌอนประหงกๆ เเละลอบถอนหายใจอย่างหนักอก เมื่อหันไปมองของยังชีพที่ตัวเองเผลอหยิบเพลินจนลืมไปว่าสังขารตัวเองมันไม่ได้อำนวยต่อการเเบกของเลยสักนิด
“เเล้วจะยืนอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ขึ้นไปล่ะ” เสียงฌอนถามอย่างไม่สบอารมณ์
ฌอนนี่ก็นะไม่รู้จะหงุดหงิดอะไรนักหนา เเล้วนั่นเขากำลังจุดบุหรี่เเละสูบมันต่อหน้าฉันเหรอ ท่าทางของเขามัน...ฉันไม่ได้อยากชมหรอกนะ เเต่ฌอนดูหล่อเเบบเเบดๆ มากเลยล่ะ ริมฝีปากบางเฉียบของเขาที่กำลังคาบบุหรี่อยู่มันดึงดูดสายตาฉันมาก ริมฝีปากของเขาที่มักจะเม้มตึง ไม่ก็ยกยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ฉันละสายตาจากมันไม่ได้เลย ถึงจะทำให้รู้สึกกลัวเเละไม่พอใจอยู่บ่อยครั้งกับท่าทางของคนตรงหน้า เเต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีเสน่ห์จนทำให้ฉันใจเต้นเเรงอยู่หลายต่อหลายครั้ง เเละคงไม่ใช่เเค่ฉันที่รู้สึกเเบบนี้ เเต่รวมไปถึงสาวๆ อีกหลายคนที่หลงไหลไปกับเสน่ห์ร้ายๆ ของเขาด้วยเช่นกัน
“ยัยมัมมี่ นี่...เฮ้!” เสียงห้วนๆ ที่ดังเข้ามาในโสตประสาททำให้ฉันได้สติกลับมาอีกครั้ง
“คะ...เเหะๆ” ฉันส่ายหัวไปมาเพื่อเรียกสติ ก่อนจะหัวเราะแก้เก้อให้คนตรงหน้าไป
ฉันต้องบ้าไปแล้วจริงๆ เขาต้องรู้เเน่ๆ ว่าฉันเผลอมองริมฝีปากของเขาตาปรอย เเล้วเขาจะคิดว่าฉันเป็นโรคจิตหรือเปล่าที่จ้องเขาเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น
“เธอมีปัญหาเกี่ยวกับสมองรึเปล่าเนี่ย ยืนเหม่ออยู่ได้” ฌอนมองมาด้วยสายตาเเปลกๆ พลางถอยห่างจากฉันไปหนึ่งก้าว ราวกับกำลังหวาดกลัวฉันอยู่
“ไม่ใช่นะคะ ฉันเปล่า” ฉันโบกมือปฏิเสธพัลวัน เมื่อเห็นฌอนมีท่าทางเเบบนั้น
ถึงฉันจะบอกฌอนไปเเบบนั้น เเต่ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อเลยสักนิด เขาเอาเเต่บอกให้ฉันไปเช็คสมองให้ฉันลองไปพบจิตเเพทย์บ้างเเละที่ร้ายไปกว่านั้นเขาไล่ให้ไปกินยาเเล้วนอนซะ บลาๆ อีกหลายอย่างจนฉันเริ่มจะหงุดหงิดทนไม่ไหวกับความปากร้ายของเขา
“ก็บอกว่าไม่ได้เป็นไงเล่า!” ฉันตอบโต้เขาเสียงดังอย่างลืมตัว ส่วนฌอนก็ชะงักไป ก่อนจะจ้องฉันกลับด้วยสายตาเอาเรื่อง
เเต่ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นหันไปหยิบถุงซุปเปอร์ฯ บนม้านั่งมาถือไว้เต็มสองมือ บอกตามตรงฉันหงุดหงิดเเละโกรธมาก จนลืมความกลัวที่ตัวเองเคยมีต่อเขาไปเสียสนิท
ฉันก็คนนะ โกรธเป็นโมโหเป็นเหมือนกับเขานั่นเเหละ…
“นี่! ยัยเป๋ เธอกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันงั้นเหรอ” ฌอนกระซิบถามเสียงเข้ม หน้าตาบึ้งตึงพร้อมบวกสุดๆ
ยัยเป๋อย่างนั้นเหรอ?! เขานี่มันปากร้ายที่สุดเลย!
“ฉันไม่ได้ชื่อยัยเป๋ ฉันชื่อเลิฟ!” ฉันจงใจกระแทกเสียงใส่เขาเเละเดินหนีทันที
เเต่ไม่ทันไรร่างกายของฉันก็ซวนเซทำท่าจะล้ม เเละในตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างสูงที่โอบประคองอยู่ด้านหลัง
“อยากเจ็บตัวอีกหรือไงถึงได้ถือของเองเนี่ย” เสียงทุ้มฉุนเฉียวพูดชิดอยู่ข้างหู พาเอาไรขนอ่อนของฉันลุกชันไหนจะกลิ่นบุหรี่จางๆ เเละกลิ่นน้ำหอมของเขานั่นอีก ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันเกิดสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
“โทรตามเพื่อนเธอสิ ให้ลงมาช่วยขนของ” ฌอนออกคำสั่งโดยที่เขาดึงถุงออกจากมือของฉันออกไปด้วย
“ฉันอยู่คนเดียวค่ะ” ฉันบอกเขาออกไปเเละเริ่มทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบจากเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย
“ให้มันได้อย่างนี้สิ…”
ฌอนพึมพำอะไรบางอย่างที่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก ก่อนจะเห็นว่าเขาหยิบถุงทั้งหมดไปไว้ในมืออย่างกระแทกกระทั้น พลางพยักเพยิดหน้าเป็นการสั่งให้ฉันเดินนำไป
“เอ่อ...ฉันถือเองดีกว่าค่ะ” ความกล้าของฉันที่แว้ดๆ ใส่ฌอนก่อนหน้านี้มันหายไปหมดเเล้ว ทำให้ความรู้สึกประหม่าและหวาดกลัวเขากลับมาแทนที่อีกครั้ง
“ลำพังเดินยังจะไม่ไหว” ฌอนพูดหมิ่น ทำเอาฉันหน้าตึงเหมือนกัน
แต่จะให้เถียงว่าตัวเองถือของไปเองได้ไม่ต้องการให้เขาช่วย ฉันก็คงพูดเเบบนั้นไม่ได้ เพราะเเค่เมื่อกี้ฉันก็เกือบจะล้มหน้าทิ่ม ถ้าไม่ได้ฌอนเข้ามาประคองไว้ได้ทันล่ะก็ ที่นอนของฉันในคืนนี้ก็คงเป็นเตียงในโรงพยาบาลเเน่
“นำไปสิ มันหนักนะโว้ย!” เขาเริ่มโวยวายเสียงดัง ทำท่าเหมือนจะโยนถุงของฉันทิ้งลงพื้น
ฉันเองก็ไม่รอให้เขาโวยวายอีก รีบเดินกระเพกนำไปที่ลิฟท์ทันที เราสองคนเงียบไม่มีใครพูดอะไร เเต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไงยินเสียงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดของฌอนอยู่ตลอด เขาดูอารมณ์เสียพร้อมจะกลายร่างทุกเวลา เพราะฉะนั้นฉันควรจะทำตัวเป็นอากาศให้มากที่สุด ฌอนจะได้ไม่หงุดหงิดเเละกลายร่างเป็นหมาป่าเข้ามาขย้ำฉันในตอนนี้
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อมาถึงห้องฉันก็รีบรับถุงจากฌอนเอาไปเก็บไว้ในครัว ฉันเห็นฌอนเดินตามเข้ามาเเละทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้องด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องไม่มีผิด
“เอาน้ำมาให้กินหน่อยสิ” คำสั่งเสียงห้วนของฌอนทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาคือเจ้าของห้อง ส่วนฉันเป็นเพียงเเค่คนรับใช้ที่มาอาศัยเขาเท่านั้น
“ค่ะ” ฉันนี่มันหน้าสมเพชจริงๆ
ฉันหยิบโซดาเเต่งกลิ่นแอปเปิ้ลไปให้เขาเเละเห็นว่าฌอนกำลังนั่งดูถ่ายทอดสดการเเข่งขันฟุตบอลอยู่ เขาทำตัวตามสบายอย่างกับอยู่บ้านตัวเองไม่มีผิด
“ไม่มีเบียร์รึไง?” ฌอนถามทั้งที่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่การเเข่งขันตรงหน้า
“ไม่มีค่ะ” ฉันตอบและหันหลังกลับไปที่ครัวอีกครั้ง โดยไม่รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
ฉันเริ่มจัดของเข้าตู้เย็นโดยที่เลือกอาหารเเช่เเข็งสองเเพ็คนำเข้าไมโครเวฟ แพ็คหนึ่งของฉันส่วนอีกแพ็คก็เผื่อฌอนนั่นเเหละ จะทำให้ตัวเองอย่างเดียวมันก็ยังไงอยู่ อย่างน้อยเขาก็ขับรถมาส่งและยังช่วยถือของอีก ฉันก็ควรแสดงความขอบคุณเขาไปตามมารยาทที่พึงมี
เมื่อเวฟเสร็จฉันก็ถือสปาเก็ตตี้ไปให้เขาที่หน้าทีวี ฌอนก็หันมามองฉันสลับกับมองไปที่สปาเก็ตตี้ ก่อนจะหันไปสนใจการแข่งขันฟุตบอลต่อโดยที่ไม่พูดอะไร ฉันเองก็เหนื่อยจนไม่อยากเเม้เเต่จะเปล่งเสียง บอกตามตรงตอนนี้รู้สึกร่างกายมันระบมไปทุกส่วน ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ยังไงไม่รู้ ส่วนข้อเท้ามันก็เต้นตุบๆ และเจ็บแปลบๆ ตลอดเวลา คงต้องรีบกินข้าวกินยาจะได้นอนพักสักที
หลังจากที่กินข้าวกินยาเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ยังเห็นฌอนนั่งดูฟุตบอลไม่ได้ไปไหน ส่วนสปาเก็ตตี้ที่ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่แตะมัน ตอนนี้เหลือเพียงเเค่กล่องเปล่าๆ เท่านั้น
“เอ่อ...พี่ฌอน เลิฟอยากพักเเล้วค่ะ” ฉันทำใจกล้าเอ่ยไล่เขาด้วยประโยคสุภาพ สรรพนามที่แทนตัวเองก็กลับมาใช้แบบเดิม ก่อนจะลอบมองหน้าหล่อเหลานั่นอย่างเกร็งๆ
“แล้วฉันห้ามเธอไว้รึไง” ฌอนก็ตอบกลับมาเสียงเรียบ โดยไม่ได้มองหน้าฉันเหมือนเดิม
ฉันก็ได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก็ถ้าเขายังอยู่เเบบนี้ฉันจะพักได้ยังไงกัน นี่มันห้องฉันนะเเละเราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรือสนิทกันสักหน่อย เเล้วจะให้ทำตัวเหมือนปกติได้ยังไง
“พี่จะกลับตอนไหนเหรอคะ?” สิ้นคำถามสายตาคมกริบก็ตวัดมองมาทันที ฉันหุบปากอย่างรวดเร็วไม่พูดอะไรอีกก่อนจะเลี่ยงไปทางห้องนอนของตัวเองเพื่อจะอาบน้ำ
“แล้วทำไมฉันต้องเดินหนีออกมาแทนที่จะเอ่ยปากไล่เขาด้วยเนี่ย...นี่มันห้องเธอนะยัยเลิฟ!” ฉันยืนทึ้งผมตัวเองอยู่ในห้องน้ำราวกับคนเสียสติ พร่ำบ่นกนด่าตัวเองไม่หยุดที่ไม่กล้าเเม้เเต่จะเอ่ยสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป
ฉันใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นาน ก่อนจะรีบเเต่งตัวเเละเดินออกมาหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกครั้ง ตั้งใจที่จะบอกให้เขากลับบ้านของตัวเองไป เพราะตอนนี้ร่างกายรวมถึงหนังตาของฉันมันอ่อนเเรงเต็มที พร้อมที่จะดับวูบได้ทุกเมื่อ บวกกับฤทธิ์ของยาที่กินเข้าไปด้วย ทำให้ภาพในหัวตอนนี้มีเพียงเเค่เตียงนอนนุ่มๆ ของตัวเองเท่านั้น
“พี่ฌอน…เลิฟง่วงเเล้ว” ฉันบอกเสียงงัวเงียพลางขยี้ตาตัวเองไปด้วย เพราะหนังตามันคอยเเต่จะปิดลงมาอยู่ตลอด
“ก็ไปนอนสิ”
“พี่กลับบ้านไปเถอะ เลิฟอยากนอนเเล้ว” เมื่อได้ยินเขาตอบมาแบบนั้น ฉันก็เอ่ยไล่เขาออกไปตรงๆ ไม่คิดอ้อมค้อมอะไรแล้ว
“ก็ไปนอนสิ ฉันจะดูบอล”
เอ๊ะ! นี่เขาไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือไง ฉันอยากพัก ฉันง่วง!!
“เเต่นี่มันห้องฉันนะ” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ สรรพนามเรียกแทนตัวเองก็เริ่มเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็สติสตังฉันตอนนี้มันไม่เต็มร้อยเเล้ว
“แล้วไง?” ฌอนยังคงหน้ามึนทอดตัวนอนเหยียดยาวบนโซฟา พลางหยิบมันฝรั่งทอดของฉันใส่ปากไม่หยุด
เเล้วเจ้าของห้องอย่างฉันก็ได้เเต่มองเขาอย่างเหลือเชื่อ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าฌอนที่ใครๆ เรียกว่า “จอมโหด” จะเป็นคนหน้า(ด้าน)มึนอย่างนี้ ฉันยืนมองเขาอยู่พักนึงเพื่อกดดันให้เขากลับไป แต่กลายเป็นฉันที่หมดความอดทนเสียเอง เพราะขณะที่ยืนอยู่นี่หนังตาไม่รักดีมันไม่ฟังคำสั่งมันคอยเเต่จะปิดลงตลอด พาให้ร่างกายที่อ่อนล้าของฉันโงนเงนไปมาเหมือนจะหลับได้เพียงในไม่กี่วินาที แล้วก็กลายเป็นฉันที่ขอยอมแพ้ในยกนี้
“เฮ้อ....ถ้าพี่กลับช่วยปิดไฟให้ฉันด้วยเเล้วกันค่ะ”
ฉันไม่สนใจอะไรเเล้วหันหลังเดินเข้าห้องนอน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงเเละหลับไปทันทีโดยที่ไม่ฝันอะไรเลย
หลังจากนั้นเราก็นอนคุยกันอีกนิดหน่อย และน่าแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วงเลย คงเพราะยังตื่นเต้นกับงานหมั้นที่กระทันหันอยู่ละมั้ง ทำให้ตอนนี้ฉันได้แต่นอนไถไอแพดเพื่อไล่อ่านคอมเมนต์ในไอจีของตัวเองที่ฉันเพิ่งจะลงรูปงานหมั้นลงไปถึงแม้ไอจีของฉันจะเพิ่งเปิดเป็นสาธารณะเมื่อตอนไปทริปเที่ยวทะเล แต่กลายเป็นว่าผู้ติดตามไอจีกลับเพิ่มขึ้นทีเดียวหลายพันคนภายในเวลาไม่กี่วัน ส่วนคนที่ขอให้ฉันเปิดเป็นสาธารณะก็คือคนตัวโตที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี่แหละ โดยเขาให้เหตุผลปนน้อยใจที่เห็นไอจีส่วนตัวของฉันลงรูปคู่แค่รูปเดียวเท่านั้น ก็คือรูปที่เราถ่ายกันที่ร้านอาหารในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ไอจีของพี่ฌอนลงรูปฉันแทบจะทุกวันในอิริยาบทต่างๆ ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงน้อยใจเหมือนกัน“คนมาแสดงความยินดีกับเราเยอะเกินคาดเลยนะเนี่ย” ฉันนั่งดูข้อความพวกนั้นที่มีมากถึงห้าร้อยกว่าคอมเมนต์ รวมถึงมีคนกดหัวใจให้อีกครึ่งหมื่น“แต่ก็สู้ของพี่ไม่ได้หรอก” พูดเสร็จพี่ฌอนก็ส่งโทรศัพท์มาให้ฉันดูฉันหยิบมาดูก่อนจะตกใจที่เห็นคนกดหัวใจงานหมั้นของเราถึงสองหมื่นและคอมเมนต์อีกเกือบสองพันคอมเมนต์“เยอะมากเลยค่ะ” ฉันหันไปบอกด้วยความตกใจ ก่อนที่มือจะ
หมดทริปทะเลมาหมาดๆ ฉันก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่สองวัน ก่อนจะบินต่อไปอังกฤษเพื่อเยี่ยมครอบครัว ซึ่งครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะมีผู้ชายหน้าดุติดสอยห้อยตามไปด้วย เหตุผลก็อย่างที่รู้พี่ฌอนอยากจะไปเจอกับครอบครัวของฉันอย่างเป็นทางการและอยากจะพูดเรื่องหมั้นด้วยแต่เมื่อบินไปถึงบ้านที่อังกฤษฉันก็ถึงกับงง เมื่อเห็นว่าบ้านของตัวเองเปลี่ยนไป เพราะคนมากมายที่ไหนก็ไม่รู้เดินขวักไขว่ไปมาดูวุ่นวายไปหมด บ้างก็กำลังจัดโต๊ะ บ้างก็กำลังจัดดอกไม้ ราวกับว่าที่บ้านกำลังมีงานใหญ่ ตลอดทางที่เดินไปฉันก็คอยหันซ้ายหันขวามองตามผู้คนเหล่านั้นด้วยความอยากรู้“ทำไมเราไม่รู้เลยว่าที่บ้านจะมีงาน” ฉันพึมพำอยู่คนเดียวและยังคงมองตามคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงนั้น“เดี๋ยวเข้าไปก็รู้เองนั่นแหละ” เสียงทุ้มตอบกลับ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆฉันมองคนข้างๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงคุณแม่ดังต้อนรับทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน“สวัสดีค่ะคุณแม่” ฉันยกมือไหว้ ก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง“เหนื่อยไหมลูก” น้ำเสียงที่ดูห่วงใยไม่เคยเปลี่ยนจากผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจทุกครั้งเลย“แ
ฉันหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนขี้หวง แต่ไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจอะไร เพราะชินแล้วกับความเกินเบอร์ของแฟนตัวเอง“ดีใจด้วยนะรัก” อลิซเดินเข้ามากอดหลังจากที่ฉันผละออกจากพี่ฌอน“ขอบคุณนะ เราดีใจที่อลิซอยู่ที่นี่เวลานี้กับเรานะ” ฉันกอดอลิซแน่นเช่นกัน รู้สึกมีความสุขมากที่มีเพื่อนคนสำคัญมาอยู่ในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ด้วยกัน“เราเองก็ดีใจที่รักมีพี่ฌอนคอยดูแลแบบนี้ เราจะได้หมดห่วงสักที”“เราเองก็อยากเห็นอลิซมีคนคอยดูแลเหมือนกันนะ” ฉันผละออกและพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนที่ใบหน้าของแวนจะปรากฎขึ้นมาในความคิด“...อลิซไม่สนใจน้องแวนบ้างเหรอ” ฉันไม่เสียเวลาเอ่ยถามออกไปตรงๆ เพราะอยากเห็นเพื่อนมีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างเหมือนที่ตัวเองมีในตอนนี้“ทะ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” อลิซอึกอักแถมแก้มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย“เอ๊ะ! หรือว่าคุยๆ กันอยู่ ถ้าเป็นน้องแวนเราเชียร์เต็มที่เลยนะ”“หา! เดี๋ยวๆ…” อลิซเหมือนจะพูดอะไร แต่ฉันก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ไปเริ่มคุยกันตอนไหนเหรอ หรือว่าหลังจากที่เราทานข้าวด้วยกันวันนั้น…ต้องใช่วันนั้นแน่ๆ เลย…”“รัก คือว่า…”“ไปทานอาหารได้แล้ว เย็นหมดแล้วมั้งน่ะ!”ฉันที่ตั้งใ
วันนี้ได้มาร่วมเป็นศักขีพยานในงานแต่งของเพื่อนใหม่ชาวเกาหลี ที่แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ในเมื่อได้รับเกียรติขนาดนี้ฉันก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของงานด้วยเช่นกันงานแต่งถูกจัดริมทะเลยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มอมชมพูแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ราวกับว่าพระอาทิตย์ดวงนี้มาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับความรักของคนทั้งคู่ด้วย ลมที่พัดปะทะหน้าเอื่อยๆ เย็นสบายบวกกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูสบายๆ เรียบง่ายและอบอุ่นผู้คนที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มาแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานใหม่ ทุกคนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ่งบอกว่าพวกเขาเองก็มีความสุขไม่น้อยไปกว่าคู่แต่งงานเลยการที่ครอบครัวจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเลือก ฉันคิดว่าพวกเขาก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่น้อย เหมือนคู่ของฉันที่กว่าจะมาลงเอยกันได้แบบนี้ก็มีเรื่องให้เข้าใจผิดเจ็บปวดทั้งกายและใจมาไม่น้อย แต่เมื่อความจริงเปิดเผยเราได้เห็นตัวตนของกันและกัน ทุกอย่างถึงคลี่คลายในทางที่ดีแบบนี้ได้“หิวรึเปล่า? ให้พี่ไปตักอะไรให้ไหม” เสียงทุ้มคุ้นหูกระซิบถาม หลังจากที่ฉันเอาแต่เหม่อมองคู่แต่งงานใหม่อยู่นาน“ไม่ค่อยหิวเลยค่ะ” ฉันยิ้
เราทั้งคู่เดินซื้อของจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยง อาการของเลิฟก็ดูท่าจะเหนื่อยแล้ว ผมเลยพาเธอมานั่งพักที่คาเฟ่ร้านหนึ่ง ซึ่งเลิฟดูจะถูกใจมาก ด้วยบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีหวาน พร้อมกับเบเกอรี่หลากหลายแบบที่ถูกจัดวางอย่างน่าทาน ทำให้คนที่คลั่งเบเกอรี่อย่างแฟนสาวของผมอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าร้านนี้“รอพี่ที่นี่ เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บที่รถก่อน”“ค่ะ”หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มและขนมให้เลิฟเสร็จ ผมก็เดินไปยังรถที่จอดอยู่ห่างออกไป เพราะตอนนี้ในมือของผม มันเต็มไปด้วยของมากมาย ทั้งของฝากทั้งเสื้อผ้าและของกิน จนมือไม่มีที่ว่างจะถือของเพิ่มอีกแล้ว“ช็อปเก่งจริง แฟนใครวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างไม่จริงจัง เพราะไม่ว่าเลิฟจะต้องการอะไร ผมก็เต็มใจให้ทุกอย่างอยู่แล้วพอเก็บของใส่รถเสร็จผมก็เดินกลับมาที่คาเฟ่ แต่ก็ต้องยืนนิ่งไปรู้สึกว่าตัวเองหน้าตึงคิ้วกระตุก เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังนั่งพูดคุยและยิ้มให้คนของผมอยู่ อารมณ์ที่ดีมาตลอดทั้งวันต้องมาสะดุดกับภาพตรงหน้าในทันที“โอ๊ะ! พี่ฌอนมาพอดีเลย” เลิฟที่หันมาเห็นว่าผมยืนอยู่รีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา“นี่ใคร?” หลังจากที่นั่งลงผมก็รีบถามออกไปเสียงแข็ง
(Sean’s Talk) “ออกค่ายสนุกไหม” เพราะไม่เจอหน้ากันหลายวันความคิดถึงมันเลยมีมาก อยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าเราจะโทรคุยกันทุกวันก็ตาม“สนุกค่ะ แต่ก็เหนื่อยด้วย” สีหน้าสดใสกับรอยยิ้มกว้างเป็นเครื่องยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มพลางเอื้อมมือไปจับแก้มนุ่มๆ ของเธอเล่นไปด้วย“ค่ะ เลิฟคิดว่าปีหน้าก็จะมาออกค่ายอาสาอีก” ใบหน้าเล็กเอียงหน้าซบบนฝามือของผมด้วยท่าทางออดอ้อน“ใครอนุญาต?” รู้ดีท่าทางที่เธอกำลังทำใส่ผมอยู่ตอนนี้คืออะไร คงอยากจะให้ผมใจอ่อนให้เธอไปน่ะสิ แต่คนอย่างผมแค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยแล้วจะสำเร็จดั่งใจหวังละก็คิดผิดแล้วล่ะ“ฮือ พี่ฌอนขอเลิฟไปเถอะนะ หรือเราสองคนไปด้วยกันก็ได้” เลิฟเริ่มต่อลองดูท่าเธอคงจะติดใจค่ายอาสาเข้าแล้วจริงๆ“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ผมวางท่าไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะถ้าวันนั้นมาถึงผมคงไม่ยอมปล่อยให้เลิฟไปคนเดียวอีกแน่การที่ต้องห่างจากเธอทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงและเหงามาก แค่ได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์มันไม่พอสำหรับผมจริงๆ จนก่อนวันที่เลิฟจะเดินทางกลับผมทนต่อไปไม่ไหวต้องลากไอ้เพื่อนรักให้มันมาช่วยผมขับรถ เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย พอฟังม







