LOGINในเช้าของอีกวันฉันกำลังนั่งมึนอยู่กลางเตียง เมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองคิดว่าคงกลับไปแล้วตั้งเเต่เมื่อคืน กำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ แผ่นหลังกว้างตึงเปลือยเปล่าขาวจัดเด่นหรา ใบหน้าหล่อร้ายเมื่อยามที่เขาตื่น แต่ตอนหลับกลับเหมือนเด็กน้อยที่ไร้พิษสงเเละยังคงความหล่อเหลาไม่เปลี่ยน เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ยุ่งไม่เป็นทรงดูนุ่มน่าสัมผัส ทั้งหมดที่เป็นฌอนมันดูดีเเละเซ็กซี่ จนทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้จริงๆ
“ทำไม...เขามานอนตรงนี้ได้ยังไงกัน แล้วทำไม…” ฉันได้เเต่จ้องคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอย่างสงสัย
ฉันนั่งมองฌอนอยู่พักนึง ก่อนจะได้สติรีบสะบัดหน้าแรงๆ ไล่ความคิดแปลกๆ ของตัวเองที่มันคอยเเต่จะสั่งให้เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสร่างสูงอยู่ตลอด
“หยุดๆ” ฉันรีบดีดตัวเองออกจากเตียงราวกับถูกไฟลวก
เเต่ฉันลืมไปว่าตัวเองขาเจ็บผลที่ได้คืออะไรรู้ไหม...พอลงน้ำหนักไปที่ขาความเจ็บก็แล่นเข้ามาทำให้ประคองตัวเองไม่อยู่ ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรมาพันอยู่ที่ขาซ้ำเข้าไปอีก ทำให้ล้มหน้าฟาดกับโต๊ะข้างเตียงเต็มแรงมันเจ็บจนชาไปหมด พอขยับก็ยิ่งเจ็บ ทำให้ฉันได้เเต่นอนตะแคงอยู่ที่พื้น สายตาพร่ามัวจนมองอะไรแทบไม่เห็น หูทั้งสองข้างมีเพียงเสียงวี้ดแหลมเข้ามาในแก้วหู ในหัวขาวโพลนไปหมดรู้เเค่เพียงความเจ็บที่มันเเผ่ลามไปทั้งหัวเท่านั้น
“อือ…” ฉันครางเมื่อความเจ็บลามไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! ยัยมัมมี่”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังเเว่วเข้ามาในหู พร้อมกับตัวของฉันที่มันลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะถูกวางลงที่เตียงอย่างแผ่วเบา เมื่อสายตาฉันเริ่มกลับมามองเห็นชัดเจนขึ้น มือที่สั่นเทาก็รีบกุมหน้าของตัวเองทันที ของเหลวเหนียวเหนอะไหลไปตามเรียวนิ้ว เมื่อชักมือออกก็เห็นว่านั่นคือเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกของตัวเอง
“ฮือ...ละ เลือด” ฉันเบ้หน้าร้องไห้ออกมาด้วยตกใจ
“ยัยโง่เอ้ย! เงยหน้าขึ้นสิ” คนตรงหน้าสบถอย่างฉุนเฉียว ก่อนที่เขาจะจับหน้าของฉันให้เงยขึ้น
“เจ็บ…ฮือออ” ฉันปล่อยโฮออกมาทันที มือที่เต็มไปด้วยเลือดก็ยื่นไปหาคนตรงหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก
“จะร้องไห้ทำไมวะ เงยหน้าขึ้นสิยัยโง่!” ฌอนโวยวายสบถออกมาไม่ซ้ำคำ มือหนาก็บีบแก้มฉันเเน่นบังคับให้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นว่าเลือดของฉันมันหยดลงบนที่นอนสีขาวจนเลอะไปหมดแล้ว
“พี่ฌอน...เลิฟเจ็บ”
“เออรู้เเล้ว! เงยหน้าไว้ถ้าเธอก้มหน้าเมื่อไหร่ ฉันเอาเธอตายเเน่” คำขู่ของฌอนทำเอาฉันไม่กล้าทำอย่างอื่นนอกจากเงยหน้าเเละนั่งนิ่งๆ ตามที่เขาบัญชามา
ฌอนลุกออกจากเตียงเดินไปที่ไหนสักที่ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูชุบน้ำและเขายังคงสบถไม่หยุด
“รู้ไหม...เธอทำให้ฉันอยากฆ่าคน...ส่วนคนที่ฉันอยากจะฆ่ามากที่สุดในตอนนี้ก็คือ...เธอ! ยัยมัมมี่ผีดิบเดินได้!!” ฌอนขบกรามแน่นราวกับกำลังข่มด้านมืดของตัวเองเอาไว้อย่างสุดกำลัง
เเต่ถึงอย่างนั้นน้ำหนักมือที่เขากำลังใช้ผ้าขนหนูมาซับเลือดที่จมูกให้ไม่ได้เเผ่วเบาเลย กลับทำให้ฉันเจ็บมากกว่าเดิมจนต้องร้องบอกเขาออกไป
“พี่ฌอนเจ็บ...” ฉันจับข้อมือใหญ่เอาไว้เเน่น พยายามดึงมันออกห่าง เเต่ก็สู้แรงของเขาไม่ได้
“อยู่เฉยๆ ไม่งั้นฉันจะขยี้แผลเธอให้เจ็บกว่าเดิมอีก” ฌอนขู่อย่างน่ากลัว เเต่เขาก็ลดน้ำหนักมือลงจนฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บเหมือนครั้งแรกอีกเเล้ว
“แล้วทำไมถึงได้เอาหน้าไปฟาดโต๊ะเล่นแบบนั้น” เขาถามมือก็ยังคอยซับเลือดให้ฉันไม่หยุด
“ผ้าห่มมันพันขาเลยล้มค่ะ” ฉันตอบเเละหลบตาคนตรงหน้าพัลวัน
ก็ใครมันจะกล้าบอกว่าที่ฉันสะดุดผ้าห่มเพราะรีบร้อนหนีด้านมืดของจิตใจตัวเอง ที่มันอยากจะลวนลามเขา อยากจะลูบไล้แผ่นหลังเรียบตึง อยากเเตะริมฝีปากเเดงบางเฉียบเเละเส้นผมหนานุ่มของเขาด้วย ถ้าฌอนรู้ว่าฉันคิดจะทำอะไรกับร่างกายของเขา เขาต้องจับฉันไปส่งโรงพยาบาลจริงๆ แน่
“แล้วทำยังไงถึงสะดุดผ้าห่ม” ฌอนยังคงถามอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยจ้องหน้าฉันอย่างคาดคั้น
“เอ่อ...จะเข้าห้องน้ำค่ะ เลย...สะดุดค่ะ” น้ำเสียงตัวเองมันตะกุกตะกักน่าขำสิ้นดีมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัดเลย อย่างนี้ฌอนต้องรู้แน่ว่าที่ฉันตอบออกไปมันไม่ใช่เลยสักนิด
“แน่ใจ?” แล้วเขาก็ยังคงถามย้ำ พร้อมสายตาดั่งนกเหยี่ยวที่จ้องมองมาอย่างจับผิด
“นะ...แน่ค่ะ” ฉันพยักหน้าแรงๆ เพื่อย้ำว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นเป็นความจริง เเม้มันจะไม่น่าเชื่อเลยก็ตาม
“แล้วมีเรียนรึเปล่า” ฌอนถามพลางสำรวจหน้าฉันอยู่พักนึง
“มีค่ะ”
บอกตามตรงฉันรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะก่อนหน้านี้เราสองคนเหมือนคนที่เดินคนละเส้นทางที่ยากจะมาบรรจบกัน เเต่ว่าตอนนี้ฉันกับฌอนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนเตียง เหมือนว่าเราสองคนรู้จักมักคุ้นกันมาเนินนาน เหมือนเราสนิทกันมากขนาดที่นอนร่วมเตียงกันได้ ซึ่งความจริงแล้ว...มันไม่ใช่เลย
เราไม่เคยคุยกันดีๆ เลยด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องเข้าใจผิดเมื่อนานมาเเล้ว ทำให้ฉันกลายเป็นคนแปลกหน้าเเละไม่น่าข้องเกี่ยวด้วยสำหรับเขา ฌอนก็คงมองว่าฉันเป็นพวกชอบสร้างปัญหาเหมือนอย่างเช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้
“แล้วจะไปยังไง?” ฌอนปรายตามองมาที่ฉันอย่างหมิ่นๆ เขาคงจะรำคาญฉันเต็มทนแล้ว
“แท็กซี่ค่ะ”
“ตอบฉันเเบบนี้คืออยากมีเรื่องใช่ไหม ยัยมัมมี่!” ฉันหน้าเหวอไปเลยเมื่อถูกเขาตะคอกกลับมาเสียงดัง
ฉันไปหาเรื่องเขาตอนไหนอีกเนี่ย เขาถามมาฉันก็ตอบไป ฉันผิดอะไร (T_T)
“เปล่านะคะ เลิฟจะนั่งแท็กซี่ไปเรียนจริงๆ” ฉันส่ายหน้ารัวๆ มองเขาอย่างตื่นๆ
“ฉันหมายถึงสภาพเธอเดี้ยงเเบบนี้จะไปเรียนไหวได้ยังไง!” ฌอนพ่นลมหายใจออกมาอย่างฉุนเฉียว พลางปาผ้าขนหนูในมือลงพื้น
“เอ่อ…”
“ทำไมฉันถึงคุยกับเธอไม่เคยรู้เรื่องเลยวะ หงุดหงิดเว้ย!” ฌอนตะโกนลั่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินตึงตังเข้าห้องน้ำไปทันที
“แล้วฉันพูดอะไรผิดล่ะเนี่ย”
ฉันนั่งคอตกอยู่บนเตียง มองสภาพตัวเองตอนนี้เเล้วมันก็ไม่ต่างไปจากมัมมี่ผีดิบเดินได้อย่างที่ฌอนพูดเลยสักนิด เลือดสีเเดงที่เลอะชุดนอนกระโปรงยาวสีขาวเป็นวงกว้าง ยิ่งทำให้ฉันดูเหมือนซอมบี้ที่เพิ่งไปกัดกินเนื้อคนมาจนเลือดเลอะเต็มตัว สภาพฉันไม่น่ามองเลยจริงๆ แถมคนที่มาเห็นฉันในสภาพนี้กลับไม่ใช่อลิซเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน เเต่กลายเป็นคนที่เกลียดขี้หน้าฉันอย่างฌอนเสียนี่ บอกเลยว่านี่คือความอับอายครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้
“ไปอาบน้ำได้แล้ว สภาพเธอนี่มันน่าสยดสยองจริงๆ ให้ตายเถอะ”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนั่งเอ๋อแบบนี้อยู่นานเเค่ไหน จนกระทั่งได้ยินเสียงฌอนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เอ่อ...เซ็กซี่เรียกเลือดมากจริงๆ เขาสวมเพียงกางเกงยีนเอวต่ำโชว์ขอบกางเกงชั้นในราคาแพงยอดนิยม ส่วนท่อนบนไม่ต้องพูดถึงเขาไม่ได้ใส่อะไรเลย กล้ามท้องขาวๆ ของเขาเรียงสวยเด่นหราสู่สายตา เเต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของฉันมากที่สุดก็คงเป็นร่องวีเชฟของเขา
“ผู้ชายอะไรเซ็กซี่เป็นบ้าเลย…”
“เธอว่าอะไรนะ?”
“ปะ...เปล่าๆ ค่ะ จะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
ฉันรีบสะบัดหัวแรงๆ เพื่อไล่ความคิดและสายตาโลมเลียของตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าเเก้มของตัวเองมันร้อนจนต้องรีบเอามือขึ้นมาพัดไว้ ก่อนจะประคองตัวเองเดินเข้าห้องน้ำอย่างระวัง ไม่อยากจะเจ็บตัวเพิ่มอีกแล้ว มันไม่สนุกเลยจริงๆ
ฉันใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าทุกครั้งเพราะแผลที่จมูก ต้องค่อยๆ ล้างหน้าพอโดนน้ำมันปวดจนต้องหยุดอยู่ชั่วครู่ก่อนเริ่มล้างหน้าอีกครั้ง กว่าที่จะอาบน้ำเสร็จฌอนก็เดินมาเคาะประตูเรียกอยู่หลายรอบ
“นึกว่าเน่าตายในห้องน้ำไปแล้ว” ฌอนทักทายด้วยคำหวานลื่นหู(ประชดค่ะ) เมื่อเห็นฉันเดินออกมาจากห้องนอนหลังจากที่เเต่งตัวเสร็จแล้ว
“เธอเรียนตึกไหน?”
“ศิลปกรรมค่ะ” ฉันตอบไปอย่างไม่อิดออด เพราะไม่อยากถูกฌอนสาดคำพูดเเข็งกระด้างมาให้
จริงๆ ฉันน่าจะชินได้เเล้วกับความเป็นคนพูดตรงถึงตรงมากของฌอน แม้จะบอกให้ชินเเต่พอเขาพูดออกมาแบบนั้นมันก็อดสะอึกเจ็บจี๊ดไม่ได้ ฉันไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะที่จะไม่รู้สึกอะไรเวลาที่เขาพูดกระแทกแดกดันน่ะ
ตลอดทางที่นั่งรถมากับฌอนฉันก็เงียบมาตลอดทาง ในใจมันรู้สึกแปลกไปไม่เหมือนกับฉันคนเดิม เพราะความรู้สึกตื่นเต้นที่มีมากเกินไปเมื่อได้อยู่ข้างเขา ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยรู้สึกปลื้มรุ่นพี่หรือใจเต้นเเรงกับคนหล่อนะ ฉันเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กรี๊ดกร๊าดเวลาที่เห็นคนหน้าตาดี เเต่กับฌอนมันเป็นความรู้สึกที่มีมากกว่าคนอื่น มากจนฉันรู้สึกกลัว…กลัวว่าตัวเองจะเผลอทำตัวบ้าๆ ออกไปให้เขารู้สึกเกลียดมากขึ้นอีกน่ะสิ
แล้วก่อนที่อะไรๆ มันจะไม่เหมือนเดิม ฉันควรที่จะหยุดความรู้สึกนั้นเอาไว้เก็บซ่อนมันให้ลึกที่สุด เพราะหลังจากนี้เราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันเหมือนเดิม กลายเป็นคนที่เดินคนละเส้นทางเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้ฌอนด้วยความรู้สึกที่โหวงหวิว หลังจากที่รถมาหยุดอยู่ที่หน้าคณะของตัวเองเเล้ว
“อือ…” ฌอนพยักหน้ารับ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เเต่ฉันรู้ดีว่าเขารำคาญหงุดหงิดกับตัวปัญหาอย่างฉันมากแค่ไหน
ฉันยืนมองท้ายรถคันสวยที่เคลื่อนออกห่างไปพลางถอนหายใจ ก่อนจะเดินกระเผลกตรงเข้าไปหาอลิซที่นั่งรออยู่ที่ม้าหิน ซึ่งฉันก็คิดว่าเธอคงเห็นเเล้วว่าเมื่อกี้ใครขับรถมาส่งฉัน เเละคงจะไม่ใช่เเค่อลิซที่รู้ เพราะตอนนี้ก็มีสายตาของสาวๆ หลายคนจ้องมองมาทางฉันอย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
หลังจากนั้นเราก็นอนคุยกันอีกนิดหน่อย และน่าแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกง่วงเลย คงเพราะยังตื่นเต้นกับงานหมั้นที่กระทันหันอยู่ละมั้ง ทำให้ตอนนี้ฉันได้แต่นอนไถไอแพดเพื่อไล่อ่านคอมเมนต์ในไอจีของตัวเองที่ฉันเพิ่งจะลงรูปงานหมั้นลงไปถึงแม้ไอจีของฉันจะเพิ่งเปิดเป็นสาธารณะเมื่อตอนไปทริปเที่ยวทะเล แต่กลายเป็นว่าผู้ติดตามไอจีกลับเพิ่มขึ้นทีเดียวหลายพันคนภายในเวลาไม่กี่วัน ส่วนคนที่ขอให้ฉันเปิดเป็นสาธารณะก็คือคนตัวโตที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ นี่แหละ โดยเขาให้เหตุผลปนน้อยใจที่เห็นไอจีส่วนตัวของฉันลงรูปคู่แค่รูปเดียวเท่านั้น ก็คือรูปที่เราถ่ายกันที่ร้านอาหารในตอนนั้น ทั้งๆ ที่ไอจีของพี่ฌอนลงรูปฉันแทบจะทุกวันในอิริยาบทต่างๆ ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็คงน้อยใจเหมือนกัน“คนมาแสดงความยินดีกับเราเยอะเกินคาดเลยนะเนี่ย” ฉันนั่งดูข้อความพวกนั้นที่มีมากถึงห้าร้อยกว่าคอมเมนต์ รวมถึงมีคนกดหัวใจให้อีกครึ่งหมื่น“แต่ก็สู้ของพี่ไม่ได้หรอก” พูดเสร็จพี่ฌอนก็ส่งโทรศัพท์มาให้ฉันดูฉันหยิบมาดูก่อนจะตกใจที่เห็นคนกดหัวใจงานหมั้นของเราถึงสองหมื่นและคอมเมนต์อีกเกือบสองพันคอมเมนต์“เยอะมากเลยค่ะ” ฉันหันไปบอกด้วยความตกใจ ก่อนที่มือจะ
หมดทริปทะเลมาหมาดๆ ฉันก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่สองวัน ก่อนจะบินต่อไปอังกฤษเพื่อเยี่ยมครอบครัว ซึ่งครั้งนี้พิเศษหน่อยเพราะมีผู้ชายหน้าดุติดสอยห้อยตามไปด้วย เหตุผลก็อย่างที่รู้พี่ฌอนอยากจะไปเจอกับครอบครัวของฉันอย่างเป็นทางการและอยากจะพูดเรื่องหมั้นด้วยแต่เมื่อบินไปถึงบ้านที่อังกฤษฉันก็ถึงกับงง เมื่อเห็นว่าบ้านของตัวเองเปลี่ยนไป เพราะคนมากมายที่ไหนก็ไม่รู้เดินขวักไขว่ไปมาดูวุ่นวายไปหมด บ้างก็กำลังจัดโต๊ะ บ้างก็กำลังจัดดอกไม้ ราวกับว่าที่บ้านกำลังมีงานใหญ่ ตลอดทางที่เดินไปฉันก็คอยหันซ้ายหันขวามองตามผู้คนเหล่านั้นด้วยความอยากรู้“ทำไมเราไม่รู้เลยว่าที่บ้านจะมีงาน” ฉันพึมพำอยู่คนเดียวและยังคงมองตามคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงนั้น“เดี๋ยวเข้าไปก็รู้เองนั่นแหละ” เสียงทุ้มตอบกลับ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆฉันมองคนข้างๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงคุณแม่ดังต้อนรับทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน“สวัสดีค่ะคุณแม่” ฉันยกมือไหว้ ก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง“เหนื่อยไหมลูก” น้ำเสียงที่ดูห่วงใยไม่เคยเปลี่ยนจากผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจทุกครั้งเลย“แ
ฉันหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนขี้หวง แต่ไม่ได้นึกโกรธหรือไม่พอใจอะไร เพราะชินแล้วกับความเกินเบอร์ของแฟนตัวเอง“ดีใจด้วยนะรัก” อลิซเดินเข้ามากอดหลังจากที่ฉันผละออกจากพี่ฌอน“ขอบคุณนะ เราดีใจที่อลิซอยู่ที่นี่เวลานี้กับเรานะ” ฉันกอดอลิซแน่นเช่นกัน รู้สึกมีความสุขมากที่มีเพื่อนคนสำคัญมาอยู่ในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ด้วยกัน“เราเองก็ดีใจที่รักมีพี่ฌอนคอยดูแลแบบนี้ เราจะได้หมดห่วงสักที”“เราเองก็อยากเห็นอลิซมีคนคอยดูแลเหมือนกันนะ” ฉันผละออกและพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนที่ใบหน้าของแวนจะปรากฎขึ้นมาในความคิด“...อลิซไม่สนใจน้องแวนบ้างเหรอ” ฉันไม่เสียเวลาเอ่ยถามออกไปตรงๆ เพราะอยากเห็นเพื่อนมีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างเหมือนที่ตัวเองมีในตอนนี้“ทะ ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” อลิซอึกอักแถมแก้มก็แดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย“เอ๊ะ! หรือว่าคุยๆ กันอยู่ ถ้าเป็นน้องแวนเราเชียร์เต็มที่เลยนะ”“หา! เดี๋ยวๆ…” อลิซเหมือนจะพูดอะไร แต่ฉันก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ไปเริ่มคุยกันตอนไหนเหรอ หรือว่าหลังจากที่เราทานข้าวด้วยกันวันนั้น…ต้องใช่วันนั้นแน่ๆ เลย…”“รัก คือว่า…”“ไปทานอาหารได้แล้ว เย็นหมดแล้วมั้งน่ะ!”ฉันที่ตั้งใ
วันนี้ได้มาร่วมเป็นศักขีพยานในงานแต่งของเพื่อนใหม่ชาวเกาหลี ที่แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ในเมื่อได้รับเกียรติขนาดนี้ฉันก็ควรให้เกียรติกับเจ้าของงานด้วยเช่นกันงานแต่งถูกจัดริมทะเลยามที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มอมชมพูแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ราวกับว่าพระอาทิตย์ดวงนี้มาร่วมเป็นสักขีพยานให้กับความรักของคนทั้งคู่ด้วย ลมที่พัดปะทะหน้าเอื่อยๆ เย็นสบายบวกกับเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศดูสบายๆ เรียบง่ายและอบอุ่นผู้คนที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มาแสดงความยินดีกับคู่แต่งงานใหม่ ทุกคนมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ่งบอกว่าพวกเขาเองก็มีความสุขไม่น้อยไปกว่าคู่แต่งงานเลยการที่ครอบครัวจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเลือก ฉันคิดว่าพวกเขาก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่น้อย เหมือนคู่ของฉันที่กว่าจะมาลงเอยกันได้แบบนี้ก็มีเรื่องให้เข้าใจผิดเจ็บปวดทั้งกายและใจมาไม่น้อย แต่เมื่อความจริงเปิดเผยเราได้เห็นตัวตนของกันและกัน ทุกอย่างถึงคลี่คลายในทางที่ดีแบบนี้ได้“หิวรึเปล่า? ให้พี่ไปตักอะไรให้ไหม” เสียงทุ้มคุ้นหูกระซิบถาม หลังจากที่ฉันเอาแต่เหม่อมองคู่แต่งงานใหม่อยู่นาน“ไม่ค่อยหิวเลยค่ะ” ฉันยิ้
เราทั้งคู่เดินซื้อของจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยง อาการของเลิฟก็ดูท่าจะเหนื่อยแล้ว ผมเลยพาเธอมานั่งพักที่คาเฟ่ร้านหนึ่ง ซึ่งเลิฟดูจะถูกใจมาก ด้วยบรรยากาศที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีหวาน พร้อมกับเบเกอรี่หลากหลายแบบที่ถูกจัดวางอย่างน่าทาน ทำให้คนที่คลั่งเบเกอรี่อย่างแฟนสาวของผมอดไม่ได้ที่จะแวะเข้าร้านนี้“รอพี่ที่นี่ เดี๋ยวพี่เอาของไปเก็บที่รถก่อน”“ค่ะ”หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มและขนมให้เลิฟเสร็จ ผมก็เดินไปยังรถที่จอดอยู่ห่างออกไป เพราะตอนนี้ในมือของผม มันเต็มไปด้วยของมากมาย ทั้งของฝากทั้งเสื้อผ้าและของกิน จนมือไม่มีที่ว่างจะถือของเพิ่มอีกแล้ว“ช็อปเก่งจริง แฟนใครวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างไม่จริงจัง เพราะไม่ว่าเลิฟจะต้องการอะไร ผมก็เต็มใจให้ทุกอย่างอยู่แล้วพอเก็บของใส่รถเสร็จผมก็เดินกลับมาที่คาเฟ่ แต่ก็ต้องยืนนิ่งไปรู้สึกว่าตัวเองหน้าตึงคิ้วกระตุก เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังนั่งพูดคุยและยิ้มให้คนของผมอยู่ อารมณ์ที่ดีมาตลอดทั้งวันต้องมาสะดุดกับภาพตรงหน้าในทันที“โอ๊ะ! พี่ฌอนมาพอดีเลย” เลิฟที่หันมาเห็นว่าผมยืนอยู่รีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา“นี่ใคร?” หลังจากที่นั่งลงผมก็รีบถามออกไปเสียงแข็ง
(Sean’s Talk) “ออกค่ายสนุกไหม” เพราะไม่เจอหน้ากันหลายวันความคิดถึงมันเลยมีมาก อยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าเราจะโทรคุยกันทุกวันก็ตาม“สนุกค่ะ แต่ก็เหนื่อยด้วย” สีหน้าสดใสกับรอยยิ้มกว้างเป็นเครื่องยืนยันในคำตอบได้เป็นอย่างดี“สนุกขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มพลางเอื้อมมือไปจับแก้มนุ่มๆ ของเธอเล่นไปด้วย“ค่ะ เลิฟคิดว่าปีหน้าก็จะมาออกค่ายอาสาอีก” ใบหน้าเล็กเอียงหน้าซบบนฝามือของผมด้วยท่าทางออดอ้อน“ใครอนุญาต?” รู้ดีท่าทางที่เธอกำลังทำใส่ผมอยู่ตอนนี้คืออะไร คงอยากจะให้ผมใจอ่อนให้เธอไปน่ะสิ แต่คนอย่างผมแค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยแล้วจะสำเร็จดั่งใจหวังละก็คิดผิดแล้วล่ะ“ฮือ พี่ฌอนขอเลิฟไปเถอะนะ หรือเราสองคนไปด้วยกันก็ได้” เลิฟเริ่มต่อลองดูท่าเธอคงจะติดใจค่ายอาสาเข้าแล้วจริงๆ“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน” ผมวางท่าไปอย่างนั้นเองแหละ เพราะถ้าวันนั้นมาถึงผมคงไม่ยอมปล่อยให้เลิฟไปคนเดียวอีกแน่การที่ต้องห่างจากเธอทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงและเหงามาก แค่ได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์มันไม่พอสำหรับผมจริงๆ จนก่อนวันที่เลิฟจะเดินทางกลับผมทนต่อไปไม่ไหวต้องลากไอ้เพื่อนรักให้มันมาช่วยผมขับรถ เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ เลย พอฟังม







