ถุงเลือดส่วนตัว
บรรยากาศอันร่มรื่นเงียบสงบของวัดขนาดเล็ก ช่างจรรโลงใจเป็นที่สุด
หลังจากนอนกับพื้นและในตู้เสื้อผ้ามาครึ่งเดือน เขาก็ได้แวะไปตรวจสอบและคอนเฟิร์มว่าโลงศพที่สั่งทำเป็นที่ถูกใจ ได้ฟังก์ชันครบถ้วนตามต้องการ จากนั้นก็จ่ายเงินส่วนที่เหลือและเปลี่ยนที่อยู่ในการจัดส่งให้เขานำไปส่งในค่ายทหารแทน
ไหนๆ วันนี้ก็ได้หยุดงานแล้ว เขาก็เลยแวะมาวัดที่อยู่ข้างๆ ร้านโลงศพเสียหน่อย
ของที่บ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเก็บเยอะ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าหากทำโปรเจกต์ลับนั่นเสร็จแล้ว จะโดนไล่ออกกลับมาอยู่ที่พักเดิมหรือเปล่า ก็เลยจะเอาไปแต่ของใช้จำเป็นเท่านั้น
หากถามว่าผู้พันอาชวินจะรู้มั้ยว่าเขาเป็นคนที่แอบดูดเลือดอีกฝ่ายไป... เขามั่นใจว่าไม่ เพราะปฏิกิริยาของอัลฟ่าตนนั้นเมื่อตอนเจอกันวันก่อนดูปกติดีทุกอย่าง ดูเหมือนคนที่เคยเจอเขาครั้งเดียวตอนตกจากระเบียงห้อง
แต่ถามว่าเจ้าของเลือดหอมหวานนั่นรู้สึกระแคะระคายอะไรบ้างมั้ย เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตอนนี้ก็ได้แต่พยายามทำตัวปกติ เพราะยังไงเขาก็คงไม่ได้เจอเจ้านายคนใหม่บ่อยนัก
ชั้นลบหนึ่งกับชั้นบนสุด… ห่างกันตั้งเยอะ
สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าเรื่องพวกนั้นคือเรื่องค้างคาวต่างหาก
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้จริงๆ ด้วย
ถึงแม้ยังไม่เข้าใจว่าต้องทำยังไงถึงจะกลายร่างได้ แต่ตอนแปลงร่างเขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แถมยังบินหนีได้คล่องแคล่วเหมือนคนที่บินเป็นมาทั้งชีวิต
ข้อเสียเดียวเห็นจะเป็นเรื่องที่ค้างคาวดันเป็นเพศเมีย แถมยังมีนมตั้งหกเต้า ทำเอาบุรุษอย่างเขารับไม่ได้สุดๆ
ลองคิดตามดูสิ นมหกเต้า!
จะให้เขาเอานมไปให้ลูกๆ ค้างคาวแดกหรือไงกัน
แค่คิดว่ามีใครสักคนมาดูดนมจากเต้าก็สยิวสุดๆ ละ นี่ตั้งหกเต้า จะสยิวขนาดไหน
เดินเข้าไปดูพระประธานในอุโบสถเสร็จ เขาก็เดินวนรอบวัดชมความร่มรื่นไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะพบกับคนที่คุ้นเคยกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรสักอย่างอยู่เหนือร่างที่ตั้งอยู่กลางศาลาวัด
พอเดินเข้าไปใกล้ ภาพที่ปรากฏให้เห็นก็ยิ่งยืนยันสมมติฐานในใจ
เป็นชาแมนในชุดคลุมยาวรุ่มร่ามกำลังแต่งหน้าศพอยู่
“ไม่นึกว่าคุณจะเป็นสัปเหร่อให้กับทุกศาสนา”
“ผมไม่เลือกที่รักมักที่ชัง”
“คราวก่อนผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อข้อสอบ”
“อ่าฮะ รู้แล้ว”
รู้ได้ไง
เหมือนรู้ว่าเขาจะสงสัย สัปเหร่อผมยาวจึงเงยหน้าขึ้นจากศพหญิงแก่ที่ตนกำลังบรรจงปาดรองพื้นกลบรอยช้ำที่ลำคออยู่
“จากตำรวจ”
อ่า… งั้นก็เข้าใจได้
หลังจากนั้นข้อสอบก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เขาปล่อยให้ชาแมนได้ทำหน้าที่ของตน
จะว่าไป เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมร่างตัวเองถึงถูกใส่ไว้ในโลงศพ แทนที่จะถูกเผา หรือเพราะเขาระบุในเอกสารราชการมาโดยตลอดว่าไม่มีศาสนา เลยถูกเลือกวิธีจัดการศพให้แบบสุ่มๆ
ยิ่งได้มองศพที่ถูกแต่งตัวแต่งหน้าให้อย่างประณีต เจ้าของร่างผอมซีดก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นในใจ
เลือดศพจะมีรสชาติแบบไหนกันนะ
ในเมื่อนับวันเริ่มจะกินเลือดสัตว์ไม่ค่อยได้ ถ้าอย่างงั้นเลือดคนตายล่ะ?
ฉึก!
ราวกับความคิดของเขาถูกล่วงรู้โดยคนที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตน เพราะจู่ๆ กรรไกรที่กำลังตัดเล็มผมที่แห้งกรังบางส่วนออกกลับทิ่มไปยังข้างคอของศพ
แต่แทนที่เลือดจะไหลทะลักออกมา กลับมีเพียงแค่ลิ่มเลือดสีคล้ำกว่าปกติค่อนไปทางเขียวอมเทาที่ไหลออกมาให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แถมกลิ่นยังชวนคลื่นไส้แบบสุดๆ อีกด้วย
“แหวะ”
ข้อสอบวิ่งไปโก่งคออาเจียนเอาน้ำย่อยออกมาแทบไม่ทัน
ตั้งแต่ฟื้นคืนชีพมา จมูกเขาไวต่อกลิ่นเลือดมากๆ
ไม่นึกว่ากลิ่นเลือดศพจะเหม็นเน่าเหมือนหนูเป็นพันๆ ตัวตายได้ขนาดนี้ ทั้งที่ดูเหมือนจะเพิ่งเสียชีวิตมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
“โอ๊ะ ขอโทษที”
ได้เห็นคนอ้วกเพราะความเผอเรอของเขา ชาแมนก็ขอโทษอย่างขอไปทีโดยไม่มีทีท่าสำนึกผิดเลยสักนิด
ข้อสอบมองสัปเหร่อที่บรรจงเอาผ้าพันคอสีชมพูพันรอบคอศพนั้นไว้อย่างหลวมๆ โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับกลิ่นอันชวนคลื่นเหียนนั่นเลยสักนิดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะรีบหนีออกไปให้พ้นๆ จากตรงนั้น
“ผมขอตัวก่อนล่ะ”
“อาฮะ ทำอะไรก็ระวังหน่อยล่ะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง"
“...”
“ไว้วันหลังมาเล่นกันใหม่ล่ะ”
ใครจะเล่นกับมึ้งงง
หลังจากกลายเป็นแวมไพร์มาได้สักพัก ข้อสอบก็ได้ข้อสรุปเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเอง
เหตุที่เขาไม่ได้กลิ่นเลือดของคนอื่นนอกจากเลือดของผู้พัน เป็นเพราะเขาพบเจอกับผู้คนแค่ตอนกลางวันเท่านั้น หากเขาออกไปข้างนอกตอนกลางคืนล่ะก็ เขาจะได้กลิ่นจางๆ ของเลือดในตัวคนทุกคน ทำให้สติค่อนข้างจะฟุ้งซ่านกว่าปกติ
มีคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น ก็คือพันตรีอาชวิน คนที่บริจาค (?) เลือดให้เขาถึงสองครั้งสองคราแล้วนั่นแหละ ที่เขาได้กลิ่นเลือดทั้งตอนกลางวันและกลางคืน
ในฐานะที่เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยแล้ว การทดลองและสืบเสาะหาความจริงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของเขา
ในเมื่อร่างกายเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ ก็ต้องตรวจสุขภาพให้มันรู้ชัดไปเลย ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ดีไม่ดี เขาอาจจะค้นพบวิธีกลับเป็นมนุษย์เบต้าธรรมดาๆ เหมือนเดิมก็ได้
ฉึก!
เข็มถูกปักลงบนข้อพับแขนเพื่อดูดเลือดออกไปใส่หลอดทดลอง
ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่นภายใต้การกระทำของเจ้าของเลือด โดยไร้ซึ่งผู้ช่วยเหลือและไร้ซึ่งเงาคนในห้องพักผ่อนนี้ ด้วยชายหนุ่มเสี่ยงให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ไม่ได้
เขาจะทำการทดสอบเบื้องต้นบางอย่างที่ห้องพักผ่อนในที่ทำงานแห่งใหม่นี้ ก่อนจะนำตัวอย่างเลือดที่เหลือไปยังห้องทดลองที่ศูนย์วิจัยเอ็กวายแซด ซึ่งเขามีสิทธิเข้าออกได้ตลอดเวลาแม้จะดึกดื่นค่ำคืนเพียงใด
ไม่ว่าจะตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจเอนไซม์น้ำลาย ตรวจสอบเม็ดสีของผิวหนัง ตรวจดีเอ็นเอ เอกซเรย์ หรือปฏิบัติการทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ใดๆ ห้องทดลองทั้งหลายแหล่ในอาคารนั้นล้วนทำได้หมด
ทว่า... เลือดที่เขาเจาะออกมาเพียงหนึ่งหลอดทดลอง กลับส่งกลิ่นหอมแปลกๆ ออกมา
เป็นกลิ่นเหมือนฟีโรโมนของโอเมก้าเวลาฮีตไม่มีผิด
ฉิบหายแล้วไง!
ชายหนุ่มที่แปะสำลีและเทปพันแผลลงบนข้อพับแขนตนอย่างทุลักทุเล รีบคว้าหลอดทดลองยัดลงไปในถังน้ำแข็งขนาดเล็กอย่างลวกๆ
“นายได้กลิ่นอะไรปะวะ”
“หืม ไม่เห็นจะได้นะ”
เสียงพูดคุยที่ดังขึ้นหน้าประตูห้อง ทำให้ร่างผอมที่กำลังจะเปิดประตูออกไปได้แต่หยุดชะงัก ต้องเปลี่ยนไปพึ่งหน้าต่างห้องแทน
นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ห้องพักผ่อนอยู่ในชั้นหนึ่งของอาคาร ทำให้สามารถหนีออกทางหน้าต่างได้อย่างสะดวก ไม่เหมือนกับห้องทำงานที่อยู่ใต้ดิน
“โอเค ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมนายไม่ได้กลิ่น นี่มันกลิ่นฮีตชัดๆ”
“หา ที่นี่เนี่ยนะ”
พรึ่บ!
เท่ซะไม่มี
ข้อสอบอดที่จะชื่นชมความเท่ของตัวเองในการกระโดดข้ามหน้าต่างมาไม่ได้ ต้องขอบคุณพละกำลังที่มากขึ้นหลังจากคืนชีพมา ที่ทำให้เขาสามารถกระโดดได้ในทีเดียว ไม่ต้องมามัวปีนหน้าต่างอย่างงุ่มง่าม
“หืม”
คาวาอี้...
คำคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับภาพตรงหน้า
ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยพุ่มไม้และไม้ดอกขนาดเล็กมากมาย มีร่างกำยำบึกบึนของชายชาติทหารกำลังนั่งยองๆ เล่นอยู่กับลูกแมวตัวเท่าฝ่ามือ
เสื้อตัวนอกถูกถอดไว้ ทำให้เห็นเพียงเสื้อยืดสีขาวบางๆ ที่รัดแน่นซะจนเผยให้เห็นมัดกล้ามหน้าอกอันใหญ่โต ท่อนแขนที่เปลือยเปล่ากำลังขยับหยอกล้อกับลูกแมวสีดำลายขาวโดยไม่มีการกลัวว่าจะโดนข่วนเลยสักนิด
เหมือนสนิทกันมานาน
เป็นคู่ตรงกันข้าม แต่กลับดูเข้ากันอย่างประหลาด น่ารักซะจนอยากถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูเล่น
ใครจะไปนึกว่าคนที่ดูเงียบขรึมอยู่ตลอดเวลา กลับมีมุมอ่อนโยนแบบนี้
ค่อยสมกับเป็นแหล่งอาหารคุณภาพดีของเขาหน่อย
หยุดมองได้เพียงไม่นาน สายตาคมเข้มก็จ้องตอบกลับมา ทำให้ข้อสอบได้แต่ส่งยิ้มและพยักหน้าให้อย่างนอบน้อม ก่อนจะรีบเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่รู้ไม่ชี้ เขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขาไม่เห็นเลยว่าจุดอ่อนของท่านผู้พันคือสัตว์หน้าขนตัวน้อย
โดยไม่รู้เลยว่า...สายตาคมนั้นกำลังมองไปยังแขนข้างที่มีสำลีปิดอยู่ของเขา
“เฮ้อออ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในบ้านเดี่ยวชั้นเดียวในเขตทหารกลางคืนคืนหนึ่ง
Exam is coming: สักเกมปะวะ
ด้วยทนความหงุดหงิดที่หาข้อมูลที่ตนอยากรู้ไม่เจอ แวมไพร์หนุ่มจึงชวนเพื่อนเล่นเกมคลายเครียดแทน
ปอนด์แฟนมิ้งค์: ขอสิบนาที
Exam is coming: ไม่รอโว้ยยย
×เอ็กซ์×: มึงไปหงุดหงิดมาจากไหนวะ ใจร้อนซะจริง
ก็เขาพยายามค้นหาข้อมูล หาแหล่งที่น่าจะมีแวมไพร์ตนอื่นอาศัยอยู่มาหลายวันแล้ว แต่ก็เหลวเป๋ว ไม่เจออะไรสักอย่างน่ะสิ!
Exam is coming: คนไม่เล่นอย่าแส่
×เอ็กซ์×: เอ้า ไอ้นี่!
ปอนด์แฟนมิ้งค์: แฟนกวนกูอยู่ เล่นกันไปก่อนเลย
ลาออกมาใช้ชีวิต: +1
ยี่สิบนาทีผ่านไป...
บึ้ม! Defeat
ปึง!
ให้ตายเหอะ ยิ่งเล่นเกมยิ่งหัวร้อน เป็นแวมไพร์นี่มันลำบากจริงๆ พอขาดเลือดมาหลายวัน สมองก็เริ่มเบลอ อารมณ์แปรปรวนไปหมด
นี่ถ้าเป็นแวมไพร์ผู้หญิงขณะมีประจำเดือน จะหงุดหงิดเหวี่ยงวีนขนาดไหน ไม่อยากจะคิด
สงสัยเขาต้องพึ่งถุงเลือดส่วนตัวแล้วจริงๆ
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือโชคช่วยที่บ้านพักในเขตทหารของเขาอยู่ใกล้บ้านของผู้พันเอามากๆ แถมบ้านแต่ละหลังยังไม่มีรั้วกั้นอีก สะดวกในการเข้าออกเป็นที่สุด
ในเมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ต้องใช้ให้เต็มที่ก่อนที่จะต้องย้ายกลับซะหน่อย
ข้อสอบในเสื้อฮู้ดดี้แขนยาวสีแดงเข้มคู่ใจ เดินออกไปนอกบ้านในค่ำคืนอันเงียบสงัด... ที่ออกจะเงียบเกินไปด้วยซ้ำ
ค่ำคืนนี้ค่อนข้างจะหนาวเป็นพิเศษ แต่ชายหนุ่มที่ตัวเย็นแทบตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรนัก
วิธีตามหาเหยื่อก็ง่ายๆ แค่ตามกลิ่นอันแสนคุ้นเคยที่เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่สั้นลง เปิดประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อกเข้าไป ขึ้นบันไดไปชั้นสอง จนไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน
สงสัยเหยื่อของเขาคงจะนอนหลับแล้ว อนามัยจัดชะมัด
ประตูบ้านก็ไม่ล็อก ประตูห้องนอนก็ไม่ล็อก
ไม่กลัวว่าของจะหายบ้างเลยนะพ่อคุณ
แล้วเขาจะเป็นห่วงอัลฟ่าตัวโตไปทำไม ร่างกายก็กำยำแข็งแรงขนาดนั้น ตำแหน่งก็สูง ชาติตระกูลก็ดี แถมยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลอีก ถึงมีขโมยขึ้นบ้าน คนเขาก็ต้องจับได้แหละ (ยกเว้นแวมไพร์อย่างเขาคนหนึ่งล่ะนะ)
“ใคร”
เปิดประตูเข้าไปยังไม่ทันจะได้ก้าวขา เสียงเจ้าของห้องก็ดังขึ้น
“รู้ไปเดี๋ยวคุณก็ลืม”
แวมไพร์มือใหม่ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด เขาเดินเข้าไปจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของคนตัวโตที่ไม่ใส่เสื้อนอน มีเพียงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วปกปิดสิ่งที่... เอ่อ นั่นแหละ
ทำไมมันดูใหญ่จังวะ นั่นโจ้ยหรือท่อนซุงกันแน่
ข้อสอบควบคุมสายตาที่คอยจะหลุบลงต่ำอยู่เรื่อยไปของเขา ขึ้นมาสบสายตาคมเข้มท่ามกลางความมืดได้ในที่สุด พยายามจ้องให้นานที่สุดจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายตกอยู่ใต้มนต์สะกดเรียบร้อยแล้ว
ไอ้กลิ่นเลือดมันก็หอมอยู่หรอก แต่ท่อนบนอันเปลือยเปล่าที่ได้เห็นนี่มันน่าสนใจซะจนอยากจะลองจับดูสักหน่อยว่าจะแข็งหรือนุ่มลื่นแค่ไหน
มองไปมองมาก็เริ่มสับสนกับรสนิยมของตัวเอง หรือเขาควรหาเมียเป็นเบต้าไม่ก็โอเมก้ากล้ามแน่นๆ แทนพวกผู้หญิงดี?
และดูเหมือนร่างกายจะไปไวกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีมือขวาก็ไปแตะอยู่บนกล้ามหน้าอกหนั่นแน่นเสียแล้ว
อืม แข็งๆ ลื่นๆ
ยิ่งอยู่ใกล้ กลิ่นหอมหวานก็พวยพุ่งมากยิ่งขึ้น จนแวมไพร์หนุ่มขาดสติ นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขี้ยวคมฝังลงไปยังซอกคอข้างเดิม ตำแหน่งเดิม เหมือนเมื่อสองครั้งก่อน
ทั้งสัมผัสแรกของเลือดที่ไหลลงสู่ลำคอ รสชาติที่แท้จริงของเลือด รวมถึงรสสัมผัสหลังกลืนและรสชาติที่หลงเหลือเมื่อหยุดดื่มด่ำไปกับมันชั่วครู่ ทุกอย่างล้วนไม่ต่างไปจากเดิม
ยังคงเป็นเลือดที่มีคุณภาพจนทำให้ชายหนุ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ ดูดดื่มอย่างหิวกระหายเหมือนคนที่หลงทางอยู่กลางทะเลทรายและพบเจอโอเอซิส
อร่อยและว่าง่ายขนาดนี้ เขาขอสถาปนาท่านผู้พันให้เป็นถุงเลือดส่วนตัวของเขาเลยก็แล้วกัน
ความรู้สึกซาบซ่านหลังจากได้ดื่มเลือดเข้าไปเป็นจำนวนมาก ชักนำให้ชายร่างเล็กกว่าโอบแขนสองข้างรอบลำคอคนที่อยู่ภายใต้มนต์สะกดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เพราะถูกมอมเมาด้วยสารอาหารชั้นดี กว่าจะรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอันผิดแผกไปของร่างที่นั่งอยู่บนเตียง หน้าอกของข้อสอบก็ถูกดึงไปแนบสนิทกับแผงอกกว้างเสียแล้ว
แถมมือใหญ่ยังล้วงเข้าข้างใต้เสื้อฮู้ด ลูบไล้แผ่นหลังของเขาอีกต่างหาก!
ข้อสอบตาโต ดิ้นขลุกขลัก แต่ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งถูกกอดแน่นขึ้นจนเริ่มได้สติ นัยน์ตากลับกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนดังเดิม
ถูกกอดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เพราะสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้ เลยถูกดึงให้ล้มลงไปคร่อมอยู่บนตักจนได้นี่สิ
และไอ้สิ่งนั้นที่ถูกบ็อกเซอร์กดไว้ไม่มิดกำลังทิ่มแทงกางเกงวอร์มของเขาอยู่!
บ้าเอ๊ย ทำเอาไม่กล้าดูดเลือดต่อเลย
“เฮ้ย! ก้นคนนะ ไม่ใช่ซาลาเปา”
มือที่ลูบไล้แผ่นหลังเลื่อนลงไปต่ำ บีบก้นเขาเสียแน่นไม่ยอมปล่อย เล่นเอาคนถูกกระทำหน้าร้อนไปหมด ผิวที่ขาวซีดอยู่ตลอดเวลาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเหมือนผลแอปเปิ้ลสุก
เมื่อชักจะโดนลวนลามมากเกินไป ร่างเล็กก็รวบรวมพละกำลังอันแข็งแกร่งของแวมไพร์ดิ้นหลุดจากอ้อมกอดคนตัวใหญ่ได้สำเร็จ
“หึ อัลฟ่าหรือจะสู้แวมไพร์”
ปัดมือด้วยท่าทางภาคภูมิใจเสร็จ ก็ยืนเท้าเอว จ้องหน้าคนที่ยังนั่งอยู่
“หน้าตาก็ดูไม่เหมือนคนหลุดจากมนต์สะกดนี่หว่า” พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“จงลืมซะ”
ท่องประโยคที่นับวันจะสั้นลงเรื่อยๆ เสร็จก็เตรียมจะเดินจากไปเท่ๆ
แต่ว่า...
“เฮ้ย!”
บทส่งท้าย แม้จะเป็นแฟนกันแล้ว แต่คนบ้างานก็ยังคงบ้างานต่อไป ดีหน่อย ที่ถึงแม้จะมีไปประชุมต่างเขตจนต้องกลับบ้านดึกดื่นเป็นบางวัน แต่อาชวินก็ไม่เคยไปค้างที่อื่น และไม่หอบเอางานกลับมาทำที่บ้าน ข้อสอบที่นับวันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็นแม่บ้านเข้าไปทุกที ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาน้องเต่า เป็นนักเลงคีย์บอร์ดในเรดดิตและสอดส่องหาของแต่งบ้านต่อไป ถึงแม้จะทำงานกันคนละอาคาร แต่ยามเลิกงาน ข้อสอบกับอาชวินมักจะเจอกันอยู่เสมอ ไม่ที่บ้านของเขา ก็บ้านของอีกคน เดินไปมาหาสู่กันจนอาชวินขอให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสองชั้นของตนแทน เลยได้ถือโอกาสย้ายของทุกอย่างออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ที่อยู่นอกเขตทหาร จะได้ปล่อยเช่าซะ พอย้ายของมา ก็เลยได้ตกแต่งบ้านอย่างจริงจังเสียที บ้านที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นตอนนี้ เลยมีของตกแต่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้ดูเป็นเหมือนบ้านมากขึ้น นอกจากนี้บ้านของอาชวินยังมีห้องนอนที่ชั้นหนึ่งเยื้องออกไปทางข้างหลัง สะดวกให้ตัวเลขอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก วันนี้อาชวินก็บินไปทำงานที่ต่างเขตแต่เช้ามืด และน่าจะกลับมาถึงเร็วๆ
22คำเตือนสุดท้าย บรรยากาศกำลังได้ที่ แต่ดันถูกตัวป่วนสองตัวมาขัดเสียยับ อาชวินมองชาแมนกับรุจีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้อย่างถูกจังหวะสุดๆ โดยที่ตนยังจับมือคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่ “นายไม่ได้เตือนข้อสอบไว้เหรอ” แวมไพร์สาวสวยที่เดินนวยนาดมานั่งยังโซฟาตัวที่นักสืบเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน หันไปถามแวมไพร์สัปเหร่อที่เลือกยืนพิงโต๊ะหน้าทีวี “เตือนแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ฟัง” ชาแมนตอบ ข้อสอบพยายามดึงมือออกจากอุ้งมืออุ่นสบาย เพราะถูกจับจ้องมาจากแวมไพร์ทั้งสองตนจนชักจะเขินอยู่หน่อยๆ “เตือนถูกจุดหรือเปล่า” “ก็เตือนเรื่องเหยื่อจะถูกดูดเลือดจนป่วยตาย” “นายคิดว่าคนอย่างผู้พันจะตายได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” “เออ จริงด้วย” แวมไพร์รุ่นน้องได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ซุบซิบกันไปมาโดยไม่สนเลยว่าคนที่ถูกนินทาจะนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “ข้อสอบ ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อยสิ” รุจีว่า “ไม่เอาแบบคราวก่อนแล้วนะครับ” นักวิจัยหนุ่มหมายถึงตอนที่ถูกจับหิ้ววิ่งด้วยความเร็วสูงซะจนคลื่นไส้ “คุยที่นี่แหละ ข้อสอบไม่ม
21ต้องการคนปกป้อง แม้เจ้าค้างคาวจะกระพือปีกขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลาและขยับเบี่ยงตัวอย่างตกใจตามเสียงเรียกของอาชวิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นกระสุนล็อกเป้า เทคโนโลยีพิเศษที่สามารถเปลี่ยนทิศทางตามเป้าหมายได้ถึงสองครั้งติด เป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก หาได้จากในฐานทัพเท่านั้น และถูกควบคุมไม่ให้มีขายในตลาดใต้ดิน “ข้อสอบ!” ผู้พันหนุ่มร้องอย่างตกใจ นาทีที่เห็นร่างจิ๋วถูกยิงจนตกลงมากับพื้น เป็นชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน แต่สติและสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขารีบเก็บค้างคาวน้อยที่นอนสลบไสลลงในกระเป๋าเป้ วิ่งหาที่ซ่อนจากกระสุนสุดแสนจะอันตรายนั่น ชายหนุ่มหาที่หลบได้ก็ลอบประเมินสถานการณ์ในใจ หากศัตรูมาคนเดียวก็คุ้มที่จะเสี่ยงจัดการซะให้เรียบร้อย ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายถูกตามล่าฝ่ายเดียวจนไม่มีเวลาปฐมพยาบาลให้ข้อสอบ สายตาคมหยิบแว่นมองในที่มืดที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายแว่นตาธรรมดาขึ้นสวม ลอบสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบกาย หากทว่ามีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากในกระเป๋าสะพาย เหมือนกลิ่นโอเมก้ากำลังฮีต... กลิ่นเดียวกับที่เข
20ผู้ช่วยเหลือ หลังจากซักถามลักษณะภูมิประเทศที่เกิดเหตุและช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ตัวเลขเห็นในนิมิต ข้อสอบก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้กันแน่ สิ่งที่เขาทำได้คือต้องออกไปหาผู้พันให้เจอโดยเร็วที่สุด “อ้าว คุณข้อสอบจะไปไหนน่ะ” นาทีถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังไม่ทันจะข้ามพ้นวงกบประตู และรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เลยได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงงๆ ตอนแรกนักวิจัยหนุ่มกะจะแวะมาเอากระเป๋าเป้เพื่อใส่อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแปลงร่างเป็นค้างคาวเพื่อบินตามหาน่าจะสะดวกกว่า เลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไหว้วานให้ชาแมนมาเฝ้ายามผลัดที่สามช่วงใกล้รุ่งเช้าแทนเขา จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็อาศัยมุมมืดของป่า แปลงร่างเป็นแวมไพร์ตัวกระจ้อยที่ไม่รู้จะมีแรงบินได้ไกลแค่ไหน บินตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไปสู่ภูมิประเทศแบบป่าชายเลน โชคดีที่ป่าชายเลนมีความยาวเพียงแค่ห้ากิโลเมตรและมีอยู่เพียงฝั่งเดียวของพื้นที่ที่ใช้ในการทำภารกิจ ทำให้ข้อสอบสามารถสโคปพื้นท
19อีกขั้นของความสัมพันธ์ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ที่ก้าวเดินไปด้วยกันมีแต่ความเงียบสงบ หลังจากที่อาชวินโผล่มาช่วยพาข้อสอบออกจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดตอนนั้น พวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน “ผมไม่ขอบคุณคุณหรอกนะ” เพราะผู้พันทำให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ “ไม่ดีใจเหรอที่ได้รู้จักแวมไพร์ตนอื่นเพิ่ม” ข้อสอบหันขวับไปมองคนพูดหยอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณจะรู้สึกดีใจมั้ยล่ะครับถ้าเจอคนอุ้มแล้วพาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงแบบนั้น” นักวิจัยหนุ่มแหวใส่ “เหวอออ” ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างกายลอยขึ้นมาอยู่เหนือพื้น “อุ้มแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงเจือรอยขำ ทำให้คนที่กอดคออีกฝ่ายแน่นเพราะกลัวตก จัดการทุบไหล่กว้างของอัลฟ่าหนุ่มเข้าให้หนึ่งป้าบ “คุณนี่มัน...” กวนตีนกว่าที่คิด “อารมณ์ดีได้หรือยัง” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้มเย็น ทำให้ข้อสอบที่เผลอสบตาผู้พันครู่หนึ่งต้องเบนหน้าหลบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่อุ้
18มนุษย์ก็แค่ของเล่น คนที่นอนมาตลอดทางค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากรู้สึกได้ถึงรถตู้หรูเจ็ดที่นั่งที่จอดนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป พอขยับตัวก็รู้สึกได้ถึงเสื้อโค้ทที่ไหลลงไปกองอยู่บนตัก หันไปทางขวาก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดทางกำลังเก็บแท็ปเล็ตที่เพิ่งปิดลงใส่กระเป๋า ตั้งแต่ขึ้นรถที่มีเพียงเขา ผู้พัน และคนขับรถมา ผู้พันอาชวินก็ไม่ซักถามอะไรสักคำ เอาแต่บอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่เตรียมใจว่าจะโดนดุเลยได้แต่แกล้งหลับตาอย่างงงๆ จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปเอง หลับยาวจนมาตื่นเอาตอนนี้ “ขอบคุณครับ” ข้อสอบยื่นเสื้อโค้ทคืนให้กับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของ หัวใจอุ่นวาบนิดหน่อยกับความห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทั้งตอนที่ฝากนาทีเอายามาให้ และตอนนี้ “วันนี้ก็พักผ่อนซะเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้ไปฝึกแค่ช่วงเช้าชั่วโมงเดียวพอ” จริงๆ อาชวินไม่อยากให้ข้อสอบมาฝึกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่การจะให้คนตัวเล็กอยู่ใกล้ๆ กับเขาได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน” ผู้พันหนุ่มจับข้อมือ รั้งร่างของคนที่กำลังจะเปิด