LOGIN❝นี่คุณอยู่กับผมมาโดยที่ไม่รู้ถึงสถานะตัวเองเลยเหรอครับ❞ ❝ก็เรา-❞ ❝ผมจะพูดอีกครั้ง ผมซื้อคุณมาสามปี เป็นสามีของผมและพ่อของเด็กแค่สามปี ดังนั้นต่อจากนี้อย่าทำ หรืออย่าคิดอะไรเกินหน้าที่ เข้าใจไหมครับ❞
View MoreCW: มีการกล่าวถึง คำหยาบคาย และเนื้อหาล่อแหลมทางเพศ
“อะ...อึก!”
“ไหนคุณหนูบอกว่ามีประสบการณ์ไงครับ แบบนี้ทำผมลำบากใจนะ”
เชฟหนุ่มกล่าวพลางชำแรกนิ้วเบิกทางในขณะที่แก่นกายพร้อมใช้งานเต็มที่ ดวงตาคมมองต่ำจับจ้องคุณหนูโอเมก้าผู้สมบูรณ์แบบในกำมือ ใครจะไปรู้ว่าวันใดวันหนึ่งชาติไพร่อย่างเขาจะได้เป็นคนเปลื้องผ้าเนื้อดีพวกนั้นออก แม้ว่านี่จะไม่ใช่เพราะโชคชะตา แต่เป็นสัญญาวิวาห์ก็ตาม
อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า สามชนชั้นซึ่งถูกจำแนกสถานะไว้อย่างชัดเจนในสังคม นับตั้งแต่ยุคโบราณล่วงเลยมาจนถึงยุคโลกาภิวัตน์อันเต็มไปด้วยความทันสมัย
อัลฟ่า (Alpha - α) ชนชั้นผู้นำ มักมีบุคลิกโดดเด่น อุดมไปด้วยเงินตราและอำนาจ
เบต้า (Beta - β) ชนชั้นกลาง มักไม่มีฟีโรโมนโดดเด่น จึงไม่สามารถดึงดูดหรือควบคุมผู้อื่นได้
โอเมก้า (Omega - Ω) ชนชั้นที่ต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร มักมีร่างกายบอบบาง และมีแนวโน้มที่จะยอมจำนนสูง กระนั้นก็มีบางกรณีที่ต่างออกไปเช่นกัน
ยามบ่ายคล้อยที่แสงแดดอ่อนทาบทาลงบนผืนนาสีเขียวขจีทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ณ ชานเมืองที่ยังคงรักษากลิ่นอายของชนบทไว้ได้อย่างครบถ้วน กระนั้น ณ ร้านอาหารครอบครัวนี้ยังคงมีรถขับผ่านอยู่ตลอดทั้งวัน
‘ครัวคุณลุง’ ชื่อร้านเด่นหราเหนือบานประตูไม้ที่พึ่งถูกปรับแต่งใหม่ ตัวอาคารเป็นโครงสร้างไม้และเหล็กสีดำเรียบหรู ตัดกับผนังกระจกใสบานใหญ่เปิดรับทิวทัศน์ภายนอกเข้ามาอย่างเต็มที่ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังรับประทานอาหารอยู่ในทุ่งนา ภายในร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย เฟอร์นิเชอร์ไม้เนื้ออ่อนสีธรรมชาติถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะอาหารแต่ละตัวมีพื้นที่ว่างพอสมควร ไม่แออัดจนเกินไป มีทั้งโต๊ะสำหรับคู่รัก โต๊ะสำหรับครอบครัว หรือแม้แต่มุมส่วนตัวเล็ก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบสงบ
กลางครัวเปิดเผยให้เห็นเชฟหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังง่วนกับหม้อแกงหน้าเตา กระนั้นด้วยแววตาเป็นมิตร เหล่าเด็ก ๆ ที่ขอผู้ปกครองมาดูผ่านกระจกจึงไม่หวาดกลัว มิหนำซ้ำยังได้รับรอยยิ้มหวานจากพ่อครัวกันถ้วนหน้า
มือหนาละจากไม้พาย เคาะกระจกเรียกความสนใจของเด็ก ๆ ก่อนจะเล่นมายากลเสกเรือสานบรรจุลูกชุบรูปผลไม้หลากสีสันออกมา แล้วจึงเปิดกระจกมอบให้พี่น้องทั้งสอง
ขณะเดียวกันเด็กเสิร์ฟชั่วคราววัยมัธยมปลายกำลังเดินนำจานอาหารสดใหม่มอบแด่ลูกค้าโต๊ะสุดท้ายของวัน เมื่อมองไปเห็นเจ้าของร้านให้ของฟรีอีกแล้วก็ถอนหายใจ คิดนำความจริงไปกระแทกหน้าพ่อหนุ่มทองไม่รู้ร้อนสักหน่อย
เด็กสาวในชุดนักเรียนเดินดุ่ม ๆ ออกจากร้าน ทว่าไม่ได้จับไม้กวาดแต่อย่างใด มือคู่เล็กเลือกเอื้อมไปเปิดกล่องไปรษณีย์ หยิบซองจดหมายออกมาพร้อมแสยะยิ้ม
“เชฟ นี่บิลของเดือนนี้ค่ะ”
“อือ...มันตัดในบัญชีไปแล้ว”
“ทำไมดูเศร้า ๆ ละคะ”
“เสียเงินแล้วยังมีลูกสาวเจ้าหนี้มาซ้ำเติมอีก ฉันคงต้องมีความสุขสินะ”
“ถ้าไม่อยากให้มีลูกสาวเจ้าหนี้มาเหยียบซ้ำ ก็จ่ายเงินพ่อให้ครบสิคะพี่เชนทร์”
“พี่ไม่มีตังค์แล้วครับน้องทับทิม”
ทีแรกก็มีเงินพอใช้บริหารร้านอยู่หรอก เพราะใช่ว่าร้านจะไม่มีลูกค้า ทว่าเขาที่ต้องการได้ร้านอาหารคืน ไหนจะค่าปรับปรุง สุดท้ายไม่วายต้องหยิบยืมคนอื่น ยังดีที่มีคุณลุงคนสนิทให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย กลับกันเจ้าตัวดันส่งลูกสาวเบต้าวัยขบเผาะมาจับตาดูในฐานะเด็กเสิร์ฟแทน ทว่ายังดีที่บิดาเจ้าหล่อนจิตใจดี ยอมใช้เงินค่าจ้างเด็กสาวเป็นเงินผ่อนรายสัปดาห์แทน
กระนั้นปัญหากลับยังไม่สิ้นไป เพราะเขาต้องกู้เงินธนาคารอีกครั้งเนื่องมาจากอาการป่วยของปู่แท้ ๆ เจ้าของร้าน ‘ครัวคุณลุง’ คนก่อน
เพราะเขาเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุเครื่องบินตกไปตั้งแต่วัยเยาว์ ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวจึงเป็นคุณปู่ชัยวัฒน์ พ่อครัวและเจ้าของร้านอาหารไทยประยุกต์แห่งนี้ ท่านเป็นทั้งผู้ปกครอง และแรงบันดาลใจให้เขาใฝ่ฝันอยากเดินทางสายพ่อครัว จนมีโอกาสสอบชิงทุนไปเรียนถึงเมืองนอก
ทว่าการเรียนนั้นใช้เวลาสิริรวมสี่ปีผนวกกับเขาอยากทำงานฝึกประสบการณ์เพิ่มอีกสักหน่อย สุดท้ายผ่านไปห้าปีถึงได้กลับมาประเทศไทย ทราบอีกทีคือพ่อน้องทับทิมซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ก็บอกว่าคุณปู่จำนองร้าน เอาเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลแล้ว
ตัวเขาที่มีเงินเก็บจึงทุ่มทุนนำร้านกลับคืนมาด้วยเงินสดอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เมื่อเงินฝืดเคืองจึงต้องขอผู้อื่นและกู้ธนาคารเพื่อนำเงินมาโปะค่ารักษา เพราะคุณปู่ตอนนี้ต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ราคาแพงเกือบตลอดเวลา
“วันนี้พี่เชนทร์จะไปเยี่ยมคุณปู่ไหมคะ?”
“ไม่ล่ะ จะนั่งทำบัญชี”
“สู้ ๆ นะคะ เดี๋ยวหนูช่วยคุยกับพ่ออีกที พ่อเขาไม่น่ามีปัญหาหรอกค่ะ”
“ขอบคุณมาก ๆ นะ”
“ขอลูกชุบเป็นการแลกเปลี่ยนค่ะ”
“เสียบอยู่บนโฟม หยิบไปได้เลย คืนไม้ด้วย”
“ค่า”
เมื่อสาวน้อยแขวนผ้ากันเปื้อนเตรียมตัวเก็บของ เจ้าของร้านหนุ่มจึงลงมือล้างเครื่องครัว เพราะร้านนี้มีพนักงานอยู่สองคนคือตัวเขาและทับทิม ในช่วงที่ต้องทำอาหารระหว่างวัน เจ้าหล่อนมักล้างจานชามให้ แต่ตอนเย็นใกล้ค่ำแบบนี้เขาก็ไม่อยากรั้งสาวน้อยเอาไว้ เกรงว่าให้กลับบ้านตอนฟ้ามืดจะเป็นอันตราย
ราเชนทร์หัวจะปวดกับชีวิตตั้งแต่เท้าแตะลงผืนแผ่นดินไทย คิดว่าต่อให้ทำงานงก ๆ ต่อไปคงไม่สามารถผ่อนเงินที่กู้มาจากทั้งสองที่ได้ตามกำหนด เขาพยายามโพรโมตผ่านสื่อโซเชียลแล้ว แม้จะมีวันที่คนแน่นเต็มร้านแต่ก็นาน ๆ ครั้ง ครั้นจะเปิดดิลิเวอรี่ ตัวเขาเพียงคนเดียวคงเกินตัว ไหนจะระบบหลังร้าน การรับออร์เดอร์ และความเสี่ยงที่เขาจะบริหารมันได้ไม่ครบวงจรอีก พอจะจ้างคนอื่นมาช่วย ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเพิ่มยอดขาย ในตอนที่เงินไหลออกเป็นน้ำแบบนี้ไม่ว่าคิดแบบไหนล้วนเสี่ยงไปหมด
“เฮ้อ...”
ทันใดนั้นขณะที่เจ้าของร้านกำลังนั่งพักซังกะตายหลังล้างจานอยู่นั่นเอง เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็แว่วดัง พร้อมเสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาด้านใน ปรากฏให้เห็นเป็นชายร่างสูงในชุดสูททางการ ลอนผมหยักศกสีทองอร่ามพร้อมด้วยดวงตาสีน้ำข้าว และรอยยิ้มกว้างประจำกาย
“ไอ้วิน จะมาทำไมไม่โทรมาก่อนวะ”
“หิวอะ ทำอะไรให้กินหน่อยดิ”
“มีไก่ดิบ มึงกินไหมล่ะ”
“เดี๋ยวเถอะไอ้นี่ กูอุตส่าห์มีข้อเสนอดี ๆ มาฝาก”
เจ้าเพื่อนพูดพลางโยนกระเป๋าเอกสารลงพื้น ลากเก้าอี้มาหาเพื่อนรักที่จบมาจากสถาบันเดียวกัน ทำเอาราเชนทร์กลอกตากับท่าทีของไอ้หน้าฝรั่ง
ไอ้วิน ชื่อจริง Édouard William (เอดูอาร์ วิลเลี่ยม) พ่อเป็นคนฝรั่งเศส และมีแม่เป็นลูกครึ่งไทยเยอรมัน แต่เกิดและโตในสยามประเทศจึงพูดไทยคล่องปร๋อ ได้เป็นเพื่อนสนิทกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ฝรั่งเศส ตัวเขาเรียนหลักสูตร Diplôme de Cuisine (หลักสูตรการทำอาหารฝรั่งเศส) อยู่ก่อน ส่วนไอ้วินเรียนทนายความอยู่ไทย และกลับได้สิทธิ์มาเรียนแลกเปลี่ยนในหลักสูตรบริหารอยู่หนึ่งปี พวกเขาจึงได้ทำความรู้จักกันในตอนที่เขาอยู่ปีสุดท้าย
“อะไร มึงจะให้เงินกูเหรอ? เอามาสิ”
ราเชนทร์ยื่นมือไปทางไอ้เพื่อนตาน้ำข้าวอย่างกวนประสาท เห็นมันหยิบลูกชุบมาเคี้ยวหงุบ ๆ แบบไม่สนสี่สนแปดแล้วอยากจะเอากำปั้นเสยหน้าจริง ๆ
“คนที่จะให้ไม่ใช่กู แต่เป็นคุณหนู”
“มึงว่าอะไรนะ คุณหนูของโรงแรมที่มึงทำงานอยู่อะนะ”
“อื้อ”
ตระกูลโสภณวิจิตร เจ้าของเครือโรงแรม ‘Hôtel Le Roi’ (โฮเต็ล-เลอ-ลัว) สถานที่ที่นักเรียนการโรงแรมทุกคนใฝ่ฝันอยากไปร่วมงาน เพราะที่นั่นถือเป็นสถานที่รับรองคนจากต่างบ้านต่างเมือง จึงเป็นศูนย์รวมความหรูหราระดับที่คนรากหญ้าไม่มีวันได้ไปสัมผัส
“คุณหนูของฉันเป็นผู้อำนวยการที่ยังโสด ที่บ้านเลยกดดันมาให้แต่งงานสร้างทายาท ก็เลยกำลังหาคนให้อยู่น่ะ”
“ระดับนั้นไม่ใช่ว่ามีคู่หมั้นอยู่แล้วเหรอวะ”
“ใช่ แต่คุณหนูต้องแต่งออก”
“อ่า...เข้าใจได้”
เคยอ่านมาผ่าน ๆ ว่าคู่หมั้นเจ้าตัวเป็นคนที่โคตรของโคตรรวย ระดับนั้นคงมีธุรกิจพันล้านไม่ต่างกัน หากต้องแต่งออกแสดงว่าองค์กรจะเสียกำลังสำคัญไป ดังนั้นจึงคิดหาคนแต่งเข้ามากกว่า
“เลยจะมาขอให้ฉันไปแต่งงานกับคุณหนูนั่นแลกเงิน”
“เข้าใจได้ไวดีนี่เพื่อนรัก!”
“จะได้เงินเท่าไหร่?”
“หนี้มึงมีเท่าไหร่ล่ะ ก็ทั้งหมดนั่นแหละ”
“เอาสัญญามาดูเลยมา”
“ต้องแบบนี้สิถึงจะคุยกันง่าย”
วิลเลี่ยมยิ้มร่า คว้ากระเป๋าเอกสารขึ้นหยิบซองรายละเอียดที่เตรียมมาให้เจ้าเพื่อนรักได้อ่าน เทียบกับไอ้หน้าเหม็นคนนั้นสู้คุณหนูมาแต่งงานกับคนของเขาดีกว่า นอกจากจะสนิทกับคนใหญ่คนโตแล้ว ถ้าสำเร็จคุณหนูบอกว่าจะให้วันหยุดด้วย แบบนี้มันมีแต่ได้กับได้!
“ถ่ายแค่จานขนมแบบนี้มันจะดีเหรอครับ?”“แต่นี่เป็นขนมที่ผมทำให้รินทร์นะครับ”พวกเขากว่าจะตื่นกันอีกทีก็ปาไปบ่ายกว่า รวมเวลาเก็บสัมภาระเดินทางกลับบ้านก็ตกเย็นพอดิบพอดี คุณราเชนทร์จึงอธิบายแผนการหลังจากขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจมาถึงยังเพนต์เฮาส์ด้วยคำแนะนำของคุณราเชนทร์ คู่รักข้าวใหม่ปลามันบางคู่มักถ่ายรูปสื่อเป็นนัยมากกว่าสื่อสารตรง ๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงสามารถปรับใช้วิธีนั้นได้ โดยเริ่มการจากถ่ายรูปโพสต์ภาพเกี่ยวกับชีวิตคู่ง่าย ๆ อย่างเช่น ‘ขนมที่สามีสุดหล่อทำให้’“แล้วผมต้องเขียนแคปชันว่าอะไรเหรอครับ?”“ปกติรินทร์ไม่ได้เขียนเหรอครับ”“ผมแท็กชื่องานเฉย ๆ ครับ”ราเชนทร์ได้ยินจึงเอะใจ เอียงคอมองหน้าจอโทรศัพท์ของคนตัวเล็กบนตักที่ยื่นมาให้ดู เชฟหนุ่มจึงทราบว่า คุณหนูโสภณวิจิตรใช้ช่องทางนี้เหมือนกับแฟ้มสะสมผลงาน มากกว่าการลงเรื่องราวในชีวิตประจำวันหรือรูปภาพสวย ๆ อย่างคนทั่วไป ดังนั้นจึงใช้ชื่องานสัมมนาหรือกิจกรรม ที่ไปเข้ามาเป็นแคปชันไปในตัว ไม่เคยพิมพ์สื่อสารอธิบายเหตุการณ์มากไปกว่านั้นนรินทร์เองพึ่งมารู้เช่นกันว่าคุณราเช
“พวกเราต้องไปฮันนีมูนที่เมืองนอกเลยเหรอครับรินทร์”“ผมคิดไม่ออกแล้วน่ะ ว่าควรไปที่ไหน”ราเชนทร์ตื่นเช้ามาก็มีประเด็น แต่ก่อนสิ่งใดคือเขาต้องรั้งตัวไม่ให้ภรรยาลุกออกจากเตียงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อคืนนอนก็ไม่ค่อยได้นอน ยังจะรีบลุกมาทำงานอีก จะขยันก็ให้มีขอบเขตบ้างเถอะ แล้วไหนจะเรื่องฮันนีมูนที่คุณหนูโอเมก้าถือเป็นวาระแห่งชาติคุยไปคุยมาราเชนทร์จึงได้ข้อสรุปว่า คุณหนูที่ดูเป็นจริงเป็นจังกับการฮันนีมูนนัก ก็เพื่อเป็นการสร้างภาพลงสื่อให้เหล่าคนนอกรวมไปถึงลูกค้าทราบถึงสถานะความมั่นคงทางครอบครัวที่มี ไม่ได้เกี่ยวกับความรักใคร่เลยสักนิด แบบนี้น่าน้อยใจเหลือเกิน“แล้วรินทร์อยากเที่ยวเหรอ? ถึงต้องไปต่างประเทศ”“ผม...ไม่รู้น่ะ วิลเลี่ยมแนะนำมาแบบนี้”ราเชนทร์ได้ยินก็นึกฉุน นี่ไอ้วินมันมาปลุกปั่นเมียชาวบ้านได้อย่างไร เป็นเลขานุการคนสนิทก็ควรรู้มิใช่หรือว่าเจ้านายตัวเองเชื่อคนง่ายแค่ไหน!“ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องไปไหนก็ได้นะครับ ไว้รอรินทร์อยากไปเราค่อยไปกันก็ได้”“แต่ฮันนีมูนมันต้องไปเที่ยวไม่ใช่เหรอครับ”“มันก็ไม่เชิง แต่แค่เราสองคนอยู
“ฮึก...ผมชอบ.... คุณราเชนทร์อยู่แล้ว...ฮึก...เลยไม่อยากบังคับ...ฮึก...”“ละ...แล้วทำไมถึงไม่เชื่อใจผมล่ะครับ”“ก็คุณ...อาจไม่ได้ชอบผมจริง ๆ ก็ได้ เมื่อวานผมบอกคุณไปแล้วนี่”ราเชนทร์ไม่คิดว่าคุณหนูจะยึดติดขนาดนี้ ตัวเขาในตอนนี้จะทำอย่างไรได้บ้างให้คุณหนูยอมเปิดใจเสียที เพราะหากเป็นอยู่แบบนี้ ต่อให้พวกเรามีความรู้สึกตรงกัน ถ้ากำแพงยังอยู่ทุกอย่างจะไม่มีความหมาย“ผมใช้หนี้ให้คุณตั้งมากมายขนาดนั้น บางทีคุณอาจจะเข้าใจตัวเองผิด อยู่ ๆ ไปคุณก็จะรู้เองครับ ว่าความจริงแล้วคุณอาจไม่ได้คิดอะไรกับผมเลย”“ผมเลยบอกว่าผมจะใช้หนี้ให้ไง”“ผมการันตีไม่ได้หรอกนะครับว่าทำวิธีนั้นแล้วผมจะเชื่อใจคุณขึ้นมา ผมเลยคิดว่าถ้าทำเรื่องนั้นมันคงเสียเวลา สู้เราแยกทางเลยน่าจะดีกว่า”“เรื่องนี้รินทร์ยอมรับผิดแล้วไม่ใช่เหรอ ต้องอยู่รับผิดชอบกับผมสิ”“แล้วจะให้ผมทำยังไง”“บอกไว้ก่อนว่า ต่อให้รินทร์ทำตามที่ผมบอก ไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมให้รินทร์ทำตามใจตัวเองได้นะครับ”ราเชนทร์รามือจากเรื่องบนเตียง หันมานอนตะแคงกระชับเอวบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขาคิดหาว
CW: มีการกล่าวถึงเนื้อหาล่อแหลมทางเพศ“ผมว่าจบปีนี้ผมจะลาออกไปสมัครที่อื่น ผมรู้สึกแปลก ๆ ถ้าจะเอาเงินของโรงแรมมาคืนเจ้าของโรงแรมน่ะ”ราเชนทร์สามารถออกไปดำเนินธุรกิจร้านอาหารของครอบครัวต่อได้ก็จริง แต่ดูอย่างไรมันก็ได้ไม่เท่าเงินเดือนจากร้านอาหารที่มั่นคง ทั้งเขายังไม่ต้องมานั่งบริหารหลังร้านให้กินแรง ต่อให้ทั้งชีวิตนี้จะไม่ได้สานต่อกิจการคุณปู่ก็ไม่เป็นไร แม้จะเศร้านิดหน่อยที่ต้องทิ้งความฝันสมัยเด็กแต่เขาถือว่าตัวเองได้ตัดสินใจไปแล้ว“คุณ...จะไปทำงานที่อื่นเหรอ...”“ครับ คงต้องเป็นอย่างนั้น”“แล้วร้านของคุณล่ะครับ”“คงได้แต่ฝันแล้วล่ะครับ ผมติดหนี้คุณหลายล้านเลยนะ มัวแต่ทำร้านแบบเด็ก ๆ ต่อไปคงไม่มีวันใช้หนี้หมดหรอก”นรินทร์ฟังแล้วสติก็เริ่มสั่นคลอนด้วยความสับสน ข้อมูลและความเป็นไปมากมายประเดประดังเข้ามาจนเขาคิดหาหนทางไปต่อไม่ออกเขาอยากเชื่อว่าคุณราเชนทร์รักเขาจริง ๆ มันก็แค่นั้น ทว่าความเชื่อนั้นจ
“คุณราเชนทร์ จู่ ๆ มาหอมแก้มแบบนั้นมันไม่ดีนะครับ”นรินทร์อาศัยจังหวะชุลมุนขึ้นมาหาสามีตัวดีที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเขาต้องพบเจอคำถามมากมายถึงเจ้าบ่าวที่จู่ ๆ ก็โผล่มา ทั้งยังมีนิสัยถูกใจโอเมก้าเล็กใหญ่หลายคน“ผมหอมแก้มภรรยาตัวเองไม่ได้เลยเหรอ?”“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ที่นี่ไม่ใช่ฝรั่งเศสคุณก็รู้”“หมายความว่าถ้าอยู่กันสองคนก็ทำได้ใช่ไหม?”ราเชนทร์ที่ออกมาจากห้องน้ำหมาด ๆ เดินนุ่งผ้าขาวม้าเข้าหาเจ้าสาวชุดขาว ยื่นหน้าตาที่ยิ้มอย่างมีเลศนัยไปทางคุณหนูโอเมก้าผู้น่ารัก“เดี๋ยวเถอะ รีบแต่งตัวเลย เราสายมากแล้วนะ”“หวา โดนดุแล้ว...ผมน้อยใจนะ...”“อย่าน้อยใจเลยนะครับ”“หือ...”ราเชนทร์เช็ดผมไปก็เหลือบมองคุณหนูกำลังยืนบิดกระมิดกระเมี้ยนด้วยความเขินอาย ยิ่งหน้าแดงแบบนั้นยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ ถ้ารู้ว่าเปิดอกคุยกันแล้วจะได้เห็นภาพอันทรงคุณค่าแบบนี้เขาคุกเข่าขอประทานอภัยไปนานแล้ว“ถ้าอย่างนั้น หลังแต่งตัวเสร็จรินทร์ต้องกอดผมเป็นการขอโทษนะ”“คุณรา-“เรียกว่าเชนทร์เฉย ๆ ด้วย อย่าเรีย
‘สวัสดีครับ ต้องการให้เขียนชื่ออะไร’‘เอาเป็น...’นรินทร์เดินมานั่งรวมกับแขกอาวุโสเป็นการให้เกียรติ แม้ใจจริงจะอยากไปต้อนรับแขกหน้างาน แต่ถ้าไม่ทานตอนยังร้อน ๆ คงเสียมารยาทแย่ แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน“อุเหม่ ฝีมือหนูราเชนทร์เขาไม่ธรรมดาเลยนะจ๊ะ เมนูนี้ดูเหมือนง่ายก็จริงแต่มีรายละเอียดเยอะกว่าที่คิดนะ”“ขอบคุณที่ชมนะครับ สามีผมคงดีใจมากแน่ คุณผู้หญิงมาถึงตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ ถ้านานแล้วคงเป็นการเสียมารยาทที่ผมลงมาช้า”“ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก แถมมีอาหารอร่อย ๆ แบบนี้อีก เวลานี่มันผ่านไปไวจริง ๆ”นรินทร์ทานไปก็ลอบสังเกตจานของแขกท่านอื่น ดูเหมือนจะมีคราบซอสขอบจานบริเวณเดียวกัน คุณราเชนทร์คงจงใจถามชื่อและเขียนระบุความเป็นเจ้าของลงไปก่อนจัดเสิร์ฟ นอกจากจะทำให้บริกรรู้ตำแหน่งคร่าว ๆ จากป้ายตั้งโต๊ะ ยังเป็นการเอาใจใส่แขกที่มาร่วมงาน ถือว่าทำได้ไม่เลวเลย แบบนี้แขกที่มาหากได้ยินข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ คงยั้งความคิดเอาไว้บ้าง นอกจากนั้น...“Ça fait longtemps qu'on ne s'est pas vus, Madame.” ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ คุณผู้หญิง
Comments