Masuk[Part Peerakan]
สาวน้อยช่างจ้อหันขวับกลับมาหาผม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือถือที่แนบหูในตอนแรกถูกเลื่อนลงข้างลำตัว
ผมขยับเท้าเข้าหาทิ้งระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอก ทิ้งช่วงต้นแขนพิงผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พินิศหญิงสาวตรงหน้าชัดเจนเต็มสองตา เธอไม่ได้สวยจนสามารถสะกดใครได้ในวินาทีแรก ใบหน้าทรงกลมคล้ายกับอมซาลาเปาสองลูกอยู่ข้างแก้ม ดวงตาเรียวแต่ก็ไม่ถึงกับตี่ ปากนิดจมูกหน่อย ตามสไตล์สาวหมวยที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนโดยแท้ เพียงแต่เธอยังมีความคมเข้มในเรื่องของคิ้วและขนตา นี่คือข้อได้เปรียบ
ไม่งั้น…ก็แม่ชีดีๆ นี่แหละ
แต่ถ้าโดยรวมก็ถือว่ามองได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ดูเหมือนแก้มป่องๆ นั่นจะเป็นจุดที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ว่ายิ้มโคตรยาก ยังเกือบหลุด…ตอนนี้ผมเห็นรูปหมาตอนนี้ผมเห็นรูปหมาน้อยพันธุ์ปอมเมอเรเนียนหน้ากลมจากการตัดแต่งขนที่ถูกใช้ตั้งโปรไฟล์ มาแทนที่ใบหน้าเธอ เหมือนกันเด๊ะเลย
“หืม?” ผมเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มพลางเอียงคอมอง ขณะเร่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเธอใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินไป ส่งผลให้คนถูกทักท้วงสะดุ้งเล็กน้อย
“ปะ…เปล่าซะหน่อย” เธอปฏิเสธน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมหลบตา
“เหอะ! โกหก”
“ร้อนตัว เพราะเฮียทำแบบนั้นจริงใช่ไหมล่ะ”
“หื้อ…” ผมดึงตัวขึ้นตรง ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง และเหมือนเธอจะรู้ตัวรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากแน่น “ใครอนุญาต”
ผมไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอจงใจจะแดกดัน แต่ผมซีเรียสกับสรรพนามที่เธอใช้มากกว่า ถึงเธอจะเป็นเพื่อนมิณ ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกและไม่มีสิทธิ์จะเรียกผมแบบนี้ด้วย
“ไม่มีค่ะ” เธอตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะค่อยๆลดมือลง
“แล้ว?”
“เรียกเองค่ะ” ยอมรับออกมาโต้งๆ อย่างไม่อาย คำตอบหนักแน่นและชัดเจน ทำผมสงสัยว่ายัยหมาน้อยนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนา
“ห้าม…เรียก” ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงเน้นย้ำ ก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า คนตัวเล็กก็ปรี่เข้ามาขว้างหน้าผมพร้อมกางแขนออกสองข้าง
“เดี๋ยวค่ะ”
ผมชะงัก พลางหลับตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มอารมณ์ที่มันเริ่มปะทุขึ้นมานิดหน่อย ผมไม่ได้มีโหมดอ่อนโยนกับผู้หญิงเหมือนไอ้หมอไวน์นะจะบอกให้ คนตรงหน้าเลื่อนมือถือขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจิ้มหน้าจอสองสามทีแล้วหันมาจ่อระดับสายตาผม
“เฮียรู้ใช่ไหมว่านี่คือเพลิน”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหม” ผมถามย้ำพลางใช้มือดันมือถือออกให้พ้นหน้า แล้วเขม่นมองคนที่ไม่สะทกสะท้านกับอะไรสักอย่าง เพราะเธอยังใช้สรรพนามที่ผมเพิ่งสั่งห้ามไปไปถึงสามนาที
ส่วนไอ้ที่แสดงอยู่หน้าจอก็เป็นข้อความที่เธอรัวส่งมาหาผมนั่นแหละ
“เพลินขอจีบเฮียได้ไหม”
“ไม่ได้” ผมปฏิเสธทันควัน
“ทำไมล่ะคะ เพลินขอลองก่อนได้ไหม”
“ไม่!” ผมยังยืนยันคำเดิม
“เพลินไม่สวย?” เธอเลิกคิ้วถาม
“ใช่…ไปเอาซาลาเปาออกจากแก้มให้ได้ก่อน” ผมตอบโดยไม่ลังเล ก่อนคนฟังจะยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบแนบแก้มตัวเอง
“บูลลี่”
ผมกระตุกมุมปากแล้วเลี่ยงเดินออกห่างยัยหมาน้อยแสนมึน แต่ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เพราะคนดื้อด้านยังวิ่งมาดักหน้าเอาไว้
“ยังไง เพลินก็จะจีบเฮียให้ได้ รอดูเลย” น้ำเสียงหนักแน่น แววตามุ่งมั่น ไม่ได้มีผลทำให้ผมใจอ่อนได้หรอกนะ ประสบการณ์ยี่สิบกว่าปีไม่ได้สอนเธอบ้างเลยรึไง...ว่าความพยายามไม่ได้นำพาให้ไปสู่ความสำเร็จเสมอไป
ลมหายใจถูกพ่นออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะตบฝ่ามือทาบไปกับผนังด้านข้าง แล้วโน้มหน้าให้อยู่ระดับเดียวกัน
“เด็กน้อยอย่างเธอ ทำลายกำแพงของฉันไม่ได้หรอกนะ อย่าพยายามเลย มันน่ารำคาญ” ขณะที่ผมพูดเธอยังเผลอลอบกลืนน้ำลายบวกกับยืนตัวเกร็งขึ้นมาทันตา ไม่รู้เพราะกลัวหรือเพราะผมเข้าใกล้เธอมากเกินไป
เปลือกตาสีอ่อนกะพริบตาถี่ในตอนที่ผมดึงตัวกลับขึ้นตรง เธอจ้องหน้าผมสักพักก่อนจะหลุดอมยิ้มเหมือนเกิดไอเดียบางอย่างในหัว
วินาทีต่อมาร่างบางขยับเข้าใกล้ผมในระยะประชิด เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุดเพื่อจะอยู่ในระดับใกล้เคียง
“แต่เด็กน้อยอย่างเพลิน อาจจะสูบเรี่ยวแรงจากเฮียจนหมดตัวเลยก็ได้นะ”
เชื่อไหม…กรอบหน้าผมร้อนวูบ มีเรื่องเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวและสมองแม่ง เสือกคิดตามไม่หยุด จะว่าไม่เคยเจอผู้หญิงหยอดก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่เคยใจสั่นกับรอยยิ้มหวานที่สวนทางกับคำพูดแบบนี้ต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น แววตาของเธอดันคล้ายกับใครบางคน...
ผมขมวดคิ้วดึงหน้าตึงพร้อมเรียกสติกลับมา ก่อนวางมือข้างหนึ่งบนไหล่เล็กแล้วดันร่างเธอให้ออกห่าง
“อย่ามาทะลึ่ง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น แล้วก็อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น!” รอบนี้คำสั่งผมอยู่ในโทนเสียงที่แข็งกระด้างกว่าเดิมหลายเท่า แต่ยัยหมาน้อยตรงหน้าไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด แถมยังทำหน้าบ้องแบ๊วไม่หยุด
“ทำไมอะ เพลินจะเรียก ทีมิณยังเรียกได้เลย”
“แต่ฉันไม่ได้สนิทกับเธอ” มึนจัด…
“เดี๋ยวเราก็สนิทกัน เชื่อเพลินสิ” ไม่พูดเปล่า แถมยังยักคิ้วท้าทายอีกด้วย ผมแค่นหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด
“ยัยเด็กบ้า” ผมกดเสียงต่ำ แล้วกระแทกเท้าผ่านหน้าเธอไปยังประตูทางออกริมสระ ไม่นานก็มีเสียงหวานดังไล่ตามหลังมา
“แล้วเจอกันนะคะ”
ผมโคลงศีรษะด้วยความเอือมระอาก่อนจะดึงประตูเปิด แต่ก็ต้องชะงักงัน เมื่อเห็นไอ้หมอไวน์กำลังหมุนตัวไปทางสระน้ำชี้โบ๊ชี้เบ๊ใส่พวกที่อยู่กลางสระ ไอ้วาโยกับเฌอก็พากันชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสวีทหวานทั้งที่ไม่มีดาวสักดวง ส่วนไอ้แม็กซ์กับคุณหนูลลิลทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ริมสระแทบจะพร้อมกันมือถือในมือถูกยกถ่ายรูปคู่โดยอัตโนมัติ
เหอะ…อย่างล่ก ดูไม่ออกเลยมั่ง
ผมตวัดตาคาดโทษเรียงตัวก่อนจะเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้จุดเดิมที่ยัยหมาน้อยนั่งอยู่ตอนแรก และเป็นเพราะพวกมันอีกนั่นแหละที่ให้ผมตามออกไปขอโทษเธอเรื่องเมื่อคืน
สุดท้ายไม่ได้ขอทงขอโทษอะไรทั้งนั้น แถมยังได้ความหงุดหงิดกลับมาเพิ่มขึ้นอีก จากนั้นพวกมันเดินตามผมกลับมานั่งประจำที่กันเป็นพรวน
“เป็นไงมึง” ไอ้หมอไวน์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเอ่ยถามถึงผลงานชิ้นเอกทันทีที่ก้นสัมผัสถึงเก้าอี้
“รู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องเสือกถาม” พูดจบ ผมก็ยกแก้วขึ้นดื่มเข้าไปหลายอึก จังหวะนั้นไอ้แม็กซ์ก็เริ่มออกความคิดเห็น
“กูว่าเพลินตาก็ไม่ได้แย่นะ”
ผมวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะปาระเบิดลูกใหญ่ไปให้ไอ้ CEO ปากเสีย
“เอาไปเองไหมล่ะ” ประโยคของผมทำคุณหนูลลิลหันขวับไปจ้องสามีตัวดีตาเขม็ง จนมันต้องรีบหาทางรอดจากสายตาพิฆาตของเมียตัวเอง
“เปล่านะ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
ปึง!!
ทุกคนถูกดึงความสนใจไปยังบานประตูที่เปิดเข้ามาอย่างกะทันหันโดยพร้อมเพรียง พบหนึ่งในลูกน้องไอ้ดินหยุดยืนท่าทางเหนื่อยหอบก่อนมันจะตะโกนเสียงลั่น
“นายครับ! ข้างล่างตีกันยับเลย”
พวกผมลุกพรวดและวิ่งตรงออกประตูพุ่งตัวลงไปชั้นล่างทันที คงมีแต่บรรดานายหญิงที่ถูกไอ้วาโยสั่งห้ามไปไหน
พอลงมาถึงสภาพก็ยับจริงอย่างที่บอกนั่นแหละ ถึงลูกน้องมันจะควบคุมสถานการณ์บางส่วนได้แล้ว แต่ปัญหาใหญ่คือมีคนเจ็บ ไอ้เจ้าของผับถึงกับตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน คิดว่าน่าจะเป็น ป๊า มัน
ผมกวาดสายมองไปรอบๆ ในตอนที่ไฟถูกเปิดสว่างและผู้คนถูกกันออกไปด้านนอกบ้างแล้ว หัวคิ้วย่นเข้าหากันเมื่อสะดุดเข้ากับร่างบางในชุดคุ้นตาซึ่งยืนตัวแข็งทื่อหลบอยู่มุมบันได นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมหันมองหาใครสักคนในกลุ่ม แต่แม่งก็ไปรุมกันอยู่กลางร้านหมดแล้ว
มีความลังเลเกิดขึ้น เพราะผมไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษที่จะมาเห็นใจเพื่อนร่วมโลก
สุดท้ายผมทำได้แค่ถอนหายใจพร้อมก้าวเข้าไปยังจุดหมายอย่างไม่มีทางเลือก อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น
ยัยหมาน้อยนี่จะตามหลอกหลอนผมไปถึงไหนวะ
ทันทีที่ผมเอื้อมแตะไหล่บางข้างหนึ่ง เจ้าของร่างสะดุ้งตอบเป็นการตอบสนอง เธอช้อนมองผมด้วยแววตาสั่นระริก การหายใจอยู่ในจุดที่เรียกว่าหอบ มิหนำซ้ำตามขาเธอยังมีคราบเลือดกระเซ็นโดนหลายจุด นั่นแปลว่าเธอไม่ได้แค่เห็น แต่คงอยู่ในระยะที่ใกล้มากเลยด้วย
เหอะ! สลัดคราบแม่เสือเป็นลูกหมาอย่างเห็นได้ชัด….ไม่เห็นซ่าเหมือนตอนท้าทายผมสักนิด
“มานี่” ผมเลื่อนมือลงกอบกุมฝ่ามือเล็กเย็นเฉียบไว้ทั้งหมด ก่อนจะจูงเธอออกมาทางด้านหลังและพาเดินอ้อมไปยังที่จอดรถ
ซูเปอร์คาร์คู่ใจถูกกดสตาร์ทเครื่องหลังมาถึง ประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะดันคนขวัญหนีดีฝ่อนั่งลงบนเบาะในท่าหันออกนอกรถ
“ความเก่งหายไปไหนหมดละ” พูดจบผมก็รู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมา คำพูดห่าเหวดันหลุดออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะพูดว่าอะไร ถ้าเป็นคนอื่นคงปลอบโยนเธอได้ดีกว่านี้
“....” และเธอยังเงียบ นั่งก้มหน้างุด ตัวสั่น มือเล็กทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่บนตัก สงสัยจะช็อกจริง ผมเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งเพื่อหยิบแจ็คเกตตัวเองออกมาแล้วเดินกลับมาคลุมให้เธอ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้อยู่ในระดับเดียวกับคนตรงหน้า
“นี่! ยัยหมาน้อย ตั้งสติหน่อย” ผมพยายามปรับโทนเสียงให้อยู่ในโหมดอ่อนโยนที่สุด หากแต่...ยังทำคนฟังสะดุ้งอยู่ดี
“...” คราวนี้เธอเงยหน้าขึ้นมองกัน แต่ยังติดตื่นตระหนก คล้ายกับเธอยังคอนโทรลอะไรไม่ได้เลย
“หายใจเข้าออกลึกๆ” ผมว่า ขณะทำในสิ่งที่ตัวเองพูดไปด้วย หวังให้เธอทำตาม...และมันได้ผล ผ่านไปสักพัก ลมหายใจเธอก็กลับมาอยู่ในโหมดปกติแต่สีหน้าก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ผมหลุบมองรอยเลือดหลายจุดบนขาเนียนก่อนจะพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก พลางเอื้อมหยิบขวดน้ำตรงที่วางเท้าคนนั่งออกมาหนึ่งขวด
“มีทิชชูไหม”
“....” แต่ไร้เสียงตอบกลับ อีกฝ่ายยังนิ่ง จนผมต้องเขม่นมองหน้าเธอเพื่อเรียกสติ
“อ๋อ ค่ะๆ”
ครืดดดด~ ครืดดดด~
มือถือผมสั่นพอดีในตอนที่เธอกำลังล้วงหาสิ่งของในกระเป๋า ผมเลยส่งขวดน้ำให้เธอจัดการเอง ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืน หยิบมันออกมาเลื่อนสไลด์เพื่อรับสายจาก ‘ไอ้หมอเวร’
[มึงอยู่ไหน]
“มีอะไร”
[มาช่วยตามหาเพลินตาหน่อย มิณติดต่อน้องไม่ได้] ผมเหลือบมองคนที่ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนา ที่ตอนนี้กำลังก้มเช็ดรอยเปื้อนเลือดที่ขาตัวเอง แล้วไอ้ชุดที่เธอใส่มันไม่ได้เอื้ออำนวยในการก้มขนาดนั้นไง
ยัยหมาน้อยนี่กำลังอ่อยผมอยู่รึเปล่าว่ะ…บ้าเอ๊ย!!!
จังหวะที่เธอเงยขึ้นมอง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกรอกเสียงกลับไปยังปลายสาย
“อยู่กับกู”
[ฮะ!! อยู่กับมึง ที่ไหน!!] เสียงอุทานดังมาตามสายจนผมต้องเลื่อนมือถือออกห่าง แต่ก็ยังได้ยินชัดอยู่ดี จะตกใจห่าอะไรขนาดนั้นวะ
“ที่รถ” ผมตอบแล้วกดตัดสาย เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันกลับมาจัดการยัยหมาน้อยยังก้มเช็ดไม่หยุด น่าหงุดหงิดชะมัด
“นั่งดีๆ ดิ๊!”
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข
“ได้ค่ะ”หลังจากฉันพาตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ เสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ในหัวราวกับมันอัดอั้นมานาน แต่ใช่ว่าจะระบายออกมาได้ผู้หญิงคนนี้มีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของเธอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง...ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ไปชงกาแฟร้อนให้คุณลูกค้าบ้าอำนาจนั่น คิดว่าเป็นลูกค้าแล้วจะกดขี่พนักงานยังไงก็ได้รึไง พีพีเอ็นก็แปลก บริษัทตั้งใหญ่โต ไหงมีลูกค้านิสัยแบบนี้แล้วก็ยังจะมานึกอยากดื่มกาแฟอะไรตอนนี้…ไม่นานฉันก็เดินกลับมายังห้องเดิมพร้อมกับถือจานรองแก้วกาแฟด้วยความระมัดระวัง ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเคาะกระจกเพื่อขออนุญาตก๊อก…แต่เสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ประตูถูกดึงเปิด ก่อนที่คุณเจนิสาจะเดินสวนออกมา…จังหวะนั้นฉันไม่ทันระวัง แขนฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงโดนแก้วกาแฟในมือ แน่นอนว่าทุกอย่างเสียหลักภายในเสี้ยววินาที“อ๊ะ!...อ๊าย”ฉันเผลอส่งเสียงร้องในตอนที่ความร้อนสัมผัสโดนผิวหนังช่วงข้อมือข้างซ้ายที่ถือจานรองแ
[Part Plernta]15:50 น.@พีพีเอ็น“เพลินตา”ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย เพราะได้ยินทุกวัน ไม่สิ…แทบจะทุกเวลาเลยมากกว่า แฟ้มเอกสารมาถูกยื่นมาต่อหน้าพร้อมประโยคคำสั่งจากคุณหัวหน้า“วานเอาเอกสารนี้เข้าไปให้ลูกค้าในห้องประชุมหน่อย พอดีฉันติดงานด่วน”“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับ ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ รับแฟ้มมาถือไว้ในมือ เดินตรงไปยังห้องประชุมขนาดกลาง ที่มีไว้เพื่อรับรองลูกค้าคนหรือสองคนก๊อกๆๆฉันส่งสัญญาณตามมารยาท ก่อนจะดันประตูเปิดเข้าไปนาทีต่อมา ฝีเท้าถูกชะลอลง ไม่คาดคิดว่าลูกค้าคนสำคัญของวันนี้ คือคุณเจนิสา‘อย่าไว้ใจลูกค้าคนนี้’ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเฮียฟิวส์พูดไว้แบบนี้ บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าสวย ยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรละเลยประโยคที่ลอยเข้ามาให้หัวลมหายใจถูกสูดเข้าลึกพร้อมกับก้าวนำแฟ้มเอกสารไปวางให้บนโต๊ะ โค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติ&







