[Part Peerakan]
สาวน้อยช่างจ้อหันขวับกลับมาหาผม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือถือที่แนบหูในตอนแรกถูกเลื่อนลงข้างลำตัว
ผมขยับเท้าเข้าหาทิ้งระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอก ทิ้งช่วงต้นแขนพิงผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พินิศหญิงสาวตรงหน้าชัดเจนเต็มสองตา เธอไม่ได้สวยจนสามารถสะกดใครได้ในวินาทีแรก ใบหน้าทรงกลมคล้ายกับอมซาลาเปาสองลูกอยู่ข้างแก้ม ดวงตาเรียวแต่ก็ไม่ถึงกับตี่ ปากนิดจมูกหน่อย ตามสไตล์สาวหมวยที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนโดยแท้ เพียงแต่เธอยังมีความคมเข้มในเรื่องของคิ้วและขนตา นี่คือข้อได้เปรียบ
ไม่งั้น…ก็แม่ชีดีๆ นี่แหละ
แต่ถ้าโดยรวมก็ถือว่ามองได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ดูเหมือนแก้มป่องๆ นั่นจะเป็นจุดที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ว่ายิ้มโคตรยาก ยังเกือบหลุด…ตอนนี้ผมเห็นรูปหมาตอนนี้ผมเห็นรูปหมาน้อยพันธุ์ปอมเมอเรเนียนหน้ากลมจากการตัดแต่งขนที่ถูกใช้ตั้งโปรไฟล์ มาแทนที่ใบหน้าเธอ เหมือนกันเด๊ะเลย
“หืม?” ผมเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มพลางเอียงคอมอง ขณะเร่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเธอใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินไป ส่งผลให้คนถูกทักท้วงสะดุ้งเล็กน้อย
“ปะ…เปล่าซะหน่อย” เธอปฏิเสธน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมหลบตา
“เหอะ! โกหก”
“ร้อนตัว เพราะเฮียทำแบบนั้นจริงใช่ไหมล่ะ”
“หื้อ…” ผมดึงตัวขึ้นตรง ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง และเหมือนเธอจะรู้ตัวรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากแน่น “ใครอนุญาต”
ผมไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอจงใจจะแดกดัน แต่ผมซีเรียสกับสรรพนามที่เธอใช้มากกว่า ถึงเธอจะเป็นเพื่อนมิณ ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกและไม่มีสิทธิ์จะเรียกผมแบบนี้ด้วย
“ไม่มีค่ะ” เธอตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะค่อยๆลดมือลง
“แล้ว?”
“เรียกเองค่ะ” ยอมรับออกมาโต้งๆ อย่างไม่อาย คำตอบหนักแน่นและชัดเจน ทำผมสงสัยว่ายัยหมาน้อยนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนา
“ห้าม…เรียก” ผมกดเสียงต่ำเป็นเชิงเน้นย้ำ ก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้า คนตัวเล็กก็ปรี่เข้ามาขว้างหน้าผมพร้อมกางแขนออกสองข้าง
“เดี๋ยวค่ะ”
ผมชะงัก พลางหลับตาสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มอารมณ์ที่มันเริ่มปะทุขึ้นมานิดหน่อย ผมไม่ได้มีโหมดอ่อนโยนกับผู้หญิงเหมือนไอ้หมอไวน์นะจะบอกให้ คนตรงหน้าเลื่อนมือถือขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจิ้มหน้าจอสองสามทีแล้วหันมาจ่อระดับสายตาผม
“เฮียรู้ใช่ไหมว่านี่คือเพลิน”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหม” ผมถามย้ำพลางใช้มือดันมือถือออกให้พ้นหน้า แล้วเขม่นมองคนที่ไม่สะทกสะท้านกับอะไรสักอย่าง เพราะเธอยังใช้สรรพนามที่ผมเพิ่งสั่งห้ามไปไปถึงสามนาที
ส่วนไอ้ที่แสดงอยู่หน้าจอก็เป็นข้อความที่เธอรัวส่งมาหาผมนั่นแหละ
“เพลินขอจีบเฮียได้ไหม”
“ไม่ได้” ผมปฏิเสธทันควัน
“ทำไมล่ะคะ เพลินขอลองก่อนได้ไหม”
“ไม่!” ผมยังยืนยันคำเดิม
“เพลินไม่สวย?” เธอเลิกคิ้วถาม
“ใช่…ไปเอาซาลาเปาออกจากแก้มให้ได้ก่อน” ผมตอบโดยไม่ลังเล ก่อนคนฟังจะยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบแนบแก้มตัวเอง
“บูลลี่”
ผมกระตุกมุมปากแล้วเลี่ยงเดินออกห่างยัยหมาน้อยแสนมึน แต่ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เพราะคนดื้อด้านยังวิ่งมาดักหน้าเอาไว้
“ยังไง เพลินก็จะจีบเฮียให้ได้ รอดูเลย” น้ำเสียงหนักแน่น แววตามุ่งมั่น ไม่ได้มีผลทำให้ผมใจอ่อนได้หรอกนะ ประสบการณ์ยี่สิบกว่าปีไม่ได้สอนเธอบ้างเลยรึไง...ว่าความพยายามไม่ได้นำพาให้ไปสู่ความสำเร็จเสมอไป
ลมหายใจถูกพ่นออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะตบฝ่ามือทาบไปกับผนังด้านข้าง แล้วโน้มหน้าให้อยู่ระดับเดียวกัน
“เด็กน้อยอย่างเธอ ทำลายกำแพงของฉันไม่ได้หรอกนะ อย่าพยายามเลย มันน่ารำคาญ” ขณะที่ผมพูดเธอยังเผลอลอบกลืนน้ำลายบวกกับยืนตัวเกร็งขึ้นมาทันตา ไม่รู้เพราะกลัวหรือเพราะผมเข้าใกล้เธอมากเกินไป
เปลือกตาสีอ่อนกะพริบตาถี่ในตอนที่ผมดึงตัวกลับขึ้นตรง เธอจ้องหน้าผมสักพักก่อนจะหลุดอมยิ้มเหมือนเกิดไอเดียบางอย่างในหัว
วินาทีต่อมาร่างบางขยับเข้าใกล้ผมในระยะประชิด เขย่งปลายเท้าขึ้นจนสุดเพื่อจะอยู่ในระดับใกล้เคียง
“แต่เด็กน้อยอย่างเพลิน อาจจะสูบเรี่ยวแรงจากเฮียจนหมดตัวเลยก็ได้นะ”
เชื่อไหม…กรอบหน้าผมร้อนวูบ มีเรื่องเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวและสมองแม่ง เสือกคิดตามไม่หยุด จะว่าไม่เคยเจอผู้หญิงหยอดก็ไม่ใช่ เพียงแต่ไม่เคยใจสั่นกับรอยยิ้มหวานที่สวนทางกับคำพูดแบบนี้ต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น แววตาของเธอดันคล้ายกับใครบางคน...
ผมขมวดคิ้วดึงหน้าตึงพร้อมเรียกสติกลับมา ก่อนวางมือข้างหนึ่งบนไหล่เล็กแล้วดันร่างเธอให้ออกห่าง
“อย่ามาทะลึ่ง ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น แล้วก็อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น!” รอบนี้คำสั่งผมอยู่ในโทนเสียงที่แข็งกระด้างกว่าเดิมหลายเท่า แต่ยัยหมาน้อยตรงหน้าไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด แถมยังทำหน้าบ้องแบ๊วไม่หยุด
“ทำไมอะ เพลินจะเรียก ทีมิณยังเรียกได้เลย”
“แต่ฉันไม่ได้สนิทกับเธอ” มึนจัด…
“เดี๋ยวเราก็สนิทกัน เชื่อเพลินสิ” ไม่พูดเปล่า แถมยังยักคิ้วท้าทายอีกด้วย ผมแค่นหัวเราะออกมาอย่างเหลืออด
“ยัยเด็กบ้า” ผมกดเสียงต่ำ แล้วกระแทกเท้าผ่านหน้าเธอไปยังประตูทางออกริมสระ ไม่นานก็มีเสียงหวานดังไล่ตามหลังมา
“แล้วเจอกันนะคะ”
ผมโคลงศีรษะด้วยความเอือมระอาก่อนจะดึงประตูเปิด แต่ก็ต้องชะงักงัน เมื่อเห็นไอ้หมอไวน์กำลังหมุนตัวไปทางสระน้ำชี้โบ๊ชี้เบ๊ใส่พวกที่อยู่กลางสระ ไอ้วาโยกับเฌอก็พากันชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสวีทหวานทั้งที่ไม่มีดาวสักดวง ส่วนไอ้แม็กซ์กับคุณหนูลลิลทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ริมสระแทบจะพร้อมกันมือถือในมือถูกยกถ่ายรูปคู่โดยอัตโนมัติ
เหอะ…อย่างล่ก ดูไม่ออกเลยมั่ง
ผมตวัดตาคาดโทษเรียงตัวก่อนจะเดินไปกระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้จุดเดิมที่ยัยหมาน้อยนั่งอยู่ตอนแรก และเป็นเพราะพวกมันอีกนั่นแหละที่ให้ผมตามออกไปขอโทษเธอเรื่องเมื่อคืน
สุดท้ายไม่ได้ขอทงขอโทษอะไรทั้งนั้น แถมยังได้ความหงุดหงิดกลับมาเพิ่มขึ้นอีก จากนั้นพวกมันเดินตามผมกลับมานั่งประจำที่กันเป็นพรวน
“เป็นไงมึง” ไอ้หมอไวน์ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเอ่ยถามถึงผลงานชิ้นเอกทันทีที่ก้นสัมผัสถึงเก้าอี้
“รู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องเสือกถาม” พูดจบ ผมก็ยกแก้วขึ้นดื่มเข้าไปหลายอึก จังหวะนั้นไอ้แม็กซ์ก็เริ่มออกความคิดเห็น
“กูว่าเพลินตาก็ไม่ได้แย่นะ”
ผมวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะปาระเบิดลูกใหญ่ไปให้ไอ้ CEO ปากเสีย
“เอาไปเองไหมล่ะ” ประโยคของผมทำคุณหนูลลิลหันขวับไปจ้องสามีตัวดีตาเขม็ง จนมันต้องรีบหาทางรอดจากสายตาพิฆาตของเมียตัวเอง
“เปล่านะ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”
ปึง!!
ทุกคนถูกดึงความสนใจไปยังบานประตูที่เปิดเข้ามาอย่างกะทันหันโดยพร้อมเพรียง พบหนึ่งในลูกน้องไอ้ดินหยุดยืนท่าทางเหนื่อยหอบก่อนมันจะตะโกนเสียงลั่น
“นายครับ! ข้างล่างตีกันยับเลย”
พวกผมลุกพรวดและวิ่งตรงออกประตูพุ่งตัวลงไปชั้นล่างทันที คงมีแต่บรรดานายหญิงที่ถูกไอ้วาโยสั่งห้ามไปไหน
พอลงมาถึงสภาพก็ยับจริงอย่างที่บอกนั่นแหละ ถึงลูกน้องมันจะควบคุมสถานการณ์บางส่วนได้แล้ว แต่ปัญหาใหญ่คือมีคนเจ็บ ไอ้เจ้าของผับถึงกับตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน คิดว่าน่าจะเป็น ป๊า มัน
ผมกวาดสายมองไปรอบๆ ในตอนที่ไฟถูกเปิดสว่างและผู้คนถูกกันออกไปด้านนอกบ้างแล้ว หัวคิ้วย่นเข้าหากันเมื่อสะดุดเข้ากับร่างบางในชุดคุ้นตาซึ่งยืนตัวแข็งทื่อหลบอยู่มุมบันได นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมหันมองหาใครสักคนในกลุ่ม แต่แม่งก็ไปรุมกันอยู่กลางร้านหมดแล้ว
มีความลังเลเกิดขึ้น เพราะผมไม่ใช่พวกสุภาพบุรุษที่จะมาเห็นใจเพื่อนร่วมโลก
สุดท้ายผมทำได้แค่ถอนหายใจพร้อมก้าวเข้าไปยังจุดหมายอย่างไม่มีทางเลือก อยู่ๆ ผมก็กลายเป็นคนดีขึ้นมาซะงั้น
ยัยหมาน้อยนี่จะตามหลอกหลอนผมไปถึงไหนวะ
ทันทีที่ผมเอื้อมแตะไหล่บางข้างหนึ่ง เจ้าของร่างสะดุ้งตอบเป็นการตอบสนอง เธอช้อนมองผมด้วยแววตาสั่นระริก การหายใจอยู่ในจุดที่เรียกว่าหอบ มิหนำซ้ำตามขาเธอยังมีคราบเลือดกระเซ็นโดนหลายจุด นั่นแปลว่าเธอไม่ได้แค่เห็น แต่คงอยู่ในระยะที่ใกล้มากเลยด้วย
เหอะ! สลัดคราบแม่เสือเป็นลูกหมาอย่างเห็นได้ชัด….ไม่เห็นซ่าเหมือนตอนท้าทายผมสักนิด
“มานี่” ผมเลื่อนมือลงกอบกุมฝ่ามือเล็กเย็นเฉียบไว้ทั้งหมด ก่อนจะจูงเธอออกมาทางด้านหลังและพาเดินอ้อมไปยังที่จอดรถ
ซูเปอร์คาร์คู่ใจถูกกดสตาร์ทเครื่องหลังมาถึง ประตูฝั่งคนนั่งถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะดันคนขวัญหนีดีฝ่อนั่งลงบนเบาะในท่าหันออกนอกรถ
“ความเก่งหายไปไหนหมดละ” พูดจบผมก็รู้สึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมา คำพูดห่าเหวดันหลุดออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะพูดว่าอะไร ถ้าเป็นคนอื่นคงปลอบโยนเธอได้ดีกว่านี้
“....” และเธอยังเงียบ นั่งก้มหน้างุด ตัวสั่น มือเล็กทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่บนตัก สงสัยจะช็อกจริง ผมเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกฝั่งเพื่อหยิบแจ็คเกตตัวเองออกมาแล้วเดินกลับมาคลุมให้เธอ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งให้อยู่ในระดับเดียวกับคนตรงหน้า
“นี่! ยัยหมาน้อย ตั้งสติหน่อย” ผมพยายามปรับโทนเสียงให้อยู่ในโหมดอ่อนโยนที่สุด หากแต่...ยังทำคนฟังสะดุ้งอยู่ดี
“...” คราวนี้เธอเงยหน้าขึ้นมองกัน แต่ยังติดตื่นตระหนก คล้ายกับเธอยังคอนโทรลอะไรไม่ได้เลย
“หายใจเข้าออกลึกๆ” ผมว่า ขณะทำในสิ่งที่ตัวเองพูดไปด้วย หวังให้เธอทำตาม...และมันได้ผล ผ่านไปสักพัก ลมหายใจเธอก็กลับมาอยู่ในโหมดปกติแต่สีหน้าก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ผมหลุบมองรอยเลือดหลายจุดบนขาเนียนก่อนจะพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก พลางเอื้อมหยิบขวดน้ำตรงที่วางเท้าคนนั่งออกมาหนึ่งขวด
“มีทิชชูไหม”
“....” แต่ไร้เสียงตอบกลับ อีกฝ่ายยังนิ่ง จนผมต้องเขม่นมองหน้าเธอเพื่อเรียกสติ
“อ๋อ ค่ะๆ”
ครืดดดด~ ครืดดดด~
มือถือผมสั่นพอดีในตอนที่เธอกำลังล้วงหาสิ่งของในกระเป๋า ผมเลยส่งขวดน้ำให้เธอจัดการเอง ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืน หยิบมันออกมาเลื่อนสไลด์เพื่อรับสายจาก ‘ไอ้หมอเวร’
[มึงอยู่ไหน]
“มีอะไร”
[มาช่วยตามหาเพลินตาหน่อย มิณติดต่อน้องไม่ได้] ผมเหลือบมองคนที่ถูกเอ่ยถึงในบทสนทนา ที่ตอนนี้กำลังก้มเช็ดรอยเปื้อนเลือดที่ขาตัวเอง แล้วไอ้ชุดที่เธอใส่มันไม่ได้เอื้ออำนวยในการก้มขนาดนั้นไง
ยัยหมาน้อยนี่กำลังอ่อยผมอยู่รึเปล่าว่ะ…บ้าเอ๊ย!!!
จังหวะที่เธอเงยขึ้นมอง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกรอกเสียงกลับไปยังปลายสาย
“อยู่กับกู”
[ฮะ!! อยู่กับมึง ที่ไหน!!] เสียงอุทานดังมาตามสายจนผมต้องเลื่อนมือถือออกห่าง แต่ก็ยังได้ยินชัดอยู่ดี จะตกใจห่าอะไรขนาดนั้นวะ
“ที่รถ” ผมตอบแล้วกดตัดสาย เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันกลับมาจัดการยัยหมาน้อยยังก้มเช็ดไม่หยุด น่าหงุดหงิดชะมัด
“นั่งดีๆ ดิ๊!”
“...” ฉันสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นสายตาพิฆาตของ คุณพีรกานต์ สายตาเขาดุดันมากขึ้น คิ้วเลื่อนเข้าชนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออกเลยแหละ มีวูบหนึ่งที่ฉันเห็นเขาแอบส่งสัญญาณให้ฉันรีบออกไปจากตรงนี้แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ไง…เพราะคุณเจนิสา เธอยังปรายตามองฉันตลอด และพอฉันไม่ทำตาม เขาก็ยิ่งดูเหมือนโมโหมากขึ้นมีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะ ที่รู้ว่าเขากำลังโกรธ โดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้“ฉันอยากรู้ว่าเกณฑ์ตัดสินคืออะไรคะ มีการใช้เส้นสายรึเปล่า” คุณเจนิสาหันไปยิงคำถามกับท่านประธาน แต่กลับปิดจบประโยคด้วยการเอียงคอมองทายาทเพียงคนเดียวคุณพีรกานต์รีบละสายตาจากฉัน ไปหาคนตั้งคำถามในทันทีฉันไม่แน่ใจว่าคุณเจนิสาใช้สายตาแบบไหน เพราะเธอนั่งหันหลังให้ แต่ที่ชัดเจนคือสายตาของคุณพีรกานต์ เขาจ้องเธอด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดปกติมันไม่ใช่สายตาของพนักงานมองลูกค้า ถึงเขาจะตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็ไม่สมควร“คะ?” เป็นท่านประธานที่ดึงความสนใจจากคุณเจนิสากลับมาได้“อ้อ พอดี ฉันแค่กังวลเรื่องคุณภาพของงานน่ะค่ะ” เธออธิบาย โดยใช
@พีพีเอ็นอาทิตย์ต่อมา...De.FiEw : ก่อนกลับDe.FiEw : อย่าลืมไปแวะเอาเค้กที่ร้านฉันอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือการแวะไปเอาเค้กที่ร้านหน้าบริษัท กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่ต้องทำทุกเย็นก่อนกลับบ้านเรื่องราวระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่คุยกัน ทว่าในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ไม่…ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างคล้ายกับตอนนี้เราอยู่ในช่วง คนคุย หรือ กำลังศึกษาดูใจ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสอง ไม่รู้สิ เขาเองก็ไม่เคยระบุ ว่าฉันจัดอยู่ในโหมดไหนแต่ถ้าถามฉัน เทให้เขาไปแล้วหมดหน้าตัก…ผลจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่แฮปปี้และอยากจะให้โลกหมุนไปถึงวันสุดท้ายโดยเร็ว กลับกันมันดันเป็นที่เดียวที่จะให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ด้วยการแอบมองเล็ก ๆ น้อย ๆส่วนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว แบบสัมผัสจับต้อง ลืมไปได้เลย กล
ไม่นานภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้น หลอดยาถูกปิดฝาอย่างดีและเก็บใส่ถุงตามเดิม“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้…” เขาพูดขณะเอนหลังเล็กน้อย เพื่อมองหน้าฉัน“รู้ค่ะ แต่เราโทรคุยกันได้อยู่ใช่ไหม”“อือ”“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” สำหรับฉัน แค่เรายังติดต่อกันอยู่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันสบายใจทั้งนั้นก๊อกๆๆฉันสะดุ้งโหย่ง หันไปมองตำแหน่งของเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีคนเคาะประตูจากด้านนอก และหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นจากเฮียฟิวส์เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ยกแขนออก นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันดึงเสื้อเขาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปคลายล็อกลูกบิดเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือน“เห่ย…!” เจ้าของผับเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ“....” ฉันสะดุ้งอีกครั้ง วันนี้วิญญาณฉันคงไม่กลับเข้าร่างง่ายๆ หรอกแน่นอนว่าฉันไม่ได้ถูกระบุให้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ อีกอย่างรุ่นพี่ดินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ รวมถึงไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราด้วยเขาจ้องฉันตาเขม็ง
เท้าเรียวก้าวเดินมาหยุดทางฝั่งขวามือของเขา สะกิดให้ร่างหนาขยับหันหลังมาทางขอบข้างบริเวณที่พักแขนของโซฟาจับปกเสื้อร่นลงด้านหลัง แต่ด้วยความที่กระดุมถูกปลดไว้แค่เม็ดเดียว มันไม่กว้างพอให้เห็นชัดทั้งหมด“เฮีย ปลดกระดุมอีกเม็ดหนึ่งค่ะ”“ปลดเองสิ”ให้มันได้ยังงี้สิ…ไม่เคยจะยอมให้ความร่วมมือกับอะไรสักอย่างจริงๆฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหย่อนก้นลงบริเวณขอบที่พักแขนของโซฟาแบบหมิ่นเหม่เอื้อมมือไปจับสาบกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาแต่ยังไม่ทันได้ปลดออกวินาทีต่อมาการกระทำทุกอย่างของฉันถูกสั่งให้หยุดชะงัก เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขวาพาดมาบนตักอย่างเชื่องช้า เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยตอนขยับฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่คิดอะไรที่มันอยู่ในสุ่มเสี่ยงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไร…แต่ทำไมใจสั่น คอแห้ง ก็ไม่รู้ การกระทำทั้งหมดอยู่บนความล่อแหลมและยังถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่คมตลอดเวลาฉันจึงเลื่อนมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่อยากเห็นส่วนที่อยู่ภายใต้กระดุมเม็ดนี้ ใจฉันอยู
[Part Plernta]“เพลินก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เฮียรู้ไว้ด้วย ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่าย….” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ประโยคถูกทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตากับผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมากที่สุดในตอนนี้ หัวคิ้วของเขามุ่นขึ้นมาเล็กน้อยฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่าเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้ง“ป่านนี้เพลินก็….” แต่ยังไม่ทันจบ...ฉันหยุดพูดกะทันหันด้วยความตกใจ เมื่อเฮียฟิวส์เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยฉันเข้าหา จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน สายตาคู่คมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับเขากำลังควานหาบางอย่างในนั้น ร่างกายฉันแข็งทื่อเสมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน การหายใจที่ดูเบสิกกลายเป็นเรื่องยากในพริบตา“ก็อะไร” สายตายังสอดประสานขณะเขาเอ่ยถาม ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปพร้อมกับแรงกระชากก่อนหน้าให้กลับเข้าร่าง พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ถูกบังคับให้หันกลับมาด้วยนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่ข้างแก้ม“หืม…” การเร่งรัดเอาคำตอบเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม“ก็…คงทำ…”คำพูดของฉันขาดช่วงไม่จบประโยค ส่วนที่เหลือถูก
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังต่อเนื่องก่อนจะมาหยุดขนาบข้างโซฟาที่ผมนั่ง ส่งผลให้ผมปรายตามองรองเท้าส้นสูงสีดำ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน แน่นอนว่าไม่มีผู้หญิงของใครที่จะเข้ามาแบบไม่ทักทายเสียรู้ให้ไอ้พวกเวรนั้นจนได้ ถึงว่า…ทำไมอยากให้ออกมาขนาดนั้น“ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต” เสียงหวานคุ้นหูเอื้อนเอ่ยแสดงความรู้สึกผิด ที่ไม่ได้รู้สึกผิดจริง มันเป็นการเริ่มต้นประโยคตามมารยาทเท่านั้น“....” และผมยังเอาแต่ก้มหน้าเงียบ อยู่ท่าเดิม การที่คนในความคิดออกมาปรากฏตัวต่อหน้าในเวลาที่ผมยังไม่พร้อม ดูเป็นอะไรที่ฉุกละหุกเกินไป ผมยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอตอนนี้ไม่สิ…ความจริงมันมีอย่างหลาย แต่แค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเรียวขาเล็กค่อยๆ ก้าวผ่านหน้าผมและหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเดียวกับผมที่ว่างด้านซ้าย“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเพลินไว้ นี่ค่ะ..ยา” พูดจบถุงกระดาษใบเล็กก็ถูกวางบนโต๊ะ“....” ผมเหลือกตาขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะหลุบโฟกัสปลายเท้าตัวเองตามเดิม ไม่อยากมองหน้าเธอเพราะกลัวใจตั