LOGINตั้งแต่สูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักในวัยเด็ก เขาก็ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเจ็บปวด จนมาเจอเธอ เด็กสาวผู้สดใส ร่าเริง โลกของเขาก็เปลี่ยนไป และเธอยังนำพาเขากลับสู่ความทรงจำที่หลงลืมไปหลายปีอีกด้วย
View More[Part Plernta]
22:25 น.
@Sosay Pub
“มึง ไปหน้าเวทีกัน”
“ไปก่อนเลย” ฉันตะเบ็งเสียงไม่แตกต่าง แข่งกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มอัดหู พลางละสายตาจากหน้าจอมือถือ ช้อนขึ้นมองสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนอยู่ข้างๆ ไหล่เล็กของคนเอ่ยชวนไหวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโยกย้ายร่างกายพลิ้วไหวไปสมทบกับเดอะแก๊งด้านหน้าเวที เธอคือ ลูกน้ำ เพื่อนร่วมคณะและสมาชิกคนสำคัญประจำกลุ่มสายปาร์ตี้
จากนั้นฉันหันกลับมาที่แก้วบนโต๊ะซึ่งมีแอลกอฮอล์เหลือไม่ถึงครึ่ง แล้วยกมันขึ้นกรอกปากจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะวางคืนตำแหน่งเดิมพร้อมกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวสูงมายืนบนพื้น
“มาทำอะไรกันเยอะแยะวะ”
หมดเวลาไปเกือบห้านาทีเลย กว่าฉันจะพาร่างกายฝ่ากลางฝูงชนมากมายออกมาอยู่หน้าผับได้สำเร็จ
นี่ขนาดอยู่แค่ช่วงกลางร้านนะ…ยังรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
ฉันขยับมายืนในจุดที่ห่างจากประตูเข้าออกพอสมควร ขณะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าไปส่วนหนึ่ง แล้วยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาสแกนหน้าปลดล็อกเพื่อเช็กข้อความที่ส่งไป
“เยส!...” ฉันกระทุ้งข้อศอกซ้ายเข้าข้างเอวด้วยความดีใจ แต่ไม่นานริมฝีปากที่หงายอยู่ก็ต้องคว่ำลง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าทุกการนัดเจอก็เป็นแบบนี้ ทว่า…ไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลย ถ้านับคร่าวๆ ก็...ครั้งยี่สิบในรอบสามเดือนได้แล้วมั่ง ความพยายามของฉันนี่มันเลิศที่สุด ป๊ากับม้าต้องภูมิใจแน่
และฉันควรเก็บไว้ดีใจตอนได้เห็นเขามายืนต่อหน้าดีกว่า จะได้ไม่เก้อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เขาที่ฉันกำลังพูดถึงก็คือ คุณพีรกานต์ ภูริศิรินันท์ อายุยี่สิบเจ็ด ทายาทคนเดียวของ พีพีเอ็น บริษัทการเงินเอกชนชื่อดัง แน่นอนว่าเรื่องความหล่อคือที่สุด แถมยังรวยมาก เพอร์เฟกต์ขนาดนี้ก็ต้องเป็นที่หมายปองของสาวน้อย สาวใหญ่ทั้งหลายอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เพลินตา คนนี้ด้วย
ฉันได้เจอเขาครั้งแรกที่งานเลี้ยงของกลุ่มสามหนุ่มฮอตแห่งมหาวิทยาลัย A เพราะเพื่อนรักอย่าง มิณ มิณาริน สาวน้อยผู้อาภัพครอบครัวแต่ไม่อาภัพรัก มันสอยเดือนหนึ่งดวงแห่งวิศวะ อย่างรุ่นพี่ ยูตะ ไปครอบครองได้สำเร็จ เลยทำให้ฉันได้เจอและรู้จักกับบุคคลรอบตัวเขาด้วย
แต่หลังจากวันนั้น ฉันไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้เขาอีกเลย มิณบอกว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก เข้าถึงยากและความหยิ่งคือติดอันดับสูงสุด อีกนิดก็ซุปตาร์ท่านหนึ่งเลยแหละ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันพยายามสืบเสาะและค้นหาข้อมูลของ เอ่อ…จะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะ ซึ่งมิณ เรียกเขาว่า เฮียฟิวส์ ประเด็นคือ ข้อมูลของเขามีน้อย…น้อยแบบน้อยมากๆ จนฉันแทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากชื่อ นามสกุล อายุ แล้วก็ธุรกิจของครอบครัวเขา สุดท้ายทำได้แค่ DM ผ่าน i* ไปเท่านั้น ดีที่เขาไม่บล็อก...
ไม่รับแอด ไม่มีการตอบกลับ แต่อ่าน บางทีฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
และตอนนี้ฉันยังคงชะเง้อมองเข้าไปข้างในทุกครั้งที่ประตูเปิด มีความหวังเล็กๆ ว่าสักคนที่เดินออกมาจะเป็นเขา…แต่จนแล้วจนเล่า จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ไม่มาอีกละ กินแห้วอีกแล้วสินะ” ลมหายใจถูกพ่นทิ้งอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ไม่เป็นไร…ยังมีครั้งหน้า วันนี้เขาอาจจะไม่ว่าง แบบนี้แหละ ถึงเรียกว่าท้าทายของจริง
กลับไปดื่มย้อมใจดีกว่า…
แต่จังหวะที่ฉันทิ้งแรงครึ่งตัวช่วงบนเพื่อดันประตูเข้า มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาดึงประตูหนี
หวืดดดด~~
ส่งผลให้ด้านหน้าของฉันตอนนี้เป็นอากาศที่แสนบางเบา แน่นอนว่ามันไม่สามารถรับร่างกายฉันไว้ได้
ตุบ!!!…โอ๊ย!!
ฉันร้องโอดครวญในตอนที่หน้าคว่ำลงไปนอนกับพื้นทางเดินอย่างหมดสภาพ เปลือกตาปิดลงหลายส่วนเพื่อข่มความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งอายเอาไว้ เพราะมันดันเป็นจังหวะเดียวกับวงดนตรีบนเวทีหยุดเล่นเตรียมพักเบรกพอดิบพอดี เสียงร่างกายกระแทกลงพื้นของฉันเลยเรียกความสนใจจากผู้คนรอบๆ ได้เป็นอย่างดี
แต่โชคยังดีที่วันนี้ใส่กางเกงยีน ไม่งั้นบันเทิงกว่านี้แน่
ขอวาร์ปไปจากตรงนี้เลยได้ไหม…
“ไอ้ห่า มึงไม่รับล่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงอีกคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความอับอายในครั้งนี้
“ไม่ใช่หน้าที่”
ไม่ใช่หน้าที่...? นี่คือคำตอบของสุภาพบุรุษ...? บ้าเอ๊ย!
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ฉันพุ่งจนแทบทะลุกราฟ รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปตะคอกใส่หน้าผู้ชายไร้มารยาทคนนั้นทันที
“รับสักนิดมันจะตายรึไงฮะ!!!” ยังไม่ทันจบประโยค หมอนั่นสะบัดหน้าใส่ฉันพร้อมก้าวเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
“ขอโทษทะ...” และเดือดร้อนไปถึงคนที่มาด้วยต้องเอ่ยแทน
“หึ...!” ฉันแทรกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะในคอ พลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป
“นี่!!” เมื่อส่งเสียงเรียกไม่ได้ผล ฉันจึงเอื้อมคว้าช่วงต้นแขนของคนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวและกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้า
ไม่แน่ใจว่า...เผลอออกแรงมากเกินไปหรือเขาไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงถลาใส่ฉันจนเกือบจะหงายหลัง แต่ยังดีที่เขาทรงตัวได้ก่อนพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงราวกับไม่อยากสัมผัสแตะต้องตัวกัน
ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เสียหลักสักเท่าไหร่ พยุงตัวได้อยู่...
“....” ฉันตวัดมองคนนิสัยไม่ดีอย่างเอาเรื่อง พร้อมจะพ่นชุดคำหยาบใส่แบบรัวๆ
แต่...
ถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นถูกกลืนลงลำคอทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง การควบคุมลมหายใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เท้าเรียวขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล เนื่องจากเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น
และฉันเลิกคิดเรื่องที่จะได้เจอเขาในวันนี้ไปแล้ว
คนตัวสูงตรงหน้า…ที่น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร กลุ่มผมไม่ถึงกับดำสนิทสะเปะสะปะในแบบไม่ถูกเซท มาพร้อมกับการแต่งตัวในมาดหนุ่มเซอร์ เสื้อแจ็คเกตหนังสีดำคลุมทับเชิ้ตขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมจนครบ กางเกงยีนขาดนิดหน่อยคู่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ไม่ได้ขาวหมดจด ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้าจะเป็นแบบไหน ใบหน้าคมเข้มก็ยังเด่นชัดเหมือนเดิม และนี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
ครั้งแรก…ที่ฉันได้เห็นคุณพีรกานต์ในระยะใกล้ชิด
ครั้งแรก…ที่เราอยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว
ในสมองฉันตอนนี้กำลังประมวลผลว่าควรเรียกเขายังไงดี…เรียกแบบมิณได้ไหม แต่มิณบอกเขาไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อเล่น นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท
งั้นเรียกในใจ คงไม่เป็นไรมั่ง…
เสียงถอนหายใจแรงของคุณพีรกานต์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ดวงตาคมฉายแววดุดัน คิ้วเข้มขมวดยุ่ง สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจขั้นสุด
“ใจเย็นก่อน” ผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้นหลังเดินมาหยุดยืนข้างๆ และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เฮียฟิวส์กลับหลังหันแล้วขยับห่างออกไปสักระยะ คล้ายกับไม่อยากใส่ใจ ซึ่งมันไม่ต่างจากที่ฉันกำลังทำใส่เจ้าของประโยคอยู่ตอนนี้เลย
คิดว่าคงเป็นใครสักคนในแก๊ง แต่ไม่ได้อยากสนใจว่าเขาจะเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาฉัน...
“เพลินตา...?”
สุดท้ายฉันจำเป็นต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคุณชายแสนเย้ยหยิ่ง ไปยังบุคคลที่สามตามมารยาท
“อ้อ…คุณหมอนี่เอง”
ฉันพบว่า ผู้ชายที่มีสัมพันธไมตรีอันดี คือ คุณหมอไวน์ นายแพทย์หนุ่มหล่อประจำกลุ่ม ตอนอยู่ด้านในแสงมันไม่ได้เพียงพอจะเห็นหน้าใครชัดเจนถ้าไม่เพ่งมองจริงจัง เราเคยเจอกันหลายครั้งตอนฉันเกิดอุบัติเหตุไปรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา
ดีจัง ที่คุณหมอยังจำฉันได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” นายแพทย์หนุ่มเริ่มทักทายฉันอย่างเป็นทางการ
“ก็ดีแล้วไหมคะ ใครจะไปอยากเจอหมอบ่อยๆ กัน” ฉันตอบกลับทีเล่นทีจริง ก่อนคู่สนทนาจะหัวเราะหึออกมา
ระหว่างนั้นฉันยังลอบมองผู้ชายอีกคนผ่านหางตาเป็นระยะ ไม่นานก็เริ่มมีกลุ่มควันเลือนรางลอยฟุ้งรอบตัวเขา
“แล้วนี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คุณหมอเอ่ยถามพลางไล่สำรวจตามร่างกาย ประหนึ่งว่าฉันเป็นคนไข้
“อ๋อ นิดหน่อยค่ะ…อ๊ะ!” ตอนแรกฉันก็คิดว่าไม่เป็นอะไรจึงตอบไปแบบนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในตอนขยับแขนซ้ายจนหลุดเสียงร้องพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย
“เห่ย! โดนเศษแก้วรึเปล่าวะ ฉันว่าไปทำแผลดีกว่า” คุณหมอไวน์ทำท่าทางตกใจพร้อมกับประคองแขนฉันขึ้นมาดูบาดแผลบริเวณใกล้ๆ ข้อศอกที่มีเลือดไหลซึมออกมา
ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน พอเจอผู้ชายก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น รวมถึงความเจ็บด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพลินกลับไปทำอยู่ห้องเองค่ะ” ดูจากแผลก็ไม่ลึกท่าไหร่ คงแค่ถากๆ น่าจะไม่เป็นอะไรมาก
“แต่ฉันว่า…” คำแย้งของคุณหมอยังไม่ทันจบสมบูรณ์ ก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“กูขึ้นไปก่อนนะ” คุณพีรกานต์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ฉันได้มีโอกาสพินิจใบหน้าฟ้าประทานนั่นอีกครั้ง ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
มีแวบหนึ่งที่ดวงตาเกรี้ยวกราดหลุบมองบาดแผลของฉัน ก่อนจะช้อนขึ้นมองหน้าคุณหมอไวน์ในตอนที่ได้ยินเสียงครางรับ
“เออ!”
ต่อมาเจ้าของใบหน้ายุ่งเหยิงก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตหยิบอะไรสักอย่างออกมาแล้วโยนให้เพื่อนตัวเอง
และฉันเห็นว่าสิ่งที่คุณหมอไวน์รับมาคือรีโมตรถยนต์
“ในเก๊ะหน้ามีที่ทำแผลอยู่”
เสียงปลดล็อกรถดังขึ้นในวินาทีต่อมา เกิดแสงสีส้มกะพริบต่อเนื่องสามครั้ง ส่งผลให้ฉันสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ว่าซูเปอร์คาร์สีขาวนั่นคือรถคู่ใจของคุณพีรกานต์
จากนั้นจึงหันมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน พร้อมหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ได้เจอกันแบบจริงจังสักทีนะคะคุณพีรกานต์
ถือว่าการเจ็บตัวของฉันครั้งนี้ไม่สูญเปล่า
ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีมาก…ของมากที่สุด
ถึงจะไม่รู้เลย...ว่าเขาจะจำฉันได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อ่านข้อความที่ฉันส่งไปบ้างรึเปล่าหรือแค่เปิดเพราะไม่อยากให้มันค้างการแจ้งเตือนเฉยๆ
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง ฉันจะเดินหน้าจีบผู้ชายคนนี้ให้ได้...
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข





