ตั้งแต่สูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักในวัยเด็ก เขาก็ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเจ็บปวด จนมาเจอเธอ เด็กสาวผู้สดใส ร่าเริง โลกของเขาก็เปลี่ยนไป และเธอยังนำพาเขากลับสู่ความทรงจำที่หลงลืมไปหลายปีอีกด้วย
view more[Part Plernta]
22:25 น.
@Sosay Pub
“มึง ไปหน้าเวทีกัน”
“ไปก่อนเลย” ฉันตะเบ็งเสียงไม่แตกต่าง แข่งกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มอัดหู พลางละสายตาจากหน้าจอมือถือ ช้อนขึ้นมองสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนอยู่ข้างๆ ไหล่เล็กของคนเอ่ยชวนไหวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโยกย้ายร่างกายพลิ้วไหวไปสมทบกับเดอะแก๊งด้านหน้าเวที เธอคือ ลูกน้ำ เพื่อนร่วมคณะและสมาชิกคนสำคัญประจำกลุ่มสายปาร์ตี้
จากนั้นฉันหันกลับมาที่แก้วบนโต๊ะซึ่งมีแอลกอฮอล์เหลือไม่ถึงครึ่ง แล้วยกมันขึ้นกรอกปากจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะวางคืนตำแหน่งเดิมพร้อมกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวสูงมายืนบนพื้น
“มาทำอะไรกันเยอะแยะวะ”
หมดเวลาไปเกือบห้านาทีเลย กว่าฉันจะพาร่างกายฝ่ากลางฝูงชนมากมายออกมาอยู่หน้าผับได้สำเร็จ
นี่ขนาดอยู่แค่ช่วงกลางร้านนะ…ยังรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
ฉันขยับมายืนในจุดที่ห่างจากประตูเข้าออกพอสมควร ขณะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าไปส่วนหนึ่ง แล้วยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาสแกนหน้าปลดล็อกเพื่อเช็กข้อความที่ส่งไป
“เยส!...” ฉันกระทุ้งข้อศอกซ้ายเข้าข้างเอวด้วยความดีใจ แต่ไม่นานริมฝีปากที่หงายอยู่ก็ต้องคว่ำลง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าทุกการนัดเจอก็เป็นแบบนี้ ทว่า…ไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลย ถ้านับคร่าวๆ ก็...ครั้งยี่สิบในรอบสามเดือนได้แล้วมั่ง ความพยายามของฉันนี่มันเลิศที่สุด ป๊ากับม้าต้องภูมิใจแน่
และฉันควรเก็บไว้ดีใจตอนได้เห็นเขามายืนต่อหน้าดีกว่า จะได้ไม่เก้อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เขาที่ฉันกำลังพูดถึงก็คือ คุณพีรกานต์ ภูริศิรินันท์ อายุยี่สิบเจ็ด ทายาทคนเดียวของ พีพีเอ็น บริษัทการเงินเอกชนชื่อดัง แน่นอนว่าเรื่องความหล่อคือที่สุด แถมยังรวยมาก เพอร์เฟกต์ขนาดนี้ก็ต้องเป็นที่หมายปองของสาวน้อย สาวใหญ่ทั้งหลายอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เพลินตา คนนี้ด้วย
ฉันได้เจอเขาครั้งแรกที่งานเลี้ยงของกลุ่มสามหนุ่มฮอตแห่งมหาวิทยาลัย A เพราะเพื่อนรักอย่าง มิณ มิณาริน สาวน้อยผู้อาภัพครอบครัวแต่ไม่อาภัพรัก มันสอยเดือนหนึ่งดวงแห่งวิศวะ อย่างรุ่นพี่ ยูตะ ไปครอบครองได้สำเร็จ เลยทำให้ฉันได้เจอและรู้จักกับบุคคลรอบตัวเขาด้วย
แต่หลังจากวันนั้น ฉันไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้เขาอีกเลย มิณบอกว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก เข้าถึงยากและความหยิ่งคือติดอันดับสูงสุด อีกนิดก็ซุปตาร์ท่านหนึ่งเลยแหละ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันพยายามสืบเสาะและค้นหาข้อมูลของ เอ่อ…จะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะ ซึ่งมิณ เรียกเขาว่า เฮียฟิวส์ ประเด็นคือ ข้อมูลของเขามีน้อย…น้อยแบบน้อยมากๆ จนฉันแทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากชื่อ นามสกุล อายุ แล้วก็ธุรกิจของครอบครัวเขา สุดท้ายทำได้แค่ DM ผ่าน i* ไปเท่านั้น ดีที่เขาไม่บล็อก...
ไม่รับแอด ไม่มีการตอบกลับ แต่อ่าน บางทีฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
และตอนนี้ฉันยังคงชะเง้อมองเข้าไปข้างในทุกครั้งที่ประตูเปิด มีความหวังเล็กๆ ว่าสักคนที่เดินออกมาจะเป็นเขา…แต่จนแล้วจนเล่า จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ไม่มาอีกละ กินแห้วอีกแล้วสินะ” ลมหายใจถูกพ่นทิ้งอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ไม่เป็นไร…ยังมีครั้งหน้า วันนี้เขาอาจจะไม่ว่าง แบบนี้แหละ ถึงเรียกว่าท้าทายของจริง
กลับไปดื่มย้อมใจดีกว่า…
แต่จังหวะที่ฉันทิ้งแรงครึ่งตัวช่วงบนเพื่อดันประตูเข้า มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาดึงประตูหนี
หวืดดดด~~
ส่งผลให้ด้านหน้าของฉันตอนนี้เป็นอากาศที่แสนบางเบา แน่นอนว่ามันไม่สามารถรับร่างกายฉันไว้ได้
ตุบ!!!…โอ๊ย!!
ฉันร้องโอดครวญในตอนที่หน้าคว่ำลงไปนอนกับพื้นทางเดินอย่างหมดสภาพ เปลือกตาปิดลงหลายส่วนเพื่อข่มความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งอายเอาไว้ เพราะมันดันเป็นจังหวะเดียวกับวงดนตรีบนเวทีหยุดเล่นเตรียมพักเบรกพอดิบพอดี เสียงร่างกายกระแทกลงพื้นของฉันเลยเรียกความสนใจจากผู้คนรอบๆ ได้เป็นอย่างดี
แต่โชคยังดีที่วันนี้ใส่กางเกงยีน ไม่งั้นบันเทิงกว่านี้แน่
ขอวาร์ปไปจากตรงนี้เลยได้ไหม…
“ไอ้ห่า มึงไม่รับล่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงอีกคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความอับอายในครั้งนี้
“ไม่ใช่หน้าที่”
ไม่ใช่หน้าที่...? นี่คือคำตอบของสุภาพบุรุษ...? บ้าเอ๊ย!
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ฉันพุ่งจนแทบทะลุกราฟ รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปตะคอกใส่หน้าผู้ชายไร้มารยาทคนนั้นทันที
“รับสักนิดมันจะตายรึไงฮะ!!!” ยังไม่ทันจบประโยค หมอนั่นสะบัดหน้าใส่ฉันพร้อมก้าวเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
“ขอโทษทะ...” และเดือดร้อนไปถึงคนที่มาด้วยต้องเอ่ยแทน
“หึ...!” ฉันแทรกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะในคอ พลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป
“นี่!!” เมื่อส่งเสียงเรียกไม่ได้ผล ฉันจึงเอื้อมคว้าช่วงต้นแขนของคนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวและกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้า
ไม่แน่ใจว่า...เผลอออกแรงมากเกินไปหรือเขาไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงถลาใส่ฉันจนเกือบจะหงายหลัง แต่ยังดีที่เขาทรงตัวได้ก่อนพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงราวกับไม่อยากสัมผัสแตะต้องตัวกัน
ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เสียหลักสักเท่าไหร่ พยุงตัวได้อยู่...
“....” ฉันตวัดมองคนนิสัยไม่ดีอย่างเอาเรื่อง พร้อมจะพ่นชุดคำหยาบใส่แบบรัวๆ
แต่...
ถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นถูกกลืนลงลำคอทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง การควบคุมลมหายใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เท้าเรียวขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล เนื่องจากเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น
และฉันเลิกคิดเรื่องที่จะได้เจอเขาในวันนี้ไปแล้ว
คนตัวสูงตรงหน้า…ที่น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร กลุ่มผมไม่ถึงกับดำสนิทสะเปะสะปะในแบบไม่ถูกเซท มาพร้อมกับการแต่งตัวในมาดหนุ่มเซอร์ เสื้อแจ็คเกตหนังสีดำคลุมทับเชิ้ตขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมจนครบ กางเกงยีนขาดนิดหน่อยคู่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ไม่ได้ขาวหมดจด ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้าจะเป็นแบบไหน ใบหน้าคมเข้มก็ยังเด่นชัดเหมือนเดิม และนี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
ครั้งแรก…ที่ฉันได้เห็นคุณพีรกานต์ในระยะใกล้ชิด
ครั้งแรก…ที่เราอยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว
ในสมองฉันตอนนี้กำลังประมวลผลว่าควรเรียกเขายังไงดี…เรียกแบบมิณได้ไหม แต่มิณบอกเขาไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อเล่น นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท
งั้นเรียกในใจ คงไม่เป็นไรมั่ง…
เสียงถอนหายใจแรงของคุณพีรกานต์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ดวงตาคมฉายแววดุดัน คิ้วเข้มขมวดยุ่ง สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจขั้นสุด
“ใจเย็นก่อน” ผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้นหลังเดินมาหยุดยืนข้างๆ และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เฮียฟิวส์กลับหลังหันแล้วขยับห่างออกไปสักระยะ คล้ายกับไม่อยากใส่ใจ ซึ่งมันไม่ต่างจากที่ฉันกำลังทำใส่เจ้าของประโยคอยู่ตอนนี้เลย
คิดว่าคงเป็นใครสักคนในแก๊ง แต่ไม่ได้อยากสนใจว่าเขาจะเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาฉัน...
“เพลินตา...?”
สุดท้ายฉันจำเป็นต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคุณชายแสนเย้ยหยิ่ง ไปยังบุคคลที่สามตามมารยาท
“อ้อ…คุณหมอนี่เอง”
ฉันพบว่า ผู้ชายที่มีสัมพันธไมตรีอันดี คือ คุณหมอไวน์ นายแพทย์หนุ่มหล่อประจำกลุ่ม ตอนอยู่ด้านในแสงมันไม่ได้เพียงพอจะเห็นหน้าใครชัดเจนถ้าไม่เพ่งมองจริงจัง เราเคยเจอกันหลายครั้งตอนฉันเกิดอุบัติเหตุไปรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา
ดีจัง ที่คุณหมอยังจำฉันได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” นายแพทย์หนุ่มเริ่มทักทายฉันอย่างเป็นทางการ
“ก็ดีแล้วไหมคะ ใครจะไปอยากเจอหมอบ่อยๆ กัน” ฉันตอบกลับทีเล่นทีจริง ก่อนคู่สนทนาจะหัวเราะหึออกมา
ระหว่างนั้นฉันยังลอบมองผู้ชายอีกคนผ่านหางตาเป็นระยะ ไม่นานก็เริ่มมีกลุ่มควันเลือนรางลอยฟุ้งรอบตัวเขา
“แล้วนี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คุณหมอเอ่ยถามพลางไล่สำรวจตามร่างกาย ประหนึ่งว่าฉันเป็นคนไข้
“อ๋อ นิดหน่อยค่ะ…อ๊ะ!” ตอนแรกฉันก็คิดว่าไม่เป็นอะไรจึงตอบไปแบบนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในตอนขยับแขนซ้ายจนหลุดเสียงร้องพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย
“เห่ย! โดนเศษแก้วรึเปล่าวะ ฉันว่าไปทำแผลดีกว่า” คุณหมอไวน์ทำท่าทางตกใจพร้อมกับประคองแขนฉันขึ้นมาดูบาดแผลบริเวณใกล้ๆ ข้อศอกที่มีเลือดไหลซึมออกมา
ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน พอเจอผู้ชายก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น รวมถึงความเจ็บด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพลินกลับไปทำอยู่ห้องเองค่ะ” ดูจากแผลก็ไม่ลึกท่าไหร่ คงแค่ถากๆ น่าจะไม่เป็นอะไรมาก
“แต่ฉันว่า…” คำแย้งของคุณหมอยังไม่ทันจบสมบูรณ์ ก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“กูขึ้นไปก่อนนะ” คุณพีรกานต์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ฉันได้มีโอกาสพินิจใบหน้าฟ้าประทานนั่นอีกครั้ง ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
มีแวบหนึ่งที่ดวงตาเกรี้ยวกราดหลุบมองบาดแผลของฉัน ก่อนจะช้อนขึ้นมองหน้าคุณหมอไวน์ในตอนที่ได้ยินเสียงครางรับ
“เออ!”
ต่อมาเจ้าของใบหน้ายุ่งเหยิงก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตหยิบอะไรสักอย่างออกมาแล้วโยนให้เพื่อนตัวเอง
และฉันเห็นว่าสิ่งที่คุณหมอไวน์รับมาคือรีโมตรถยนต์
“ในเก๊ะหน้ามีที่ทำแผลอยู่”
เสียงปลดล็อกรถดังขึ้นในวินาทีต่อมา เกิดแสงสีส้มกะพริบต่อเนื่องสามครั้ง ส่งผลให้ฉันสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ว่าซูเปอร์คาร์สีขาวนั่นคือรถคู่ใจของคุณพีรกานต์
จากนั้นจึงหันมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน พร้อมหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ได้เจอกันแบบจริงจังสักทีนะคะคุณพีรกานต์
ถือว่าการเจ็บตัวของฉันครั้งนี้ไม่สูญเปล่า
ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีมาก…ของมากที่สุด
ถึงจะไม่รู้เลย...ว่าเขาจะจำฉันได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อ่านข้อความที่ฉันส่งไปบ้างรึเปล่าหรือแค่เปิดเพราะไม่อยากให้มันค้างการแจ้งเตือนเฉยๆ
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง ฉันจะเดินหน้าจีบผู้ชายคนนี้ให้ได้...
[Part Peerakan]ผมใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองมาถึงบ้าน…บ้านขนาดกลาง แต่สำหรับผมมันใหญ่มาก...มากเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว บ้านที่มีครบทุกอย่าง แต่ไม่มีครอบครัว เพราะผมเสียพวกเขาไปจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ทั้งสามคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่หนีไปอยู่สุขสบายพร้อมหน้าและทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่และเลวร้ายครอบครัวเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ก็คือไอ้พวกแม่งนั่นแหละ ถึงจะช่วยให้คลายเหงาได้ ช่วยเหลือได้ในยามจำเป็น แต่มันทดแทนสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย…น่าแปลก…ที่การอยู่คนเดียวมันยิ่งทำให้ผมจมลึกอยู่กับความเจ็บปวด แต่ผมยังชอบการอยู่คนเดียว ชอบความเจ็บปวด ซึ่งนานวันเข้ามันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความชินชาเหตุการณ์หลายอย่างที่ผมอยากจะลืม…มันก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนขึ้น ว่าไม่ควรมีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตผมเลยสักคนพรึ่บบบ!ไฟทั่วทั้งบ้านถูกเปิดอัตโนมัติในตอนที่ผมก้าวขาผ่านวงกบประตู ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ถึงผมจะชอบอยู่คนเดียวแต่ผมไม่ได้ชอบความมืดเลยสักนิดผมเดินตรงขึ้นบันไดมายังชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่โล่งทั้งชั้นไม่มีการกั้นห้อง แต่ท
[Part Plernta]ยอมรับเลยว่าตกอยู่ในอาการช็อกจนทำอะไรไม่ถูกตอนที่เห็นคนถูกปลายขวดเหล้าแหลมคมที่เกิดจากความตั้งใจจ้วงแทงต่อหน้าต่อตา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่ผับของรุ่นพี่ดิน มันมีอยู่บ้างแต่ไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ และฉันคือผู้โชคดี…โชคดีที่ไม่โดนลูกหลง แต่ก็ไม่สามารถสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัวได้เหมือนกันหัวใจเริ่มทำงานหนักขึ้นทันทีที่ฉันหลุบมองมือตัวเองที่ประสานกันบนตัก ณ เวลานั้น ฉันไม่รู้จะตกใจกับอะไรก่อน สมองก็สั่งการช้าซะเหลือเกินยังดีที่เขาไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นทิ้งฉันไว้ตรงนั้น มือเล็กถูกยกขึ้นกระชับเสื้อแจ็คเกตที่คลุมบนไหล่ให้แน่นขึ้น ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจภายในรถหรูอย่างถือวิสาสะ หลังจากเจ้าของหนีไปนั่งสูบบุหรี่อยู่บนกระโปรงท้ายไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสในชาตินี้เลยด้วยซ้ำ กลิ่นเฟรชอ่อนๆที่ปะทะเข้าจมูกจนฉันอดที่จะสูดดมไม่ได้ มันบ่งบอกได้ถึงความสะอาด สดชื่น ไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นอาหารแม้แต่น้อย รู้เลยว่าเขารักและดูแลมันดีมากแค่ไหนแอบอิจฉารถได้ไหม...ฉันหันมองแผ่นหลังกว้างผ่านกระจกด้านหลัง เผลอหลุดยิ้มออกมาซ้ำๆ เพราะอย่างน้อยก็ได้เข้าใกล้เขามากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ในเรื่องราว
[Part Peerakan]สาวน้อยช่างจ้อหันขวับกลับมาหาผม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือถือที่แนบหูในตอนแรกถูกเลื่อนลงข้างลำตัวผมขยับเท้าเข้าหาทิ้งระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอก ทิ้งช่วงต้นแขนพิงผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พินิศหญิงสาวตรงหน้าชัดเจนเต็มสองตา เธอไม่ได้สวยจนสามารถสะกดใครได้ในวินาทีแรก ใบหน้าทรงกลมคล้ายกับอมซาลาเปาสองลูกอยู่ข้างแก้ม ดวงตาเรียวแต่ก็ไม่ถึงกับตี่ ปากนิดจมูกหน่อย ตามสไตล์สาวหมวยที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนโดยแท้ เพียงแต่เธอยังมีความคมเข้มในเรื่องของคิ้วและขนตา นี่คือข้อได้เปรียบไม่งั้น…ก็แม่ชีดีๆ นี่แหละแต่ถ้าโดยรวมก็ถือว่ามองได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ดูเหมือนแก้มป่องๆ นั่นจะเป็นจุดที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ว่ายิ้มโคตรยาก ยังเกือบหลุด…ตอนนี้ผมเห็นรูปหมาตอนนี้ผมเห็นรูปหมาน้อยพันธุ์ปอมเมอเรเนียนหน้ากลมจากการตัดแต่งขนที่ถูกใช้ตั้งโปรไฟล์ มาแทนที่ใบหน้าเธอ เหมือนกันเด๊ะเลย“หืม?” ผมเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มพลางเอียงคอมอง ขณะเร่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเธอใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินไป ส่งผลให้คนถูกทักท้วงสะดุ้งเล็กน้อย“ปะ…เปล่าซะหน่อย” เธอปฏิเสธน้ำเสียงตะกุกตะกัก
วันต่อมา…11:00 น.@ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง“เร็วมึง”เสียงเร่งรัดดังขึ้นพร้อมกับร่างกายฉันถูกลากไปตามหลังเพื่อนรัก ฉันเหลือกตาขึ้นมองบนพลางถอนหายใจแรงด้วยความจำยอม เพราะมันเล่นไปขุดฉันจากที่นอนเพื่อมาช่วยมันเลือกของขวัญสำหรับการจบการศึกษาอย่างเป็นทางการให้แฟนสุดที่รักอย่างรุ่นพี่ยูตะทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด แต่ก็ต้องมา...ไม่นานเราก็พากันเข้ามาในร้านเครื่องแต่งกายบุรุษสุดหรู ซึ่งร้อยวันพันปี คนอย่าง มิณาริน ไม่แม้แต่จะเดินผ่าน แต่เพื่อผู้ชาย มันยอมจ่ายไม่อั้น“ช่วยเลือกหน่อยมึง” มิณพูดขึ้นขณะกระวนกระวายอยู่กับการเลือกเสื้อแจ็คเกต ราคาแพงที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างดี ก่อนที่มันจะหยิบออกมาจากราวแล้วชูขึ้นให้ฉันช่วยพิจารณา“ก็ดี แต่กูว่าสีอ่อนไปหน่อย” ฉันว่าพลางหันไปหยิบอีกตัวที่สีน้ำตาลเข็มขึ้นมาอีกเฉดเพื่อนรักเลื่อนปลายนิ้วชี้ขึ้นไปแตะที่ขมับตัวเองหลายครั้งขณะใช้ความคิด แถมยังกลอกตามองเสื้อสองตัวสลับกันไปมา และท้ายที่สุดมันก็คว้าอีกตัวซึ่งสีเข้มขึ้นไปอีก“งั้นตัวนี้ดีกว่ามะ”“ดีเลย” ฉันตอบพร้อมยัดตัวในมือเข้าที่เดิม“ทำไมมึงไม่ซื้อเนกไท กูเห็นเขาชอบให้กัน” ฉันถาม หลังจากเราพา
“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง“ก็มึงเป็นคนเปิดประตู” แต่มันตอกกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า พร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า คงเพื่ออรรถรสหรืออะไรสักอย่างของแม่ง“ประตูมันก็บอกชัดเจน ฝั่งไหนเข้า ฝั่งไหนออก” ผมกดเสียงต่ำในการชี้แจงขณะโน้มตัวเข้าหามันเช่นกัน“ก็ใช่ไง”ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากทันที แน่นอนว่ามันเถียงไม่ออก แต่ประโยคต่อมานี่สิ…ส่งผลให้หน้าผมกลับมาตึงเปรี๊ยะ“แต่มึงเปิดผิดฝั่ง!”“....” นั่นเป็นตอนที่ผมเงียบและดึงตัวกลับไปแนบชิดพนักพิงเหมือนเดิม พลางคิดตามสิ่งที่ไอ้หมอไวน์พูด ใช่เหรอวะ…ผมคิดว่าผมเปิดถูกฝั่งแล้วนะ มันพลาดตอนไหนกัน?“เหอะ! ทีนี้ทำนิ่ง” ไอ้ยูตะเสริม“แล้วจะกูทำไง ก็มันเกิดไปแล้ว” ผมโพล่งออกไปอย่างคนถูกต้อนจนมุม“ขอโทษไง พูดเป็นไหม” ไอ้วาโยว่า ก่อนที่ทุกคนจะพากันโคลงศีรษะอย่างเอือมระอานี่มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ ยังกะผมไปทำใครตายอย่างงั้นแหละ[Part Plernta]@คอนโด Gหลังจากที่เฮียฟิวส์เดินกลับขึ้นไป คุณหมอไวน์ก็โทรหารุ่นพี่ยูตะ เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนรักของฉันก็เลยรีบวิ่งแจ้นลงมาภายในไม่กี่นาที ราวกับหายตัวได้ก็ไม่ปาน มีเพื่อนเป็นอีมิณ ก็ดีแบบนี้แหละ…มันไม่มีทางปล่อยฉันไว้คนเดี
[Part Peerakan]@ห้อง VVIPผมกระแทกตัวลงบนโซฟาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด พลางหยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูแชทของใครบางคนที่ DM หาผมทุกวัน น่าจะสักระยะหนึ่งได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน ถ้าบอกว่าไม่อ่านเลยก็ดูจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป อ่านแค่ผ่านๆ อันนี้พอรับได้ คิดแค่ว่าเดี๋ยวเธอก็เลิกส่งไปเอง ถ้าผมไม่ตอบกลับ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น ไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนอดทนได้นานสักคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเธอคนนี้…ปลายนิ้วไล่ข้อความขึ้นไปรัวๆ ใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าผมเจอข้อความที่ต้องการ ส่งมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ…ถ้าตอนเรียนหมั่นเพียรเท่านี้เธอคงได้เป็นดอกเตอร์ ในอนาคตแน่[ฉันคือเพลินตา ฉันอยากรู้จักคุณ]เพลินตา…ใช่จริงๆ เป็นยัยซุ่มซ่ามที่เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือคนนั้น ว่าแต่ยุคนี้ยังมีผู้หญิงใช้ประโยคแนะนำตัวแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ นึกว่าก๊อบปี้ข้อความที่แปลมาจากกูเกิ้ลทรานสเลทและเพราะโปรไฟล์ถูกตั้งเป็นรูปหมาน้อย ก็เลยไม่รู้ในทันทีว่าเป็นเธอ แค่รู้สึกว่าคุ้นชื่อ…แต่ที่ไม่รู้คือเธอเป็นเพื่อนกับหนึ่งในบรรดนายหญิงของแก๊ง เนื่องจากผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงจึงไม่ได้ให้ความสนใจคนรอบตัวเท่าไหร่นักความมั่นใจผมเพิ่มขึ
Mga Comments