ตั้งแต่สูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักในวัยเด็ก เขาก็ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเจ็บปวด จนมาเจอเธอ เด็กสาวผู้สดใส ร่าเริง โลกของเขาก็เปลี่ยนไป และเธอยังนำพาเขากลับสู่ความทรงจำที่หลงลืมไปหลายปีอีกด้วย
ดูเพิ่มเติม[Part Plernta]
22:25 น.
@Sosay Pub
“มึง ไปหน้าเวทีกัน”
“ไปก่อนเลย” ฉันตะเบ็งเสียงไม่แตกต่าง แข่งกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มอัดหู พลางละสายตาจากหน้าจอมือถือ ช้อนขึ้นมองสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนอยู่ข้างๆ ไหล่เล็กของคนเอ่ยชวนไหวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโยกย้ายร่างกายพลิ้วไหวไปสมทบกับเดอะแก๊งด้านหน้าเวที เธอคือ ลูกน้ำ เพื่อนร่วมคณะและสมาชิกคนสำคัญประจำกลุ่มสายปาร์ตี้
จากนั้นฉันหันกลับมาที่แก้วบนโต๊ะซึ่งมีแอลกอฮอล์เหลือไม่ถึงครึ่ง แล้วยกมันขึ้นกรอกปากจนหมดในคราวเดียว ก่อนจะวางคืนตำแหน่งเดิมพร้อมกระโดดลงจากเก้าอี้ตัวสูงมายืนบนพื้น
“มาทำอะไรกันเยอะแยะวะ”
หมดเวลาไปเกือบห้านาทีเลย กว่าฉันจะพาร่างกายฝ่ากลางฝูงชนมากมายออกมาอยู่หน้าผับได้สำเร็จ
นี่ขนาดอยู่แค่ช่วงกลางร้านนะ…ยังรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
ฉันขยับมายืนในจุดที่ห่างจากประตูเข้าออกพอสมควร ขณะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนเข้าไปส่วนหนึ่ง แล้วยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาสแกนหน้าปลดล็อกเพื่อเช็กข้อความที่ส่งไป
“เยส!...” ฉันกระทุ้งข้อศอกซ้ายเข้าข้างเอวด้วยความดีใจ แต่ไม่นานริมฝีปากที่หงายอยู่ก็ต้องคว่ำลง เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าทุกการนัดเจอก็เป็นแบบนี้ ทว่า…ไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลย ถ้านับคร่าวๆ ก็...ครั้งยี่สิบในรอบสามเดือนได้แล้วมั่ง ความพยายามของฉันนี่มันเลิศที่สุด ป๊ากับม้าต้องภูมิใจแน่
และฉันควรเก็บไว้ดีใจตอนได้เห็นเขามายืนต่อหน้าดีกว่า จะได้ไม่เก้อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เขาที่ฉันกำลังพูดถึงก็คือ คุณพีรกานต์ ภูริศิรินันท์ อายุยี่สิบเจ็ด ทายาทคนเดียวของ พีพีเอ็น บริษัทการเงินเอกชนชื่อดัง แน่นอนว่าเรื่องความหล่อคือที่สุด แถมยังรวยมาก เพอร์เฟกต์ขนาดนี้ก็ต้องเป็นที่หมายปองของสาวน้อย สาวใหญ่ทั้งหลายอยู่แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เพลินตา คนนี้ด้วย
ฉันได้เจอเขาครั้งแรกที่งานเลี้ยงของกลุ่มสามหนุ่มฮอตแห่งมหาวิทยาลัย A เพราะเพื่อนรักอย่าง มิณ มิณาริน สาวน้อยผู้อาภัพครอบครัวแต่ไม่อาภัพรัก มันสอยเดือนหนึ่งดวงแห่งวิศวะ อย่างรุ่นพี่ ยูตะ ไปครอบครองได้สำเร็จ เลยทำให้ฉันได้เจอและรู้จักกับบุคคลรอบตัวเขาด้วย
แต่หลังจากวันนั้น ฉันไม่เคยได้เฉียดเข้าใกล้เขาอีกเลย มิณบอกว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาก เข้าถึงยากและความหยิ่งคือติดอันดับสูงสุด อีกนิดก็ซุปตาร์ท่านหนึ่งเลยแหละ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันพยายามสืบเสาะและค้นหาข้อมูลของ เอ่อ…จะเรียกเขาว่าอะไรดีล่ะ ซึ่งมิณ เรียกเขาว่า เฮียฟิวส์ ประเด็นคือ ข้อมูลของเขามีน้อย…น้อยแบบน้อยมากๆ จนฉันแทบไม่รู้อะไรเลย นอกจากชื่อ นามสกุล อายุ แล้วก็ธุรกิจของครอบครัวเขา สุดท้ายทำได้แค่ DM ผ่าน i* ไปเท่านั้น ดีที่เขาไม่บล็อก...
ไม่รับแอด ไม่มีการตอบกลับ แต่อ่าน บางทีฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าเขาคิดอะไรอยู่
และตอนนี้ฉันยังคงชะเง้อมองเข้าไปข้างในทุกครั้งที่ประตูเปิด มีความหวังเล็กๆ ว่าสักคนที่เดินออกมาจะเป็นเขา…แต่จนแล้วจนเล่า จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ไม่มาอีกละ กินแห้วอีกแล้วสินะ” ลมหายใจถูกพ่นทิ้งอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ไม่เป็นไร…ยังมีครั้งหน้า วันนี้เขาอาจจะไม่ว่าง แบบนี้แหละ ถึงเรียกว่าท้าทายของจริง
กลับไปดื่มย้อมใจดีกว่า…
แต่จังหวะที่ฉันทิ้งแรงครึ่งตัวช่วงบนเพื่อดันประตูเข้า มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาดึงประตูหนี
หวืดดดด~~
ส่งผลให้ด้านหน้าของฉันตอนนี้เป็นอากาศที่แสนบางเบา แน่นอนว่ามันไม่สามารถรับร่างกายฉันไว้ได้
ตุบ!!!…โอ๊ย!!
ฉันร้องโอดครวญในตอนที่หน้าคว่ำลงไปนอนกับพื้นทางเดินอย่างหมดสภาพ เปลือกตาปิดลงหลายส่วนเพื่อข่มความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งอายเอาไว้ เพราะมันดันเป็นจังหวะเดียวกับวงดนตรีบนเวทีหยุดเล่นเตรียมพักเบรกพอดิบพอดี เสียงร่างกายกระแทกลงพื้นของฉันเลยเรียกความสนใจจากผู้คนรอบๆ ได้เป็นอย่างดี
แต่โชคยังดีที่วันนี้ใส่กางเกงยีน ไม่งั้นบันเทิงกว่านี้แน่
ขอวาร์ปไปจากตรงนี้เลยได้ไหม…
“ไอ้ห่า มึงไม่รับล่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามด้วยเสียงอีกคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความอับอายในครั้งนี้
“ไม่ใช่หน้าที่”
ไม่ใช่หน้าที่...? นี่คือคำตอบของสุภาพบุรุษ...? บ้าเอ๊ย!
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ฉันพุ่งจนแทบทะลุกราฟ รีบดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปตะคอกใส่หน้าผู้ชายไร้มารยาทคนนั้นทันที
“รับสักนิดมันจะตายรึไงฮะ!!!” ยังไม่ทันจบประโยค หมอนั่นสะบัดหน้าใส่ฉันพร้อมก้าวเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
“ขอโทษทะ...” และเดือดร้อนไปถึงคนที่มาด้วยต้องเอ่ยแทน
“หึ...!” ฉันแทรกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะในคอ พลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป
“นี่!!” เมื่อส่งเสียงเรียกไม่ได้ผล ฉันจึงเอื้อมคว้าช่วงต้นแขนของคนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวและกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้า
ไม่แน่ใจว่า...เผลอออกแรงมากเกินไปหรือเขาไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงถลาใส่ฉันจนเกือบจะหงายหลัง แต่ยังดีที่เขาทรงตัวได้ก่อนพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงราวกับไม่อยากสัมผัสแตะต้องตัวกัน
ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เสียหลักสักเท่าไหร่ พยุงตัวได้อยู่...
“....” ฉันตวัดมองคนนิสัยไม่ดีอย่างเอาเรื่อง พร้อมจะพ่นชุดคำหยาบใส่แบบรัวๆ
แต่...
ถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นถูกกลืนลงลำคอทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง การควบคุมลมหายใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เท้าเรียวขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล เนื่องจากเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น
และฉันเลิกคิดเรื่องที่จะได้เจอเขาในวันนี้ไปแล้ว
คนตัวสูงตรงหน้า…ที่น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร กลุ่มผมไม่ถึงกับดำสนิทสะเปะสะปะในแบบไม่ถูกเซท มาพร้อมกับการแต่งตัวในมาดหนุ่มเซอร์ เสื้อแจ็คเกตหนังสีดำคลุมทับเชิ้ตขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมจนครบ กางเกงยีนขาดนิดหน่อยคู่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ไม่ได้ขาวหมดจด ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้าจะเป็นแบบไหน ใบหน้าคมเข้มก็ยังเด่นชัดเหมือนเดิม และนี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
ครั้งแรก…ที่ฉันได้เห็นคุณพีรกานต์ในระยะใกล้ชิด
ครั้งแรก…ที่เราอยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว
ในสมองฉันตอนนี้กำลังประมวลผลว่าควรเรียกเขายังไงดี…เรียกแบบมิณได้ไหม แต่มิณบอกเขาไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อเล่น นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท
งั้นเรียกในใจ คงไม่เป็นไรมั่ง…
เสียงถอนหายใจแรงของคุณพีรกานต์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ดวงตาคมฉายแววดุดัน คิ้วเข้มขมวดยุ่ง สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจขั้นสุด
“ใจเย็นก่อน” ผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้นหลังเดินมาหยุดยืนข้างๆ และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เฮียฟิวส์กลับหลังหันแล้วขยับห่างออกไปสักระยะ คล้ายกับไม่อยากใส่ใจ ซึ่งมันไม่ต่างจากที่ฉันกำลังทำใส่เจ้าของประโยคอยู่ตอนนี้เลย
คิดว่าคงเป็นใครสักคนในแก๊ง แต่ไม่ได้อยากสนใจว่าเขาจะเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาฉัน...
“เพลินตา...?”
สุดท้ายฉันจำเป็นต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคุณชายแสนเย้ยหยิ่ง ไปยังบุคคลที่สามตามมารยาท
“อ้อ…คุณหมอนี่เอง”
ฉันพบว่า ผู้ชายที่มีสัมพันธไมตรีอันดี คือ คุณหมอไวน์ นายแพทย์หนุ่มหล่อประจำกลุ่ม ตอนอยู่ด้านในแสงมันไม่ได้เพียงพอจะเห็นหน้าใครชัดเจนถ้าไม่เพ่งมองจริงจัง เราเคยเจอกันหลายครั้งตอนฉันเกิดอุบัติเหตุไปรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา
ดีจัง ที่คุณหมอยังจำฉันได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” นายแพทย์หนุ่มเริ่มทักทายฉันอย่างเป็นทางการ
“ก็ดีแล้วไหมคะ ใครจะไปอยากเจอหมอบ่อยๆ กัน” ฉันตอบกลับทีเล่นทีจริง ก่อนคู่สนทนาจะหัวเราะหึออกมา
ระหว่างนั้นฉันยังลอบมองผู้ชายอีกคนผ่านหางตาเป็นระยะ ไม่นานก็เริ่มมีกลุ่มควันเลือนรางลอยฟุ้งรอบตัวเขา
“แล้วนี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คุณหมอเอ่ยถามพลางไล่สำรวจตามร่างกาย ประหนึ่งว่าฉันเป็นคนไข้
“อ๋อ นิดหน่อยค่ะ…อ๊ะ!” ตอนแรกฉันก็คิดว่าไม่เป็นอะไรจึงตอบไปแบบนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในตอนขยับแขนซ้ายจนหลุดเสียงร้องพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย
“เห่ย! โดนเศษแก้วรึเปล่าวะ ฉันว่าไปทำแผลดีกว่า” คุณหมอไวน์ทำท่าทางตกใจพร้อมกับประคองแขนฉันขึ้นมาดูบาดแผลบริเวณใกล้ๆ ข้อศอกที่มีเลือดไหลซึมออกมา
ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน พอเจอผู้ชายก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น รวมถึงความเจ็บด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพลินกลับไปทำอยู่ห้องเองค่ะ” ดูจากแผลก็ไม่ลึกท่าไหร่ คงแค่ถากๆ น่าจะไม่เป็นอะไรมาก
“แต่ฉันว่า…” คำแย้งของคุณหมอยังไม่ทันจบสมบูรณ์ ก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“กูขึ้นไปก่อนนะ” คุณพีรกานต์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ฉันได้มีโอกาสพินิจใบหน้าฟ้าประทานนั่นอีกครั้ง ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
มีแวบหนึ่งที่ดวงตาเกรี้ยวกราดหลุบมองบาดแผลของฉัน ก่อนจะช้อนขึ้นมองหน้าคุณหมอไวน์ในตอนที่ได้ยินเสียงครางรับ
“เออ!”
ต่อมาเจ้าของใบหน้ายุ่งเหยิงก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตหยิบอะไรสักอย่างออกมาแล้วโยนให้เพื่อนตัวเอง
และฉันเห็นว่าสิ่งที่คุณหมอไวน์รับมาคือรีโมตรถยนต์
“ในเก๊ะหน้ามีที่ทำแผลอยู่”
เสียงปลดล็อกรถดังขึ้นในวินาทีต่อมา เกิดแสงสีส้มกะพริบต่อเนื่องสามครั้ง ส่งผลให้ฉันสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ว่าซูเปอร์คาร์สีขาวนั่นคือรถคู่ใจของคุณพีรกานต์
จากนั้นจึงหันมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน พร้อมหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ได้เจอกันแบบจริงจังสักทีนะคะคุณพีรกานต์
ถือว่าการเจ็บตัวของฉันครั้งนี้ไม่สูญเปล่า
ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีมาก…ของมากที่สุด
ถึงจะไม่รู้เลย...ว่าเขาจะจำฉันได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อ่านข้อความที่ฉันส่งไปบ้างรึเปล่าหรือแค่เปิดเพราะไม่อยากให้มันค้างการแจ้งเตือนเฉยๆ
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง ฉันจะเดินหน้าจีบผู้ชายคนนี้ให้ได้...
“...” ฉันสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นสายตาพิฆาตของ คุณพีรกานต์ สายตาเขาดุดันมากขึ้น คิ้วเลื่อนเข้าชนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออกเลยแหละ มีวูบหนึ่งที่ฉันเห็นเขาแอบส่งสัญญาณให้ฉันรีบออกไปจากตรงนี้แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ไง…เพราะคุณเจนิสา เธอยังปรายตามองฉันตลอด และพอฉันไม่ทำตาม เขาก็ยิ่งดูเหมือนโมโหมากขึ้นมีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะ ที่รู้ว่าเขากำลังโกรธ โดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้“ฉันอยากรู้ว่าเกณฑ์ตัดสินคืออะไรคะ มีการใช้เส้นสายรึเปล่า” คุณเจนิสาหันไปยิงคำถามกับท่านประธาน แต่กลับปิดจบประโยคด้วยการเอียงคอมองทายาทเพียงคนเดียวคุณพีรกานต์รีบละสายตาจากฉัน ไปหาคนตั้งคำถามในทันทีฉันไม่แน่ใจว่าคุณเจนิสาใช้สายตาแบบไหน เพราะเธอนั่งหันหลังให้ แต่ที่ชัดเจนคือสายตาของคุณพีรกานต์ เขาจ้องเธอด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดปกติมันไม่ใช่สายตาของพนักงานมองลูกค้า ถึงเขาจะตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็ไม่สมควร“คะ?” เป็นท่านประธานที่ดึงความสนใจจากคุณเจนิสากลับมาได้“อ้อ พอดี ฉันแค่กังวลเรื่องคุณภาพของงานน่ะค่ะ” เธออธิบาย โดยใช
@พีพีเอ็นอาทิตย์ต่อมา...De.FiEw : ก่อนกลับDe.FiEw : อย่าลืมไปแวะเอาเค้กที่ร้านฉันอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือการแวะไปเอาเค้กที่ร้านหน้าบริษัท กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่ต้องทำทุกเย็นก่อนกลับบ้านเรื่องราวระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่คุยกัน ทว่าในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ไม่…ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างคล้ายกับตอนนี้เราอยู่ในช่วง คนคุย หรือ กำลังศึกษาดูใจ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสอง ไม่รู้สิ เขาเองก็ไม่เคยระบุ ว่าฉันจัดอยู่ในโหมดไหนแต่ถ้าถามฉัน เทให้เขาไปแล้วหมดหน้าตัก…ผลจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่แฮปปี้และอยากจะให้โลกหมุนไปถึงวันสุดท้ายโดยเร็ว กลับกันมันดันเป็นที่เดียวที่จะให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ด้วยการแอบมองเล็ก ๆ น้อย ๆส่วนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว แบบสัมผัสจับต้อง ลืมไปได้เลย กล
ไม่นานภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้น หลอดยาถูกปิดฝาอย่างดีและเก็บใส่ถุงตามเดิม“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้…” เขาพูดขณะเอนหลังเล็กน้อย เพื่อมองหน้าฉัน“รู้ค่ะ แต่เราโทรคุยกันได้อยู่ใช่ไหม”“อือ”“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” สำหรับฉัน แค่เรายังติดต่อกันอยู่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันสบายใจทั้งนั้นก๊อกๆๆฉันสะดุ้งโหย่ง หันไปมองตำแหน่งของเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีคนเคาะประตูจากด้านนอก และหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นจากเฮียฟิวส์เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ยกแขนออก นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันดึงเสื้อเขาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปคลายล็อกลูกบิดเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือน“เห่ย…!” เจ้าของผับเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ“....” ฉันสะดุ้งอีกครั้ง วันนี้วิญญาณฉันคงไม่กลับเข้าร่างง่ายๆ หรอกแน่นอนว่าฉันไม่ได้ถูกระบุให้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ อีกอย่างรุ่นพี่ดินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ รวมถึงไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราด้วยเขาจ้องฉันตาเขม็ง
เท้าเรียวก้าวเดินมาหยุดทางฝั่งขวามือของเขา สะกิดให้ร่างหนาขยับหันหลังมาทางขอบข้างบริเวณที่พักแขนของโซฟาจับปกเสื้อร่นลงด้านหลัง แต่ด้วยความที่กระดุมถูกปลดไว้แค่เม็ดเดียว มันไม่กว้างพอให้เห็นชัดทั้งหมด“เฮีย ปลดกระดุมอีกเม็ดหนึ่งค่ะ”“ปลดเองสิ”ให้มันได้ยังงี้สิ…ไม่เคยจะยอมให้ความร่วมมือกับอะไรสักอย่างจริงๆฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหย่อนก้นลงบริเวณขอบที่พักแขนของโซฟาแบบหมิ่นเหม่เอื้อมมือไปจับสาบกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาแต่ยังไม่ทันได้ปลดออกวินาทีต่อมาการกระทำทุกอย่างของฉันถูกสั่งให้หยุดชะงัก เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขวาพาดมาบนตักอย่างเชื่องช้า เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยตอนขยับฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่คิดอะไรที่มันอยู่ในสุ่มเสี่ยงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไร…แต่ทำไมใจสั่น คอแห้ง ก็ไม่รู้ การกระทำทั้งหมดอยู่บนความล่อแหลมและยังถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่คมตลอดเวลาฉันจึงเลื่อนมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่อยากเห็นส่วนที่อยู่ภายใต้กระดุมเม็ดนี้ ใจฉันอยู
[Part Plernta]“เพลินก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เฮียรู้ไว้ด้วย ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่าย….” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ประโยคถูกทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตากับผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมากที่สุดในตอนนี้ หัวคิ้วของเขามุ่นขึ้นมาเล็กน้อยฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่าเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้ง“ป่านนี้เพลินก็….” แต่ยังไม่ทันจบ...ฉันหยุดพูดกะทันหันด้วยความตกใจ เมื่อเฮียฟิวส์เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยฉันเข้าหา จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน สายตาคู่คมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับเขากำลังควานหาบางอย่างในนั้น ร่างกายฉันแข็งทื่อเสมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน การหายใจที่ดูเบสิกกลายเป็นเรื่องยากในพริบตา“ก็อะไร” สายตายังสอดประสานขณะเขาเอ่ยถาม ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปพร้อมกับแรงกระชากก่อนหน้าให้กลับเข้าร่าง พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ถูกบังคับให้หันกลับมาด้วยนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่ข้างแก้ม“หืม…” การเร่งรัดเอาคำตอบเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม“ก็…คงทำ…”คำพูดของฉันขาดช่วงไม่จบประโยค ส่วนที่เหลือถูก
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังต่อเนื่องก่อนจะมาหยุดขนาบข้างโซฟาที่ผมนั่ง ส่งผลให้ผมปรายตามองรองเท้าส้นสูงสีดำ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน แน่นอนว่าไม่มีผู้หญิงของใครที่จะเข้ามาแบบไม่ทักทายเสียรู้ให้ไอ้พวกเวรนั้นจนได้ ถึงว่า…ทำไมอยากให้ออกมาขนาดนั้น“ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต” เสียงหวานคุ้นหูเอื้อนเอ่ยแสดงความรู้สึกผิด ที่ไม่ได้รู้สึกผิดจริง มันเป็นการเริ่มต้นประโยคตามมารยาทเท่านั้น“....” และผมยังเอาแต่ก้มหน้าเงียบ อยู่ท่าเดิม การที่คนในความคิดออกมาปรากฏตัวต่อหน้าในเวลาที่ผมยังไม่พร้อม ดูเป็นอะไรที่ฉุกละหุกเกินไป ผมยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอตอนนี้ไม่สิ…ความจริงมันมีอย่างหลาย แต่แค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเรียวขาเล็กค่อยๆ ก้าวผ่านหน้าผมและหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเดียวกับผมที่ว่างด้านซ้าย“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเพลินไว้ นี่ค่ะ..ยา” พูดจบถุงกระดาษใบเล็กก็ถูกวางบนโต๊ะ“....” ผมเหลือกตาขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะหลุบโฟกัสปลายเท้าตัวเองตามเดิม ไม่อยากมองหน้าเธอเพราะกลัวใจตั
ความคิดเห็น