LOGINวันต่อมา…
11:00 น.
@ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
“เร็วมึง”
เสียงเร่งรัดดังขึ้นพร้อมกับร่างกายฉันถูกลากไปตามหลังเพื่อนรัก ฉันเหลือกตาขึ้นมองบนพลางถอนหายใจแรงด้วยความจำยอม เพราะมันเล่นไปขุดฉันจากที่นอนเพื่อมาช่วยมันเลือกของขวัญสำหรับการจบการศึกษาอย่างเป็นทางการให้แฟนสุดที่รักอย่างรุ่นพี่ยูตะ
ทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด แต่ก็ต้องมา...
ไม่นานเราก็พากันเข้ามาในร้านเครื่องแต่งกายบุรุษสุดหรู ซึ่งร้อยวันพันปี คนอย่าง มิณาริน ไม่แม้แต่จะเดินผ่าน แต่เพื่อผู้ชาย มันยอมจ่ายไม่อั้น
“ช่วยเลือกหน่อยมึง” มิณพูดขึ้นขณะกระวนกระวายอยู่กับการเลือกเสื้อแจ็คเกต ราคาแพงที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างดี ก่อนที่มันจะหยิบออกมาจากราวแล้ว
ชูขึ้นให้ฉันช่วยพิจารณา
“ก็ดี แต่กูว่าสีอ่อนไปหน่อย” ฉันว่าพลางหันไปหยิบอีกตัวที่สีน้ำตาลเข็มขึ้นมาอีกเฉด
เพื่อนรักเลื่อนปลายนิ้วชี้ขึ้นไปแตะที่ขมับตัวเองหลายครั้งขณะใช้ความคิด แถมยังกลอกตามองเสื้อสองตัวสลับกันไปมา และท้ายที่สุดมันก็คว้าอีกตัวซึ่งสีเข้มขึ้นไปอีก
“งั้นตัวนี้ดีกว่ามะ”
“ดีเลย” ฉันตอบพร้อมยัดตัวในมือเข้าที่เดิม
“ทำไมมึงไม่ซื้อเนกไท กูเห็นเขาชอบให้กัน” ฉันถาม หลังจากเราพากันเดินมาถึงหน้าเคาน์เตอร์พอดี มันยื่นเสื้อแจ็คเกตที่ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนแล้วให้พนักงานคิดเงิน ก่อนจะหันมาตอบ
“เฮียยูไม่ค่อยได้ใช้ แจ็คเกตน่าจะได้ใส่บ่อยกว่า”
ฉันพยักหน้าเข้าใจ แล้วจึงปลีกตัวออกมาเดินดูรอบๆ ร้าน ระหว่างรอเพื่อนจ่ายเงิน ฉันจะมีวาสนามาซื้ออะไรแบบนี้ให้แฟนเหมือนคนอื่นเขาบ้างไหมนะ
ถ้าไม่ลดไทป์ความเพอร์เฟกต์ลงมาบ้าง ชาตินี้จะได้มีแฟนรึเปล่าก็ไม่รู้ ใฝ่สูงฉิบ รู้สึกเหมือนหมามองเครื่องบินเลย
“มองอะไรวะ” มิณถามพลางแหงนขึ้นมองเพดานตามฉันด้วยความสงสัย ฉันเหล่มองมันเล็กน้อยก่อนจะขยับปากตอบ
“เครื่องบิน”
เพื่อนรักทำหน้างงพลางยกมือเกาหัวแกรกๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันเดินออกจากร้าน
อยากรู้ไปซะทุกเรื่องจริงๆ
ไม่นานมันก็เร่งฝีเท้าขึ้นมาขนาบข้างพร้อมยกแขนกอดคอฉัน
“มึงวันนี้มีงานเลี้ยงนะ ที่สระน้ำชั้นเจ็ด”
ฉันหยุดชะงัก เลิกคิ้วสูงมองหน้าคู่หู “งานเลี้ยง?”
“อือ เลี้ยงเรียนจบของสามเฮียไง” เป็นคำตอบที่พอเข้าใจได้อยู่ เพราะน้อยนักที่มิณจะพูดถึงงานเลี้ยง ปาร์ตี้หรือสถานที่อโคจร แต่…มันทำพาร์ทไทม์ที่นั่น ผับของรุ่นพี่ดิน
“บอกกู?” ฉันชี้ปลายนิ้วเข้าหาตัวเอง ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่มันบอกฉันอยู่ดี ปกติงานเลี้ยงของพวกเขาคนนอกไม่มีสิทธิ์เข้าอยู่แล้ว
“ก็ใช่สิ เห็นว่ากูบอกหมาเหรอ” แต่ละคำที่ออกมาจากปากนี่ดีๆทั้งนั้น
“หารถกลับเองละกัน” ฉันว่าพลางจะก้าวเดินต่อ แต่มันรั้งแขนฉันไว้ก่อน
“หยอกๆๆ เฮียยูให้ชวนมึงไปด้วย”
“จริงดิ!” ฉันตาลุกวาวพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนรัก อารมณ์เปลี่ยนในชั่วพริบตา กลายเป็นเทิดทูนมิณารินสุดชีวิต จะด่าว่าอะไรก็ยอม...
“เก็บอาการหน่อยมะ กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรอยู่” มันพูดดักอย่างรู้ทัน ขณะก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ฉันก็ไม่เถียงนะ เพราะโอกาสที่จะได้เจอเขามันไม่ได้มีบ่อยๆ
“ว่าแต่งานของพวกเขา มีคนนอกไปได้ด้วยเหรอ”
“ได้สิ ก็พวกเพื่อนๆ น้องๆ ที่มอก็ไปกันเยอะอยู่” คำตอบของมิณทำให้ฉันถึงบางอ้อทันที
ความจริงคือไม่ได้มีสิทธิพิเศษเหนือไปกว่าใครแต่เพราะมันเป็นงานที่เขาตั้งใจจัดให้มีคนอื่นเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไป…
“งั้นกลับกันเถอะ กูต้องไปเลือกชุด” คราวนี้เป็นฉันแล้วที่ลากตัวมันไปยังลานจอดรถ ถึงจะอยู่ในสายตาหรือไม่อยู่ก็ต้องสวยไว้ก่อน
21:35 น.
@Sosay Pub
เสียงเอะอะอึกทึกของเพลงแดนซ์ดังออกมาจากลำโพงที่ตั้งขนาบสองข้างเวทีขนาดย่อมหัวมุมสระน้ำขนาดใหญ่บนดาดฟ้าของผับสุดหรูใจกลางเมือง โดยมีดีเจสาวสวยสุดเซ็กซี่โยกย้ายร่างกายควบคุมโทนเสียงอยู่ตลอดเวลา เครื่องดื่มและอาหารถูกจัดเตรียมไว้ไม่อั้น ต่างถูกอกถูกใจของผู้คนที่ได้รับเชิญเป็นอย่างมาก ซึ่งฉันก็คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาอยู่แล้ว มีแต่กลุ่มฮอตๆ ในมหาลัยทั้งนั้น แต่น้อยกว่าที่คิดไว้เยอะเลย รวมกันอยู่นี่ไม่ถึงสามสิบคนด้วยซ้ำ
ฉันนั่งเท้าค้างมองเหล่าผีเสื้อราตรีที่แหวกว่ายเข้าหาแสงวิบวับอยู่กลางสระน้ำด้วยท่าทางเหงาหงอย เพราะมิณต้องไปเคลียร์งานก่อน ส่วนบรรดาเจ้าภาพก็ต้องตอนรับแขกอย่างเต็มที่
อีกอย่างฉันนั่งรอมาเกือบชั่วโมงละ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ตั้งใจจะมาเจอเลย
ฉันลากสายตากลับมาจ้องน้ำสีเหลืองอำพันซึ่งเคลื่อนตัวอยู่ในแก้วจากการแกว่งไปมา ลมหายใจถูกพ่นยาวผ่านปลายจมูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การรอคอยนี่มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยเนอะ
ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่ฉันเอาแต่เฝ้ารอเขา…
“หงอยอะไรขนาดนั้น”
เสียงทักทายที่ดังอยู่ในระยะประชิดทำฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
“คะ…คุณหมอ” ถึงฉันจะเอ่ยเรียกเจ้าของเสียง แต่สายตากลับเหลือบมองไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา แวบหนึ่งชายผู้นั้นหลุบมองบริเวณบาดแผลของฉันซึ่งมีผ้าก๊อซอันเล็กแปะไว้ ก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พลางยกแก้วในมือขึ้นดื่ม
วันนี้คุณพีรกานต์มาในลุคหม่นๆ เชิ้ตสีเข้มดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่เสื้อผ้าไม่ได้มีผลกับรูปร่างและหน้าตาเขาเลยสักนิด
และฉันจะประหม่าทุกครั้งที่เจอเขาเลยรึไงนะ...
“ทำหน้าเหมือนอยู่วันเช็งเม้งเลย”
เสียงแซวจากใครบางคนทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันเริ่มเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่มีแค่คุณหมอไวน์และเฮียฟิวส์ แต่ฝั่งซ้ายมือฉันยังมีคู่ของคุณวาโยกับคู่ของคุณแม็กซ์ด้วย ผู้ชายทั้งสองฉันรู้จักและเคยได้คุยด้วยบ้างตอนไปออกค่ายจิตอาสาเมื่อปีก่อน แต่ผู้หญิงของเขาทั้งสองนี่สิ…ไม่รู้จักเลย
ส่วนเจ้าของประโยคนั้นคือคุณวาโย
“คนนี้เหรอคะ เพื่อนมิณ” ผู้หญิงที่ยืนข้างคุณวาโยชี้มาทางฉันพลางเอ่ยถามแฟนตัวเอง
คุณวาโยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้คุณหมอไวน์ เหมือนส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
“เชื่อกูยังล่ะ” คุณหมอไวน์ถามกลับ
“เออ มึงเก่ง”
ฉันขมวดคิ้วมองสองคนนี้สลับไปมาด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน ทุกคนทำหน้าเหมือนมีลับลมคมใน อมยิ้มและมองมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
แต่สัญชาตญาณฉันร้องเตือนแปลกๆ
“มีคนนั่งไหม” ผู้หญิงของคุณวาโยเอ่ยถาม ฉันจึงสั่นหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ
“งั้นเรานั่งนี่เนอะ” เธอหันไปบอกคุณวาโย ก่อนที่ผู้หญิงทั้งสองจะเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งโดยเว้นไปหนึ่งตัว คงเผื่อไว้ให้แฟนตัวเอง
ฉันยังลอบมองรีแอคชั่นของผู้ชายที่ยืนหันหน้าเข้าสระน้ำ เพราะมันยังมีที่เหลือพอสำหรับอีกสี่คนพอดีและฉันคาดหวังจะได้นั่งร่วมโต๊ะกับเขา
แต่ความฝันแตกกระจายอยู่กลางอากาศในตอนที่เจ้าของใบหน้าบอกบุญไม่รับเดินอ้อมไปอีกฝั่งของสระ ก่อนจะนั่งลงกับพวกรุ่นพี่เจ้าของงานแทน
ฉันถอนหายใจแรงหนึ่งครั้งพลางก้มหน้าลงกับแก้วเหล้าในมือ จนลืมสนใจทุกสิ่งอย่างรอบตัว
ผ่านไปสักพักฉันก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ พอคนเราถูกจ้องเป็นเวลานานเกินควร...ก็จะรู้ตัว
“อุ๊ย!” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วปะทะกับสายตาทุกคู่ที่พร้อมใจโฟกัสมายังฉันคนเดียว “มะ…มองอะไรกันคะ”
“อ๋อ ก็วันนี้เพลินตาสวยเป็นพิเศษไง” คุณหมอไวน์ตอบแบบฝืนๆ พลางหลุบตาหลบ คำพูดที่ออกมาโดยไม่กล้าสบตานั่นแปลได้อย่างเดียวว่าไม่จริง และตามมาด้วยเสียงหัวเราะแห้งจากคนที่เหลือ
“ค่ะ…” ฉันทำได้แค่น้อมรับพร้อมยิ้มแหย่ ก่อนจะยกแก้วขึ้นจิบ ความจริงวันนี้ฉันตั้งใจแต่งเป็นพิเศษ เลือกหยิบสายเดี่ยวไหมพรมสีดำเข้ารูปความยาวเหนือเข่าเล็กน้อยแต่แอบผ่าข้างลึกมาใส่ ก็ไม่ผิดจากที่คุณหมอไวน์พูดนะ แต่ทำไมพวกเขาต้องมีอาการไม่ปกติขนาดนั้นด้วย
แต่ก็นั่นแหละไม่ว่าจะแต่งมาสวยขนาดไหน เขาก็ยังไม่ชายตามองอยู่ดี นึกขำตัวเองเหมือนกันนะ...
“พี่ชื่อเฌอนะ ส่วนนั่น พี่ลลิล” ผู้หญิงที่นั่งข้างคุณวาโยเริ่มแนะนำตัวหลังจากที่เงียบกันไปหลายนาทีและชี้ไปที่ผู้หญิงอีกคนซึ่งนั่งข้างคุณแม็กซ์
ฉันยิ้มพร้อมก้มหัวเล็กน้อยให้ตามมารยาทของคนที่เด็กกว่า
และเพื่อเลี่ยงจากสายตาหลายคู่ ฉันจึงตัดสินใจเบี่ยงตัวเข้าหาสระน้ำ ทำท่าเป็นเอ็นจอยกับผู้คนที่อยู่กลางสระ แต่แท้จริงแล้วจุดโฟกัสยังอยู่ที่ผู้ชายคนเดียว คนนั้น…
ซึ่งเขาอยู่ในท่านั่งหันข้างมาทางฉัน ใบหน้าคมนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคิ้วเข้มที่ขมวดยุ่งตลอดเวลา
ดูเหมือนจะมีผู้หญิงอยากถวายตัวให้เขาอยู่ไม่น้อย จริงอยู่ที่เขาไม่มีท่าทีว่าสนใจ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือไล่พวกเธอออกห่าง
ส่งผลให้อารมณ์ฉันเริ่มไม่ปกตินิดหน่อย บ้าฉิบ…ไม่ได้ตั้งใจจะมาเห็นอะไรแบบนี้ซะหน่อย
ปึก!!
จนเผลอใส่แรงกับแก้วที่ถูกวางลงบนโต๊ะมากเกินควร ทำให้ทุกคนสะดุ้งพร้อมเพรียง รวมถึงฉันด้วย…
“ขอโทษค่ะ” ทำตัวไม่มีมารยาทอีกแล้ว…อยากจะตบกระบาลตัวเองจริงๆ
“เพลินขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันผุดลุกจากเก้าอี้ พลางเหลือบมองผู้ชายที่ถูกรุมล้อมชั่วครู่ก่อนจะเดินไปตามทางด้วยความหงุดหงิด
“ที่มาก็คงเพราะสิ่งนี้สินะ ผู้ชายก็คือผู้ชายอยู่วันยังค่ำ” ฉันบ่นอุบ ในตอนที่ล้วงมือถือขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนรัก ขณะหยุดยืนทิ้งร่างกายด้านข้างพิงพนักกำแพงปากทางเข้าห้องน้ำซึ่งไกลจากประตูทางออกดาดฟ้าพอสมควร
ไม่นานอีกฝั่งก็รับสาย
[ว่า]
“เมื่อไหร่มึงจะขึ้นมา กูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
[ทำไม มีอะไร] สิ้นคำถามนั้นฉันก็รัวใส่ชุดใหญ่ เพราะอัดอั้นอยากระบายเต็มทีแล้ว
“มึงรู้ไหม พอเขามาถึง ก็ไม่ได้สนใจใครเลย นอกจากสาวสวยเซ็กซี่ในชุดบิกินี่ ไหนมึงบอกว่าเขาโลกส่วนตัวสูงไง สูงห่าอะไร แทบจะสิงกันอยู่แล้ว อีกนิดคือจะเอากันอยู่แล้วนะ เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด…”
“พูดถึงฉันอยู่เหรอ”
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข
“ได้ค่ะ”หลังจากฉันพาตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ เสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ในหัวราวกับมันอัดอั้นมานาน แต่ใช่ว่าจะระบายออกมาได้ผู้หญิงคนนี้มีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของเธอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง...ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ไปชงกาแฟร้อนให้คุณลูกค้าบ้าอำนาจนั่น คิดว่าเป็นลูกค้าแล้วจะกดขี่พนักงานยังไงก็ได้รึไง พีพีเอ็นก็แปลก บริษัทตั้งใหญ่โต ไหงมีลูกค้านิสัยแบบนี้แล้วก็ยังจะมานึกอยากดื่มกาแฟอะไรตอนนี้…ไม่นานฉันก็เดินกลับมายังห้องเดิมพร้อมกับถือจานรองแก้วกาแฟด้วยความระมัดระวัง ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเคาะกระจกเพื่อขออนุญาตก๊อก…แต่เสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ประตูถูกดึงเปิด ก่อนที่คุณเจนิสาจะเดินสวนออกมา…จังหวะนั้นฉันไม่ทันระวัง แขนฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงโดนแก้วกาแฟในมือ แน่นอนว่าทุกอย่างเสียหลักภายในเสี้ยววินาที“อ๊ะ!...อ๊าย”ฉันเผลอส่งเสียงร้องในตอนที่ความร้อนสัมผัสโดนผิวหนังช่วงข้อมือข้างซ้ายที่ถือจานรองแ
[Part Plernta]15:50 น.@พีพีเอ็น“เพลินตา”ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย เพราะได้ยินทุกวัน ไม่สิ…แทบจะทุกเวลาเลยมากกว่า แฟ้มเอกสารมาถูกยื่นมาต่อหน้าพร้อมประโยคคำสั่งจากคุณหัวหน้า“วานเอาเอกสารนี้เข้าไปให้ลูกค้าในห้องประชุมหน่อย พอดีฉันติดงานด่วน”“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับ ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ รับแฟ้มมาถือไว้ในมือ เดินตรงไปยังห้องประชุมขนาดกลาง ที่มีไว้เพื่อรับรองลูกค้าคนหรือสองคนก๊อกๆๆฉันส่งสัญญาณตามมารยาท ก่อนจะดันประตูเปิดเข้าไปนาทีต่อมา ฝีเท้าถูกชะลอลง ไม่คาดคิดว่าลูกค้าคนสำคัญของวันนี้ คือคุณเจนิสา‘อย่าไว้ใจลูกค้าคนนี้’ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเฮียฟิวส์พูดไว้แบบนี้ บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าสวย ยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรละเลยประโยคที่ลอยเข้ามาให้หัวลมหายใจถูกสูดเข้าลึกพร้อมกับก้าวนำแฟ้มเอกสารไปวางให้บนโต๊ะ โค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติ&







