LOGIN"บ้าน่ะเรื่องพรรค์นี้เนี่ยะนะ กับคุณมิวท์ที่สูงส่งขนาดนั้น ลุงเข้าใจผิดรึเปล่า? หรือลุงแกล้งอำหนูเล่น?!"
เจนิสเถียงคอเป็นเอ็น ด้วยเพราะภาพลักษณ์ที่เห็นผ่านสื่อนั้นมิวท์คือผู้หญิงที่สวยราวกับเจ้าหญิง แถมยังเป็นถึงประธานบริษัท AP ที่มียาต้านเชื้ออยู่ในมือ เรื่องแบบนี้จึงไม่น่าจะเป็นไปได้
.
"แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ.. ก็คุณเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าห้ามให้ผมโกหกผมจะหลอกคุณไปทำไม ในเมื่อผมเองก็ไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้วนอกจากที่นี่.."
ลุงพ่อบ้านผายมือออกสุดไหล่ แกยังคงทำท่าเดิมค้างเอาไว้เพื่อตอกย้ำเจตนาอันบริสุทธิ์
.
ทำเอาเจนิสถึงกับตัวชาไปเลย จากที่จะหน้ามืดเป็นลมมวนท้องอาการกำเริบ มาบัดนี้ก็ถึงกับทรุดตัวลงนั่งก้มจ้ำเบ้า! เธอทิ้งบั้นท้ายนุ่ม ๆ อัดใส่กอหญ้าแบบไม่ห่วงสวย นัยต์ตาระส่ำรัวเจิงนองคลองน้ำ เสียอกเสียใจที่อุตส่าห์ได้เจอตัวจริงของคุณมิวท์แล้วแท้ ๆ แต่ที่ไหนได้ดันกำลังจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน
.
"ฉันคงจะได้กับคุณแค่ในฝันใช่ไหมคะคุณมิวท์?"
หญิงสาวรำพึงรำพันกับตัวเองในใจ
.
แล้วพอลุงพ่อบ้านเตรียมจะช่วยฉุดให้ลุกขึ้นเจนิสก็ปฏิเสธ เธอทำได้เพียงทอดสายตาอันว่างเปล่าออกไปเบื้องหน้า มองสอดส่ายเข้าไปยังสนามหญ้าที่มีพวกเด็ก ๆ วิ่งหัวเราะหัวใคร่กันสนุกสนาน โดยมีเพื่อนสนิทของตัวเองสวมบทเป็นซอมบี้ คอยแยกเขี้ยววิ่งไล่จับทุกคนอยู่
.
ช่างเป็นเสียงรื่นเริงที่ทำร้ายรูหูอย่างรุนแรง เธอกำลังเศร้าและประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จนเห็นพ้องต้องกันกับที่ลุงบอก เจนิสพยายามนึกถึงภาพสุดท้ายที่เจอกับมิวท์ในครั้งล่าสุด พวกเธอยืนคุยกันอยู่หน้าเฮลิคอปเตอร์โดยที่พวกทหารและเด็ก ๆ ต่างก็ใส่หน้ากากครอบแก้วเอาไว้ครบครัน นั่นคือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าทุกคนรู้ว่ามิวท์เป็นอะไร เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะใส่อุปกรณ์ป้องกันมาตลอดทางที่อยู่บนเครื่องบิน
.
"โถ.. คุณมิวท์ผู้น่าสงสาร"
เจนิสเผลอหลุดคำอุทานออกมาอีกครั้ง และคราวนี้พ่อบ้านก็น่าจะได้ยิน แกก็เลยเลือกที่จะนั่งลงข้าง ๆ พลางหันหน้ามองออกไปยังกลุ่มเด็ก ๆ บ้างเช่นกัน
.
"ฟุบ!"
.
"ใช่ครับ.. เธอน่าสงสารมาก ๆ สูญเสียครอบครัว , สูญเสียคนรัก , เพื่อนและทุกสิ่งทุกอย่าง , ทั้งเหงา , ทั้งโดดเดี่ยว , บางทีการพาเราทุกคนมาถึงที่นี่ ก็อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอมีความสุข.."
.
"เอ๋?"
รีบปาดน้ำตาโดยพลัน เจนิสรีบผินหน้ามองลุงพ่อบ้านเป็นการด่วน
.
"ผมแค่เดาเอาน่ะครับ AP ก็เหมือนโลกใบนี้นั่นแหละ พวกเรากำลังจะล่มสลาย ไม่มีใครสู้กับเชื้อโรคบ้า ๆ นี้ได้จริง ๆ การรวบรวมคนในบริษัทที่พอหาได้ไปพร้อมกับการออกตามหาเพื่อนรัก ที่มีเบาะแสเป็นเพียงแค่ข่าวลือ จวบจนกระทั่งมาถึงที่นี่ได้ผมว่าก็น่าจะเป็นความภูมิใจสูงสุดของคุณมิวท์แกแล้วล่ะครับ.. บ.. บ.."
"น่าเสียดายมากที่คุณแพรวไม่อยู่ ผมล่ะอยากให้พวกเธอทั้งคู่ได้เปิดอกคุยกันสักครั้ง ฉากสุดท้ายในชีิวิตจะได้จบลงด้วยความสวยงามมากกว่านี้.."
"หึ.. หึ.. ฮือ.. ฮือ.. อ.. อ.. อ.. ฮือ.. อ.. อ"
.
ลมเช้าพัดปลิวโบกโบยทิวหญ้า รุ่งอรุณเบิกฟ้ามาพร้อมกับความสดใสของกลุ่มเด็ก ๆ ใสแจ๋ว โดยหารู้ไม่ว่าที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกันยังมีสองลุงหลานที่กอดคอกันร้องไห้ราวกับจะเข้าอกเข้าใจ เจนิสกับลุงพ่อบ้านไม่ได้อายใครหน้าไหนหรอก แต่พวกเขาแค่ไม่อยากจะให้มีคนต้องมารับรู้เรื่องนี้อีก เจ็บแค่นี้และจบกันแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
.
"ลุงเป็นอะไรกับคุณมิวท์เหรอคะ? ทำไมถึงดูผูกพันธ์กันจัง"
เจนิสกระซิกถามเสียงสั่นเครือ
.
"เป็นขี้ข้าครับ.. บ.. บ.."
ลุงตอบด้วยสำเนียงที่สั่นกว่า ก่อนจะถามกลับคืนไปเช่นกัน ว่าเจนิสสัมพันธ์กับมิวท์ทางช่องทางไหน
.
"ช่องคลอดค่ะ.. หนูร่วมรักกับพี่เขาออกจะบ่อย แต่ก็เป็นแค่เรือนร่างในจินตนาการเท่านั้น"
"หึ.. ฮือ.. ฮือ.. ฮือ.. หนูฆ่าผู้ติดเชื้อมาไม่มากนักเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในแคลน แต่พอนึกถึงความจริงที่ว่าผู้ติดเชื้อย่อมต้องตายทุกคน พอนึกภาพคุณมิวท์ตอนที่ต้องกลายร่างแล้ว.. หนูทำใจไม่ได้จริง ๆ ค่ะ! ฮือ.. ฮือ.. ฮือ.. ฮือ ๆ ๆ "
.
เธอไม่ได้พูดส่ิงเหล่านี้ออกมาหากแต่บ่มทุกคำเอาไว้ในใจ มีแต่ทำนบน้ำตามากมายเท่านั้นที่ไหลหลากออกมาตามความรู้สึก มันมากซะจนประเมินค่าไม่ได้ว่าระหว่างสาวมัธยมกับลุงพ่อบ้าน ใครกันแน่คือแชมป์แห่งความเสียใจ
.
นั่งอิงพิงไหล่กันอยู่ราว 10 นาที มีข้อมูลของแต่ละฝ่ายถ่ายโอนให้กันอีกหลายเรื่อง ซึ่งมากพอที่จะทำให้เจนิสเชื่อใจกลุ่มคนชาว AP ที่มากับเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ พวกเขาไม่ได้มาร้ายแค่มาแบบอลังการไปหน่อย แล้วเธอก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะฐานันดรพวกเขาก็ไม่ต่างจากผู้อพยพรายอื่น ๆ ที่ต่างก็หนีร้อนมาพึ่งเย็น
.
"ช่วยได้ก็ช่วย ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด" คือคำพูดติดปากที่แพรวชอบพูด ดังนั้นสิ่งที่เจนิสทำจึงเป็นดั่งการสานต่อเจตนารมณ์เดิม ไม่ได้ฉีกกฎ ไม่ได้ขวางกรอบ ไม่ได้ฝ่าฝืน แต่แค่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าหัวหน้าแคลนตัวจริงอย่างแพรวกลับมา เรื่องราวจะลงเอยแบบนี้ไหม
.
"ลุงพ่อบ้านคะแล้วตอนนี้คุณมิวท์อยู่ที่ไหน? ก่อนมาที่ศูนย์เรียนรู้ต้องผ่านสุสานด้านหลัง หนูมองเข้าไปไม่ยักเห็น ฮ.จอดอยู่เลยสักลำ มีแต่พวกพี่ ๆ ทหารที่เอาศพเพื่อนมาฝัง"
.
ชายวัยกลางคนจึงลุกขึ้นยืน แกเตรียมจะเดินเข้าไปสลับหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ เลยได้แต่ส่ายหน้าทำเหมือนไม่อยากพูด
.
"อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะครับ.. อย่าไปรบกวนเธอเลย.. คุณหนูมิวท์คงตัดสินใจดีแล้วล่ะ"
.
"แต่ว่า..?"
.
"ไม่มีต่งมีแต่หรอกครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้ อาจจะเป็นรอบกำแพงข้างนอกสักแห่ง คงจะเป็นที่ ๆ ไกลจากพื้นที่ปลอดภัยตรงนี้พอสมควร ทว่าต่อให้คุณอยากเจอแค่ไหนคุณหนูมิวท์ก็คงจะปฏิเสธอยู่ดี เธอคงไม่อยากให้ใครติดเชื้อเพิ่ม เธอเป็นคนดีมากกว่าที่คนอื่นคิดนะครับ"
.
ก้าวขายาว ๆ คร่อมข้ามทิวรั้ว ลุงพ่อบ้านปีนข้ามเข้าไปในสนามหญ้าพลางวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปสมทบกับพวกเด็ก ๆ เกิดเป็นการเล่นเพื่อการเรียนรู้ตามคอนเซ็ป และยิ่งนานเข้าเสียงสะอึกสะอื้นของแกก็ค่อย ๆ จางหายไป.. หายไป.. หายไป.. จนกลายเป็นเสียงหัวเราะร่าเริงขึ้นมาแทน ราวกับชายสูงวัยรายนี้ได้ก้าวผ่านศัพท์ของคนรุ่นใหม่อย่างคำว่า "Move on" ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
.
จะเหลือก็แต่เจนิสนี่แหละที่ยังคงจมดิ่ง! เธอเอียงแผ่นหลังมาพิงกับโคนต้นไม้ ก่อนจะย้ายมือเรียวมาวางลงบนซอกเหลือบตรงกลางหว่างขา ณ จุดที่เสียวที่สุดและซิงที่สุดบนเรือนร่างตนเอง
.
"ไม่หรอกลุง.. ลุงยังไม่รู้อะไร? มันยังมีวิธีอยู่! วิธีที่จะต้านเชื้อไม่ให้ลุกลามบานปลาย!"
"ซูดดดด~ อ่าาาา~!"
.
สูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด จนอกอูมชูตั้งแหวกกระดุมเสื้อให้เผยอปริแย้ม
.
"มันคือวิธีที่พี่แพรวเคยสอนเอาไว้ เป็นทริคที่จะถูกใช้ในกรณีที่ไม่มีก๊าซจากกระป๋องมารักษาตัว"
"แล้วหนูก็เคยเห็นกับตาตัวเองมาแล้วด้วย เมื่อครั้งอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าร้าง ชายสองคนสังวาชกันทางประตูหลัง ไอ้จ้อนของพวกเขาเสียดสีกันแม้แต่เสียงครางหนูก็ยังจำไม่ลืม"
.
"ฮู่ววววว~!"
.
"ถึงสุดท้ายพวกเขาจะตายอยู่ดี แต่ก็ยื้อชีวิตมาได้สักระยะ ซึ่งก็ดีกว่าปล่อยให้ตายตอนนี้และเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เหรอ?"
.
เจนิสปล่อยลมหายใจออก อกฟีบลงตามเดิมแต่โหนกแคมนี่สิที่ชักจะจั๊กจี้ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในหัวสาว ม.ปลายจะกระสันเงี่ยนจนยอมเอาตัวเข้าแลกเชียวเหรอ รู้แต่ว่าดูจากลักษณะแล้วเหมือนไฟในตัวจะลุกโชนขึ้นมาเลย เธอถึงได้สปริงตัวลุกขึ้นยืนพลันโบกไม้โบกมือลาเพื่อนผู้รับผิดชอบ และเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านรวมไปถึงพวกเด็ก ๆ
.
ตามติดมาด้วยการรีบเร่งฝีเท้าเดินเช็คความเรียบร้อยทุกสิ่งอย่างในวิลเลจ จนมั่นใจแล้วว่าที่นี่น่าจะเอาอยู่ คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว แค่ปล่อยให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองไปวิลเลจก็น่าจะอยู่รอดได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเธอ
.
กระทั่งใช้เวลาผ่านไปค่อนวัน ร่างเล็กของเจนิสก็มาหยุดชะงักงันลงที่หน้าคลังอาวุธ หน้าปัดนาฬิการอ่านค่าว่าใกล้เที่ยง และพวกชาววิลเลจที่เป็นพลลาดตระเวนเอง ก็กำลังต่อแถวทำเรื่องเพื่อจะเบิกจ่ายอาวุธกันอยู่ พอเห็นเจนิสมาพี่คนที่คุมจอคอมอยู่จึงทักขึ้น
.
"เอ้า! น้องเจนิสมีอะไรรึเปล่า? จะมาตรวจงานอีกเหรอ? พวกเรากำลังจะออกไปลาดตระเวนข้างนอกน่ะ คงไม่มีใครอยู่ให้ตรวจหรอกนะหึ ๆ "
.
"เปล่าพี่.. ไม่ได้มาตรวจอะไรเลย! พี่จะออกกี่โมงอ่ะ? แล้วไปกันกี่คน?"
เจนิสถาม
.
"อืม.. ถ้าตามระเบียบการที่บันทึกไว้ก็อีกราว 30 นาที เมื่อคืนมีทหารจาก AP ตายไปมาก วันนี้ก็เลยเหลือแต่พวกเราชาววิลเลจราว 7 - 10 คนนี่แหละ พวกเขาตั้งแถวรออยู่ข้างนอกไงไม่เห็นหรอ ติดตั้งอาวุธเสร็จก็ว่าจะออกเลย"
.
สาวเจ้าพยักหน้า พลางยกมือขึ้นปรามไว้ก่อน
.
"อย่าเพิ่งไปนะพี่! รอหนูแป๊บนึงขอหนูไปเก็บกระเป๋าก่อน วันนี้หนูว่างหนูขอไปด้วย!"
.
"ห๊าาาา!!!"
"เฮ๊ย! เอาจริงดิ! เธอออกลาดตระเวนร่วมกับหน่วยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? นังหนู?!"
พี่หน่วยธุรการตะเบ็งคอถามด้วยความตกใจ
.
ส่วนเจนิสนั้นแสนจะมั่นใจ เธอรีบยกวีรกรรมสุดบ้าระห่ำเมื่อคืนออกมาอ้างแทบจะทันที
.
"หนูก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อคืนไม่ใช่ฝีมือการยิงธนูของหนูล่ะก็ พวกเราอาจจะไม่ได้อยู่กันสบาย ๆ แบบนี้นะ หนูไม่ไปเป็นตัวถ่วงหรอกน่าเชื่อเถอะ! ขอหนูไปด้วยเถอะนะ รอหนูแป๊บเดียวเอง! นะ ๆ ๆ !"
.
"อ่า ๆ ๆ เข้าใจแล้ว! ให้ตายเถอะ! เธอนี่เหมือนแพรวไม่มีผิด! ใครจะไปห้ามพวกเธอได้ต่อให้ไม่ให้ไปก็จะหนีไปเองอยู่ดีใช่ไหมล่ะ ให้ 5 นาทีนะ จะเตรียมอาวุธไว้ให้ ในหน้าจอคอมขึ้นข้อมูลของที่เธอเคยใช้เมื่อคราวก่อนเอาไว้อยู่.."
"วู้ววว! ให้ตายเถอะ! ระบบซอร์ฟแวร์เก็บสถิติที่พวก AP ติดตั้งให้นี่เทพจริง ๆ ฉันน่ะทำงานสบายขึ้นเยอะเลยตั้งแต่มีเจ้านี่เหอะ ๆ "
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ
"ซึบ!!!".เสียบ ๆ ๆ ! กระซวก ๆ ๆ ! ย้ำแผลเดิมอีกราวสิบกว่าครั้ง ทำให้ร่างเปลือยของชายที่แน่นิ่งอยู่แล้วกลายเป็นเหมือนหมูที่อยู่บนเขียง กงเล็บของมิวท์ถูกดึงขึ้นมา ความแหลมเฟี้ยวดังกล่าวถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยลิ่มเลือดที่หยดติ๋ง ๆ ไหลซึมลงมาถึงข้อศอก.แววตาแดงก่ำไม่เห็นแม้แต่ลูกตาดำ ขนาดฟันเขี้ยวด้านหน้ายังยื่นแหลมงุ้มออกมาพ้นมุมปาก ไม่มีทางเลยที่มิวท์ตัวจริงจะต่อต้านตัวตนใหม่เฉกเช่นปีศาจนี้ได้ มันบังคับร่างกายเธอให้เคลื่อนไหวไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ และครั้งนี้ก็คงจะหิวถึงได้เริ่มคอนโทรลมืออีกข้างของมิวท์ให้ควักลงไปในปากแผล พลันดึงเอาเครื่องในอวัยวะสด ๆ ออกมาจากลำตัว."ควัก!!!""หมึบบบ! , หมับบบ!!!".ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไม่ถามดินถามฟ้า พอได้ออกมาก็จับยัดเข้าปากแล้วก็เคี้ยวตุ้ย ๆ แทบจะทันที ซึ่งนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่มิวท์หวนคิดถึง....ตัดภาพกลับมา ณ เหตุการณ์ปัจจุบันในเฮลิคอปเตอร์.หญิงสาวลุคคุณหนูกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว เธออยู่ในอาภรณ์มิดชิด ปากยังคงเคี้ยวเอื้องเอาเศษอวัยวะของพี่พลขับลงคอไปเป็นอาหาร.. อึก.. อึก...ตอกย้ำว่ามิวท์รู้ทุกอย่างว่าที่ผ่านมานั้นคืออะไร เธอถูกเชื้อโค







