บ่ายคล้อยของวันทำงานดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งฟลอร์ผู้บริหารซึ่งเป็นอาณาเขตส่วนตัวของประธาน LTA Group มีเพียงเสียงปลายนิ้วของขวัญข้าวที่กระทบกับแป้นคีย์บอร์ดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงหึ่งเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศที่รักษาอุณหภูมิให้เย็นฉ่ำราวกับฤดูหนาวในยุโรป
แม้กำลังพิมพ์สรุปรายงานการประชุม แต่สายตาของเลขาสาวกลับไม่ได้จับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา มันมักจะลอบมองผ่านผนังกระจกใสตัดแสงที่อยู่ถัดเข้าไป ณ ใจกลางของห้องทำงานอันโอ่อ่า ร่างสูงสง่าของผู้เป็นนายกำลังนั่งขีดเขียนบางอย่างอยู่บนโต๊ะไม้สีดำขลับตัวใหญ่ ผนังกระจกใสบานนั้นเปรียบเสมือนเส้นแบ่งที่มองไม่เห็น มันกั้นระหว่างโลกของเธอกับจักรวาลของลูเซียโน่ได้อย่างชัดเจน
สำหรับคนอื่น ประธานหนุ่มคือรูปปั้นน้ำแข็งที่สมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก ทุกการเคลื่อนไหวดูน่าเกรงขามและถูกคำนวณไว้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับขวัญข้าว ผู้ได้รับอนุญาตให้ยืนอยู่ในเงาของประธานหนุ่มใกล้กว่าใครทั้งหมด กลับมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น และเฝ้าเก็บงำทุกอณูแห่งตัวตนนั้นไว้ในความทรงจำ
ทั้งรอยขมวดคิ้วที่แทบมองไม่เห็นยามจ้องตัวเลขซับซ้อน จังหวะที่ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะไม้ราคาแพง หรือแม้แต่แววตาเหนื่อยล้าที่ฉายชัดขึ้นมาชั่วครู่ ยามที่เจ้าของร่างสูงใหญ่คิดว่าอยู่ตามลำพังแล้วยกมือขึ้นนวดขมับ
มันคือเสี้ยววินาทีที่พญามังกรยอมปลดเปลื้องเกราะน้ำแข็ง เผยให้เห็นความเปราะบางของมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ข้างใน และเศษเสี้ยวแห่งความเป็นจริงที่เผลอหลุดรอดออกมาเหล่านั้น คือสมบัติล้ำค่าที่คอยหล่อเลี้ยงความรักข้างเดียวของหญิงสาวมาตลอดหลายปี
พลันความคิดที่ล่องลอยก็ถูกกระชากกลับสู่ปัจจุบัน
ครืด...
เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุย ทำให้ขวัญข้าวสะดุ้งเล็กน้อย เธอรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะกดรับสาย
"คุณขวัญข้าว กาแฟ"
น้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นชาดังลอดออกมาจากลำโพง เป็นคำสั่งสั้นๆ ที่ไม่มีคำขยายความใดๆ แต่หัวใจของหญิงสาวกลับเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
"ได้ค่ะบอส"
เธอรับคำ สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความประหม่าแล้วลุกไปยังมุมเครื่องดื่ม กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟคั่วบดชั้นดีลอยฟุ้งไปทั่วขณะที่เครื่องทำงาน แต่ในใจของเธอกลับสั่นไหวรุนแรงกว่ากลิ่นใดๆ
เพียงไม่นาน ถ้วยกาแฟเซรามิกสีดำก็ถูกถือเข้าไปในอาณาเขตของประธานหนุ่มอย่างเงียบเชียบ อุณหภูมิในห้องทำงานของเขายิ่งเย็นกว่าด้านนอก และมีกลิ่นโคโลญจน์จางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ลอยอบอวลอยู่
ขวัญข้าววางถ้วยกาแฟลงบนที่รองแก้วข้างมือใหญ่อย่างแผ่วเบาที่สุด ลูเซียโน่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย สายตาคมกริบยังคงจับจ้องอยู่ที่เอกสารในมือ
"อืม"
เสียงตอบรับในลำคอแผ่วเบา คือทั้งหมดที่ได้รับ เป็นเพียงสัญญาณแห่งการรับรู้ที่ปราศจากความใส่ใจโดยสิ้นเชิง ความเย็นชาที่คุ้นเคยกรีดลึกลงในหัวใจจนเป็นแผลซ้ำซาก ขวัญข้าวโค้งตัวเล็กน้อยอย่างสำรวม ก่อนจะหมุนกายเดินกลับออกมาจากห้องอย่างเงียบงัน ทิ้งให้กำแพงกระจกใสบานใหญ่กลับมาทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งที่มองไม่เห็น อีกครั้งหนึ่ง
ขวัญข้าวนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มืดดับ มองเงาสะท้อนของตัวเองที่เลือนราง ความเจ็บแปลบแล่นริ้วขึ้นมาในอก ความปวดร้าวนี้คือภาพสะท้อนที่คุ้นเคย เป็นเช่นนี้เสมอ นับตั้งแต่วันแรกที่เส้นแบ่งระหว่างพวกเขาทลายลง
ความคิดของขวัญข้าวหวนย้อนกลับไปสู่คืนเมื่อหกเดือนก่อน คืนที่พายุโหมกระหน่ำกรุงเทพฯ อย่างบ้าคลั่งราวกับฟากฟ้าจะถล่มลงมา เสียงฟ้าร้องคำรามสลับกับเสียงสายฝนที่สาดซัดเข้ากับผนังกระจกของตึก LTA Tower ไม่ขาดสาย บนชั้นสูงสุดที่ควรจะมืดสนิท กลับยังคงมีแสงไฟสว่างโร่อยู่ในห้องทำงานของประธานกรรมการบริหาร
วิกฤตการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ดีลมูลค่าหลายพันล้านบาทกับนักลงทุนต่างชาติกำลังจะล่มลง ลูเซียโน่ทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์โดยแทบไม่ได้พัก และขวัญข้าวก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างในฐานะเลขานุการที่ดี เธอคอยจัดการเอกสาร ประสานงาน และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระของเจ้านายหนุ่ม
ปึก!
เสียงแฟ้มเอกสารหนาเตอะถูกโยนลงบนโต๊ะอย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตกใจ และได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลูเซียโน่ในสภาพที่ความอดทนขาดสะบั้น เขายืนกอดอก หันหน้าไปทางผนังกระจก ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน แววตาคมกริบฉายแววกรุ่นโกรธและเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด
เป็นครั้งแรก...ที่กำแพงน้ำแข็งซึ่งคุ้นตาพลันปรากฏรอยร้าวขึ้น
แทนที่จะหวาดกลัว ในใจของเธอกลับรู้สึกสงสารและเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ ความรู้สึกอยากจะปลอบประโลมผู้ชายที่ดูแข็งแกร่งแต่ก็แสนจะโดดเดี่ยวคนนี้มันรุนแรงจนเธอตัดสินใจทำในสิ่งที่ปกติไม่เคยกล้า
ขวัญข้าวลุกจากโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างเงียบเชียบ เดินไปยังมุมเครื่องดื่มเพื่อชงนมอุ่นหนึ่งแก้ว เธอถือมันกลับมาที่โต๊ะทำงานของเขา วางลงอย่างแผ่วเบาที่สุด
"บอสคะ ดื่มนมอุ่นๆ สักแก้วนะคะ เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น" เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและสั่นเทาเล็กน้อย
ลูเซียโน่ชะงักไป ร่างสูงค่อยๆ หันกลับมามอง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวฉายแววประหลาดใจอย่างไม่ปิดบัง ชายหนุ่มผู้ไม่เคยได้รับความห่วงใยที่ไม่ใช่หน้าที่แบบนี้มาก่อน ใช้สายตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองเลขาสาวเนิ่นนานราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะยอมพยักหน้ารับแล้วหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มช้าๆ
ความเงียบเข้าปกคลุม มีเพียงเสียงฝนด้านนอกที่ยังคงดังอยู่ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
"ทำไมถึงยังไม่กลับ" คำถามดังขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงทุ้มนั้นอ่อนลงกว่าปกติเล็กน้อย
"ข้าวอยากอยู่ช่วยค่ะ เห็นบอสทำงานหนัก" เธอตอบตามความจริง
ประธานหนุ่มจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของหญิงสาว "ฉันไม่เคยจ่ายเงินเดือนให้ใครเพื่อมานั่งทำงานโง่ๆ จนดึกดื่นแบบนี้"
"ข้าวเต็มใจค่ะ"
คำตอบที่หนักแน่นของหญิงสาวทำให้บรรยากาศกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่แตกต่างออกไป ความใกล้ชิดในห้องที่ไร้คนอื่นทำให้เคมีบางอย่างเริ่มก่อตัว คนตัวสูงวางแก้วนมที่ว่างเปล่าลง ก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้ร่างบางอย่างเชื่องช้า
"เธอนี่มัน" เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ "ดื้อรั้นอย่างน่ารำคาญจริงๆ"
ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล้ลงบนปอยผมที่หลุดลุ่ยข้างแก้มของขวัญข้าว ก่อนจะถูกทัดไว้ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบาโดยเจ้าของสัมผัสนั้น สัมผัสเพียงเล็กน้อยทำให้ร่างบางแข็งทื่อ หัวใจในอกเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมา
แววตาของประธานหนุ่มเปลี่ยนไป ความเย็นชาที่คุ้นเคยจางหาย ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ลุ่มลึกและอันตราย ความโหยหาที่เกิดจากความเหงาและความกดดันที่สุกงอม
ก่อนที่ขวัญข้าวจะได้ทันตั้งตัว ใบหน้าคมคายก็โน้มลงมา
จูบแรกของพวกเขาแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง มันเริ่มต้นอย่างลังเลเหมือนการตั้งคำถาม ริมฝีปากหยักลึกไม่ได้รุกล้ำรุนแรงดั่งเช่นเคย แต่ค่อยๆ ทาบทับลงมาอย่างเชื่องช้า ซึมซับความอ่อนหวานของเธอ ความอ่อนโยนที่ไม่คาดฝันนั้นทำลายกำแพงป้องกันตัวของขวัญข้าวจนหมดสิ้น หญิงสาวหลับตาลง ตอบรับจูบที่เฝ้ารอมาทั้งชีวิต
วินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน เสียงฟ้าร้องก็คำรามกึกก้องขึ้นพร้อมกัน ราวกับเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว คืนนั้น ภายใต้เสียงคำรามของพายุ เส้นแบ่งทุกเส้นระหว่างเจ้านายและเลขาได้พังทลายลงจนหมดสิ้น
ขวัญข้าวลื่นไหลเข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมแขนของเขา และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่บนเตียงนอนนุ่มสบายในเพนต์เฮาส์ที่ไม่คุ้นเคย พายุฝนหยุดแล้ว แสงแดดยามเช้าที่อบอุ่นส่องลอดผ่านม่านเข้ามา ในใจของหญิงสาวเบ่งบานไปด้วยความหวังและความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต
แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลง
ทว่าความสุขนั้นอยู่กับขวัญข้าวได้ไม่นาน เมื่อก้าวออกจากห้องนอน ภาพที่เห็นในห้องนั่งเล่นก็ทำให้หัวใจของหญิงสาวร่วงหล่น ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของเพนต์เฮาส์นั่งรออยู่ก่อนแล้วในชุดทำงานเนี้ยบกริบ ใบหน้าคมคายกลับมาเรียบเฉยและเย็นชา ราวกับว่าค่ำคืนที่เร่าร้อนนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นในจินตนาการของเธอฝ่ายเดียว
"ฉันให้คนโอนเงินเข้าบัญชีเธอแล้ว" น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยที่เจ้าของเสียงไม่แม้แต่จะหันมามอง "ถือเป็นโบนัสพิเศษ สำหรับความทุ่มเทในการทำงานเมื่อคืน"
ประโยคนั้นเหมือนน้ำแข็งพันก้อนที่สาดใส่ความหวังทั้งหมดจนแหลกละเอียด 'โบนัสพิเศษ' 'ความทุ่มเทในการทำงาน' ในที่สุดขวัญข้าวก็เข้าใจ ชายหนุ่มตรงหน้าได้ตีค่าร่างกายและหัวใจของเธอเป็นเพียง 'งาน' ชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร นอกจากกล้ำกลืนก้อนความจุกเสียดลงคออย่างยากลำบากแล้วพยักหน้ารับช้าๆ ทำหน้าที่ของเลขาที่ดีเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเช้านี้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'สัญญา' ที่ไร้เสียง คือบทเรียนแรกอันแสนเจ็บปวดที่สอนให้รู้ว่าสำหรับคนตรงหน้า ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงการซื้อขายบริการรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
ความรัก...ไม่เคยอยู่ในสมการนี้เลยแม้แต่น้อย
ความทรงจำที่ทั้งหอมหวานและรวดเร้าจางหายไป ทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดอันคุ้นเคยในอก ขวัญข้าวกลับสู่โลกปัจจุบัน สู่เก้าอี้ทำงานหน้าห้องกระจกที่เย็นชาของเจ้านายหนุ่ม
ทันใดนั้นเอง สรรพสิ่งรอบกายก็พลันหมุนคว้าง ความรู้สึกพะอืดพะอมตีรื้นขึ้นมาอย่างกะทันหันจนหญิงสาวต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก ความแปลกใจฉายชัดขึ้นบนใบหน้า
'สงสัยจะเครียดเกินไป พักผ่อนน้อยด้วยแน่ๆ'
ความคิดนั้นดังขึ้นในหัวเพื่อปลอบใจตัวเอง ขณะที่ขวัญข้าวรีบลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องน้ำหญิงอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องน้ำที่เงียบสงัด หญิงสาวรีบเปิดก๊อกน้ำวักขึ้นล้างหน้า สัมผัสเย็นเฉียบของน้ำช่วยเรียกสติให้กลับมาได้บ้าง ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นสบตากับภาพสะท้อนในกระจกเงา ภาพของหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเซียวจนน่าตกใจ
และในความเงียบงันนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเหมือนสายฟ้าฟาด
เอ๊ะ...แล้วประจำเดือนของเราล่ะ?
หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อสมองเริ่มนับวันในใจอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นตระหนก มันควรจะมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
หนึ่งสัปดาห์...ไม่ใช่...มันนานกว่านั้น...สองสัปดาห์...เกือบสาม...
วินาทีที่ผลลัพธ์ปรากฏขึ้นในหัว ขวัญข้าวยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้ากระจกเงา ในดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความหวังที่ซ่อนเร้นมาตลอด กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นความจริงที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต