เช้าวันเสาร์ควรจะเป็นเวลาแห่งการพักผ่อน แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลอดผ่านม่านเข้ามาในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งนี้ควรจะนำมาซึ่งความรู้สึกสบายใจ
ที่นี่คืออิสรภาพหนึ่งเดียวที่ขวัญข้าวร้องขอจากตระกูลเตโชบวรเดชหลังจากเรียนจบ พื้นที่เล็กๆ ที่เธอจะได้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ห่างไกลจากสายตาทุกคู่ในคฤหาสน์หลังนั้น เป็นคำขอที่ลูเซียโน่อนุญาตอย่างง่ายดาย...จนน่าประหลาดใจ
มันควรจะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในชีวิตของเธอ
แต่ในเช้าวันนี้ บรรยากาศภายในห้องกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็น มันหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
ภาพของเย็นวานซ้อนทับขึ้นมาในความคิด หญิงสาวในชุดทำงานที่สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตา พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดในร้านขายยาใจกลางเมือง หัวใจเต้นรัวทุกครั้งที่ประตูร้านเปิดออกด้วยความกลัวว่าจะเจอคนรู้จัก โดยเฉพาะคนจากบริษัท
ในที่สุดเมื่อถึงคิว เสียงของเธอก็แผ่วเบาราวกระซิบขณะเอ่ยชื่อยาที่ต้องการกับเภสัชกร และรีบซ่อนกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นลงในกระเป๋าถือทันทีที่จ่ายเงินเสร็จ ราวกับว่ามันคือวัตถุอันตรายร้ายแรง ไม่ใช่เครื่องมือพิสูจน์ความจริง
กลับสู่ปัจจุบัน ขวัญข้าวยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกเงาในห้องน้ำ สองมือที่สั่นเทาบรรจงแกะกล่องนั้นออกมา ทุกขั้นตอนที่ทำตามคำแนะนำข้างกล่องเชื่องช้าราวกับภาพสโลว์โมชั่น เสียงพลาสติกที่ฉีกขาดดังบาดหูในความเงียบสงัด เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาววางที่ตรวจครรภ์คว่ำหน้าลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองมัน
สามนาที เวลาเพียงสามนาทีที่ยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ความนิ่งสงบอยู่กับหญิงสาวได้ไม่นาน ร่างบางเริ่มเดินวนไปวนมาในพื้นที่คับแคบ สองมือกำเข้าหากันแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ขณะที่สมองทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาเหตุผลนับล้านมาหักล้างความเป็นไปได้ที่น่ากลัวที่สุด
'เราแค่เครียดไปเอง ใช่ ต้องเป็นเพราะพักผ่อนน้อยแน่ๆ ประจำเดือนอาจจะแค่คลาดเคลื่อน มันเคยเป็นแบบนี้มาก่อน'
ความคิดเหล่านั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวรู้ดีว่ามันไม่เคยคลาดเคลื่อนนานขนาดนี้ เธอหลับตาลง ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น อ้อนวอนขอให้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่เป็นความจริง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
ในที่สุด ขวัญข้าวก็บังคับให้ตัวเองหยุดเดิน ร่างบางยืนนิ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หายใจเข้าลึกๆ จนเต็มปอด แล้วค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไป พลิกแท่งพลาสติกสีขาวนั้นขึ้นมาดู
สองขีด
เส้นสีชมพูสองเส้นที่คมชัดราวกับถูกขีดด้วยเหล็กเผาไฟ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ไม่มีช่องว่างให้เข้าใจผิดหรือตีความไปเป็นอื่น
โลกทั้งใบเงียบสงัดลงในทันที เสียงหึ่งๆ ของพัดลมระบายอากาศในห้องน้ำหายไป เสียงหัวใจที่เคยเต้นรัวในอกก็เช่นกัน ร่างกายชาวาบไปทั้งตัว ราวกับจิตวิญญาณได้แยกออกจากกัน ไม่มีการกรีดร้อง ไม่มีการร้องไห้
แท่งพลาสติกในมือน้ำหนักราวกับแท่งเหล็ก มันคือคำพิพากษา คือตราบาป คือชะตากรรมที่หญิงสาวไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
เรี่ยวแรงทั้งหมดหายไปจากร่างกายอย่างฉับพลัน ขวัญข้าวทรุดตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำที่เย็นเฉียบอย่างหมดแรง ความเย็นของกระเบื้องแล่นผ่านเสื้อผ้าเข้ามาจับที่ผิวเนื้อ แต่ความรู้สึกด้านนอกดับสนิทไปแล้ว สรรพสำนึกทั้งหมดจดจ่ออยู่กับแท่งพลาสติกสีขาวในมือ
หญิงสาวจ้องมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลิกไปมาเหมือนคนเสียสติ หวังเพียงเศษเสี้ยวของปาฏิหาริย์ว่าเส้นสีชมพูที่สองนั้นจะจางหายไป เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากความเครียด แต่ไม่เลย มันกลับยิ่งดูคมชัดขึ้นทุกวินาที ตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
แล้วภาพใบหน้าของคนคนหนึ่งก็ซ้อนทับขึ้นมาในความคิด...ลูเซียโน่ ไม่ใช่ใบหน้าในคืนที่เร่าร้อน แต่เป็นใบหน้ายามปกติที่เย็นชา ดวงตาที่ไร้ความรู้สึก และริมฝีปากที่มักจะเหยียดตรงเป็นเส้นเดียว ความคิดหมุนคว้าง ดึงเอาเศษเสี้ยวคำพูดจากเจ้าของใบหน้าเย็นชานั้นให้ดังกระหึ่มขึ้นมาในหัวราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำมืด
'ความผูกพันมันน่ารำคาญ'
'เด็กคือภาระและความรับผิดชอบที่ฉันไม่มีเวลาให้ '
'ทุกอย่างมีราคาของมัน อย่าทำอะไรโง่ๆ ที่จะสร้างปัญหาตามมา'
แต่ละประโยค แต่ละคำพูด เหมือนคมมีดที่มองไม่เห็นซึ่งกรีดแทงลงมาบนหัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วจนเลือดซิบ และสัญชาตญาณก็กรีดร้องเตือนอย่างเจ็บปวดว่าในโลกของเขา ปัญหาเช่นนี้ไม่มีวันจบลงด้วยดี
ความคิดแรกที่โจมตีเข้ามาไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่เป็นเรื่องของอดีต ภาพของพ่อกับแม่ผู้ล่วงลับแวบขึ้นมาในหัว พวกท่านสละชีวิตเพื่อปกป้องตระกูลเตโชบวรเดช ทิ้งให้ลูกสาวเพียงคนเดียวอยู่ภายใต้ 'หนี้ชีวิต' ที่ต้องตอบแทนด้วยความภักดี
แต่สิ่งที่ขวัญข้าวทำลงไป คือการปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาสร้างตราบาปที่อาจแปดเปื้อนชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลที่ให้ที่พักพิงมาทั้งชีวิต ความรู้สึกผิดท่วมท้นขึ้นมาจนแทบจมมิด
แล้วจะให้หันหน้าไปพึ่งพาใครได้เล่า? ป้าที่ต่างจังหวัดน่ะหรือ ท่านก็อายุมากและสุขภาพไม่ดีแล้ว หากรู้เรื่องนี้คงได้ช็อกจนล้มป่วย ส่วนเพื่อนสนิทที่พอจะระบายได้ก็ไม่มีสักคน เพราะชีวิตทั้งหมดถูกผูกติดอยู่กับที่นี่ ในโลกของลูเซียโน่ ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ หญิงสาวไม่มีใครเลยนอกจากตัวเอง
โลกใบเล็กๆ ที่เคยปลอดภัยพังทลายลงในพริบตา อนาคตที่เคยวาดหวังไว้ แม้จะเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันหนึ่งความภักดีของตนอาจมีคนมองเห็นค่าขึ้นมาบ้าง บัดนี้ก็ได้มลายหายไปสิ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนทุกอย่าง สถานะของหญิงสาวจะถูกตีตราไปตลอดกาล เป็นได้แค่ตัวปัญหา ความผิดพลาด หรือเป็นเพียงความสกปรกที่ต้องถูกกำจัดให้พ้นทาง ความมั่นคงเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต นั่นคือสถานะ 'เลขาในอุปการะ' ก็กำลังจะถูกกระชากออกไป
เมื่อตระหนักว่ากำลังจะสูญเสียทุกสิ่ง ทั้งเกียรติยศของพ่อแม่ในอดีต ความสงบสุขในปัจจุบัน และความหวังทั้งหมดในอนาคต กำแพงความอดทนทั้งหมดของขวัญข้าวก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้พรั่งพรูออกมาเป็นสาย ร่างบางไม่ได้ร้องไห้เสียงดังฟูมฟาย มีเพียงเสียงสะอื้นที่หลุดออกมาเป็นระยะพร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้านอย่างน่าเวทนา
ร่างบางกอดตัวเองแน่น ร้องไห้ให้กับความโง่เขลาของตนเองที่หลงรักผู้ชายที่ไม่มีวันรักตอบ ร้องไห้ให้กับความอ่อนแอที่ยอมจำนนต่อสัมผัสอันไร้ใจครั้งแล้วครั้งเล่า และที่น่าสมเพชที่สุด คือการร้องไห้ให้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่แอบซ่อนไว้ในใจลึกๆ ว่าความภักดีและความรักอันเงียบงันของตน อาจมีความหมายต่อเจ้าของโลกใบนั้นบ้าง
แต่ตอนนี้หญิงสาวรู้แล้ว และความจริงที่เพิ่งตระหนักและเจ็บปวดที่สุดก็คือ ในโลกของชายคนนั้น ขวัญข้าวเป็นเพียงเงาที่ไม่มีตัวตนมาโดยตลอด
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ขวัญข้าวยังคงนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นห้องน้ำที่เย็นเฉียบ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตาบนใบหน้าที่ซีดเซียวและความรู้สึกว่างเปล่าที่กัดกินอยู่ข้างใน โลกทั้งใบของเธอพังทลายลงในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เหลือเพียงซากปรักหักพังของอนาคตที่มืดมิด
ท่ามกลางความสิ้นหวังอันเงียบงัน ขณะที่จิตใจกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความมืดมิด มือข้างหนึ่งของเธอก็เลื่อนไปวางบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบของตัวเองอย่างเชื่องช้าโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบา แต่กลับเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
วินาทีที่ฝ่ามืออุ่นๆ สัมผัสลงบนหน้าท้องที่แบนราบ ความคิดที่สับสนวุ่นวายในหัวก็พลันหยุดนิ่ง ในห้วงคำนึงไม่ได้มีคำว่า 'ปัญหา' หรือ 'ความผิดพลาด' อีกต่อไป แต่กลับถูกแทนที่ด้วยการรับรู้ที่ชัดเจนและทรงพลังอย่างน่าประหลาด การรับรู้ถึง 'ชีวิต' อีกหนึ่งชีวิตที่กำลังก่อตัวขึ้นข้างใน เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง
'ในนี้มีเด็กคนหนึ่งอยู่ ลูกของเรา'
ความคิดนั้นไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวจางหายไป แต่มันได้หลอมรวมความกลัวทั้งหมดให้กลายเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ใช่ความหวาดหวั่นในชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป ไม่ใช่ความกลัวที่จะต้องเจ็บปวดหรือถูกทอดทิ้ง แต่เป็นความตื่นตระหนกอันยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่ต้องปกป้องสายเลือด เป็นสัญชาตญาณดิบของคนเป็นแม่
สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นอย่างเงียบงัน ได้มอบความเข้มแข็งให้หญิงสาวอย่างน่าประหลาด มันเหมือนสมอเรือที่ถูกหย่อนลงไปในใจกลางพายุแห่งความหวาดกลัว ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ใกล้จะแตกสลายไว้ให้มั่นคง
'ฉันจะไม่ยอม'
ขวัญข้าวตั้งปณิธานในใจ จะไม่มีวันยอม 'จัดการปัญหา' ตามคำสั่งของใคร จะไม่มีวันทำร้ายชีวิตบริสุทธิ์นี้ และในขณะเดียวกัน ก็จะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากลูกไปจากอกเพื่อไปเป็นเพียง 'ทายาท' ไร้แม่ของตระกูล
หญิงสาวรู้ดีว่าการหลบหนีไม่ใช่ทางออก นี่คือสายเลือดของลูเซียโน่ด้วยเช่นกัน การปิดบังมีแต่จะสร้างปัญหาที่เลวร้ายยิ่งกว่าในอนาคต โดยเฉพาะเมื่ออำนาจของตระกูลนั้นล้นฟ้าพอที่จะพลิกแผ่นดินตามหาได้ในชั่วข้ามคืน การเผชิญหน้าจึงเป็นทางรอดเดียว แม้ว่าจะน่ากลัวที่สุดก็ตาม
ขวัญข้าวค่อยๆ ใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นยืนช้าๆ แม้เรียวขายังคงสั่นเทา แต่แผ่นหลังกลับตั้งตรงขึ้นกว่าเดิม หญิงสาวสบตากับเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง แววตาที่เคยสับสนและแตกสลาย บัดนี้กลับฉายแววเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ที่ตรวจครรภ์ในมือกำไว้แน่น มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของความผิดพลาดอีกต่อไป แต่คือสัญลักษณ์ของชีวิตที่ต้องปกป้อง
ความคิดที่จะต้องบอกความจริงนั้นชัดเจนและหนักแน่น แต่แล้วคลื่นความหวาดกลัวลูกใหม่ก็ซัดเข้ามาในใจจนร่างสั่นสะท้าน
จะเริ่มต้นอย่างไร ต้องพูดว่าอะไร
ประโยคแรกที่ต้องเอ่ยกับผู้ชายไร้หัวใจคนนั้น...มันควรจะเป็นคำว่าอะไรกันแน่
ในหัวของขวัญข้าวว่างเปล่า ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ