“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“เอ้ะ น่ากลัวอ่ะ” ฉันทำสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ โพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เก็บกระเป๋าจากม้านั่ง เธอชื่อส้มหวาน เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทำตัวเหมือนผู้ชายไม่เข้ากับชื่อหวานๆ นั่นก็ตาม “แต่ปกติเราก็กลับบ้านกันปลอดภัยดีนะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง” พูดแล้วก็หยิกแก้มฉันแรงๆ อย่างกลั่นแกล้งจนฉันต้องร้องเสียงอ่อยอย่างเจ็บปวด
แต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะขอแนะนำตัวเองก่อนสักเล็กน้อยนะคะ
ฉันชื่อ ‘คะนิ้ง’ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นคนเรียบร้อยและสดใส แล้วก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนในที่นี่ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนๆ เหล่านั้นก็มีแค่ส้มหวานเท่านั้นล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุด
ประวัติของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจมากหรอกค่ะ ฉันอยู่หอนอกกับส้มหวาน เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไป
ใช่ค่ะ ฉันคือผู้หญิงปกติ
แต่... แต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว
“เธอชื่ออะไรวะ”
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่เกือบหน้าประตูของมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาดุดัน ทำผมสีทองสว่าง ใส่เสื้อกล้ามสีดำและมีรอยสักเต็มทั้งสองแขน ท่าทางกร่างๆ เหมือนพวกอันธพาลหรืออะไรทำนองนั้นไม่มีผิดเลย
ให้ตายสิ
ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่ดันมาเจอกับอะไรก็ไม่รู้
“เขาพูดกับใครอ่ะนิ้ง” ส้มหวานเอนตัวมากระซิบกระซาบกับฉัน ส่วนฉันก็สั่นหน้าหวือ ฉันไม่รู้อ่ะ เห็นเขามองหน้าฉันอยู่ แต่อาจมองเลยไปหาคนอื่นก็ได้
“อย่าไปสนใจเลย กลับบ้านกันเถอะส้ม” ฉันกระซิบกลับ แล้วตัดสินใจจูงมือส้มหวานเดินผ่านเขาไปโดยเว้นระยะห่างไว้ สงสัยเขาจะเรียกคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ อาจจะมารับแฟนก็ได้ แต่ดูท่าทางกับลุคแบบนี้ผู้หญิงเขาน่าจะกลัวมากกว่านะเนี่ย
หมับ
แต่ทว่า
ฉันยังเดินไปไหนไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ จู่ๆ ข้อมือก็ถูกคว้าและโดนกระชากอย่างแรง ฉันเซและหลุดมือจากส้มหวานไป แล้วหน้าก็ชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนเต็มๆ
“จะ... เจ็บ” ฉันพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น คือเขากระชากฉันเข้ามาหา แถมยังใช้มืออีกข้างรั้งข้อมือฉันเอาไว้ด้วย นี่เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะ เขามาทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้ยังไง “ปะ... ปล่อยนะ”
หากแต่เขาไม่ยอมฟังเสียงร้องของฉันเลย จู่ๆ ก็ดึงทึ้งฉันให้เดินตามไปหน้าตาเฉย ฉันมองส้มหวานที่ยืนอึ้งอยู่ พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอข้อมือถูกกำแน่นขึ้นก็เลยไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาอีก
นะ... นี่เรากำลังถูกหาเรื่องเหรอ ฉันกำลังจะถูกเขาพาไปซ้อมเหมือนในข่าวสินะ
“ขึ้นมา”
ฉันเงยหน้ามองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า อะไรเนี่ย จะถูกซ้อมไม่พอยังถูกลักพาตัวอีกเหรอ
“นะ... หนูจะกลับบ้าน”
“จะขึ้นมาดีๆ หรือจะให้ต้องใช้กำลัง!” ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่หน้า ตัวสั่นไปหมดในขณะที่ค่อยๆ นั่งลงบนเบาะหลัง แต่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงร่างสูงก็ออกรถไปด้านหน้าอย่างแรงจนฉันร้องกรี๊ดแล้วกอดเอวเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
อะ... อะไรเนี่ย น่ากลัวมากเลย เริ่มจะกลัวแล้วนะ
ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังขับไปที่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถหยุดลงอย่างกะทันหัน ฉันได้กลิ่นบุหรี่และเสียงเซ็งแซ่ของกลุ่มคน พอลืมตาขึ้นอีกทีก็พบกับซอยที่คุ้นตา
เดี๋ยวนะ นี่มันซอยข้างมหาวิทยาลัยของฉันนี่
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง”
จู่ๆ คำพูดของส้มหวานก็ดังก้องขึ้นในสมอง
อีกซอย... เด็กอาชีวะ
งั้นก็แปลว่าเขา...!
หมับ
ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังคิดไม่ทันจบดีจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้มแล้วยกสูงขึ้นจากเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นว่าคนอุ้มเป็นคนที่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนคนเมื่อกี้ หรือว่าเขาจะจับฉันทุ่มลงพื้นกันนะ?
กลัวจังเลย
“ตัวเบาว่ะ” ฉันได้ยินเสียงเขาพึมพำในลำคอ ในขณะที่ร่างสูงจะวางฉันลงอย่างเบามือ แต่เดี๋ยวนะ... เบามือเหรอ ไม่ทุ่มลงพื้นอย่างที่คิดด้วย “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจัดการไรเสร็จเราจะพาเธอไปส่งบ้าน”
จัดการอะไรเสร็จ พาไปส่งบ้านด้วย?
นะ... น่ากลัว!
“ไม่นะคะ หนูไม่ได้ทำอะไรให้คุณสักหน่อย” ฉันพูดเสียงสั่นแล้วถอยหลังไปอีกก้าว แต่ต่อมาก็ชนเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ คราวนี้เลยเห็นพวกกลุ่มผู้ชายที่นั่งอยู่อีกทางหันมองมาทางนี้ มันเหมือนบ้านคูหาติดกันของคนไทยเชื้อสายจีนหรืออะไรสักอย่าง แถมชุดของพวกเขาก็ดูเหมือนชุดเด็กอาชีวะด้วย พวกเขาพูดอะไรกับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่ฉันไม่รับรู้แล้ว ฉันกลัวจนหูอื้อล่ะ “ปะ... ปล่อยหนูไปเถอะนะ หนูไม่เคยหาเรื่องใครก่อนเลย แล้วหนูก็มั่นใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับคุณด้วย”
“หาเรื่อง?” เขาหันมาให้ความสนใจกับฉันพร้อมกับทวนคำพูดของฉันอย่างงงๆ “พูดไร”
“หนูอยากกลับบ้าน พาหนูกลับเถอะ หนูสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจ นะ... อุ้บ” ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังพูดไม่ทันจบก็โดนผู้ชายตรงหน้าเอามือมาปิดปากไว้ราวกับจะตัดรำคาญ ก่อนที่คนตัวสูงที่มีสีหน้าหงุดหงิดจะเริ่มง้างหมัด
ขะ... เขาจะต่อยฉันนี่ ใช่มั้ย?
ฮะ ฮือ พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูต้องตาบวมไม่ก็ฟันหักไปมหาลัยพรุ่งนี้แน่ๆ หรือไม่หนูอาจจะต้องเขาโรงพยาบาลเพราะพวกของเขาเยอะเหลือเกิน หนูต้องตายแน่ๆ เลย ขอให้บุญที่เคยทำมาตั้งแต่ชาติที่แล้วรักษาและคุ้มครองหนูด้วย...
ปุบ
“เอาไป”
แต่แล้ว... ความคิดของฉันก็ถูกชะงักลงไปทั้งหมดเมื่อเห็นว่าทันทีหมัดของเขามาจ่ออยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างก็หล่นลงมาจากมือนั้นจนฉันรีบรับมันแทบไม่ทัน
แล้วมันก็คือ... โทรศัพท์?
โทรศัพท์ที่ไม่ได้ปิดหน้าจอ แถมยังมีเบอร์โทรแปะหราอยู่ด้วย
นี่มันอะไรกันเหรอ
“เบอร์เราเอง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ อะไรเนี่ย เขาไม่ต่อยฉันเหรอ? ก็เขาทำท่าเหมือนจะต่อยฉันนี่ “ดีจัง นึกว่าเธอจะปล่อยมันตกแตกซะแล้วว่ะ”
“คะ... คุณ” ฉันอึกอักนิดหน่อย “ไม่ต่อยหนูเหรอ”
“เฮ้ย ต่อยไม? เราไม่ได้จะหาเรื่องเธอ” เขาทำสีหน้าตกใจแล้วเริ่มเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ แล้วฉันก็แปลกใจกับท่าทีนั้นมาก แต่... เดี๋ยวนะ เขาไม่ได้คิดที่จะหาเรื่องฉัน แต่เขาทำท่าจะต่อยฉันนะ แต่สรุปคือเขาไม่ได้จะต่อยเหรอ แต่เขาแค่จะให้โทรศัพท์ฉันไว้ให้ยืนจ้องเบอร์โทรแค่นี้ใช่มั้ย?
เอ่อ... ฉันงงนะ สรุปนี่มันยังไงกันแน่เนี่ย
“แล้ว... แล้วถ้าคุณไม่ได้จะหาเรื่อง แล้วคุณ...”
“ไม่รู้เหรอ เรากำลังจีบเธออยู่ไง”
“...!”
“คือเธอแม่งโคตรน่ารัก” ฉันเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดตรงๆ ออกมาพร้อมกับคว้าต้นแขนของฉันเอาไว้ข้างหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ฉันเดินหนีไปไหน ก่อนที่ประโยคต่อมาของเขาจะทำให้ฉันเหวอ “เราชอบเธอว่ะ อยากได้เธอเป็นเมีย”
“อะ... อะไรนะ”
“ขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเบอร์เธอมาดิ ไม่ให้ดีๆ เราต่อยด้วยปากนะเว้ย” แค่พูดไม่พอ เขาเริ่มเดินต้อนฉันจนติดกับรถมอเตอร์ไซค์ พอฉันเอนตัวหนีเขาก็เอนตาม จนหน้าของเขาใกล้ฉันมาก ฉันเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มของคนไม่ดีอยู่ในระยะใกล้ พอเขาเอนตัวลงมาอีกนิดฉันเอาเอามือที่ถือโทรศัพท์มาดันไว้ทันที
“อะ... ออกไปก่อนได้มั้ย” ฉันอ้อนวอนเมื่อเริ่มเมื่อยตัว แล้วเซไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายผละออกอย่างว่าง่าย แต่ก็ถูกร่างสูงกว่าช้อนเอวไว้ได้ ก่อนที่เขาจะดึงทั้งตัวฉันให้ถลาไปชนกับอกของเขาอย่างจัง
“ตัวเล็กจัง” ฉันได้ยินเขาพึมพำในขณะที่จะกอดฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเริ่มบีบบังคับ “จะกดเบอร์ได้ยัง”
“ปะ... ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ เดี๋ยวเธอหนีเราไปทำไง”
“ไม่หนีหรอก”
“แต่เราอยากกอดเธอไง อย่าหวงดิ” ฉันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา ที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเขาดี พอจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้ม แล้วร่างสูงก็เอนตัวลงนั่งที่เบาะมอเตอร์ไซค์ ละ... แล้วจับฉันเอนทับเบาะที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาด้วย “กดเบอร์ตรงนี้ จะดู”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย ฉันอายนะ พวกของเขาตรงนั้นก็มองมาทางนี้เหมือนกัน แถมไม่รู้จักกันด้วย เขามากอดฉันได้ยังไง
“คือ... ฉันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้” และเพราะว่ากลัวมากนั่นแหละ ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะโกหก
“นิสัยไม่ดี ขี้โกหก” แต่เขาดันรู้อ่ะ “บอกแล้วไงว่าไม่ให้ดีๆ จะต่อยด้วยปาก...”
“โอเค โอเคค่ะ แค่ให้เบอร์ใช่มั้ยล่ะ” ฉันรีบโพล่งตัดบทเขาอย่างลนลานเมื่อเห็นว่าเขาจะพูดประโยคน่าอายนั่นออกมาอีกแล้ว ก่อนที่จะรีบกดเบอร์โทรศัพท์ลงอย่างร้อนรน พอเขาเริ่มหัวเราะในลำคอ ฉันก็รีบหันกลับไปส่งโทรศัพท์ให้เขาทันที “พอใจแล้วนะ”
“อืม” เขาคว้าโทรศัพท์กลับมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉัน ร่างสูงยังคงกอดเอวฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ตัวฉันนี่เอง
มะ... เหมือนโดนกอดจากข้างหลังเลย น่ากลัวสุดๆ
“ปะ... ปล่อยสิ”
“ชื่อคะนิ้งใช่มั้ย?” แต่เขาไม่สนใจที่ฉันพูดเลย ร่างสูงโพล่งถามขึ้นมา แต่... เดี๋ยวนะ เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง “เราหาไลน์เธอจากเบอร์โทรศัพท์อ่ะ ชื่อน่ารักว่ะ”
อะ นี่เขา
“เอ่อ...”
“เรียกนิ้งนะ” เขาพูดแทรกขึ้นทันทีอย่างไม่คิดที่จะฟัง แล้วเอนหน้ามาซบที่ไหล่ของฉันพอฉันเอี้ยวตัวกลับมามอง เราสบตากันในระยะใกล้ แล้วฉันก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนผู้ชายรุกใส่ได้รุนแรงขนาดนี้ “เราชื่อฉลามดุ เรียกพี่หลามก็ได้”
“...”
“หรือจะเรียกพี่คะพี่ขาเราก็ไม่ว่าหรอก”
อะไรของเขาเนี่ย!
ฉันว่าฉันคิดดีแล้วล่ะเพราะหลังจากที่ฉันโทรไปบอกฉลามดุว่าจะเป็นแฟนกับเขา ฉลามก็ตัดสายใส่ทันทีเลย ฉันเองก็เขินจนไม่กล้าคุยต่อแล้วเหมือนกัน มันยากนะที่ต้องขอใครสักคนเป็นแฟนก่อนแบบนี้ ยิ่งกับอีกฝ่ายที่เป็นคนแบบเขาด้วยฉันไม่เคยพูด ไม่เคยคบกับใคร ก็เลยอายจนต้องซุกหน้าลงกับหมอนที่ตัวเองกอดอยู่แบบนั้นส้มหลับไปแล้ว เธอเพิ่งได้กลับมาค้างที่ห้องก็วันนี้ แต่เพราะทำกิจกรรมมาหนักก็เลยหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ประตูห้องปิดอยู่ ส่วนฉันก็นั่งอยู่ที่โซฟาข้างนอกห้อง ที่ฉันเงียบไปไม่ยอมคุยกับเขาก็เพราะตอนที่ไปเที่ยวกับเขาฉันมีความสุขมากจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ฉันชอบฉลามดุ แล้วก็ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฉันนั่งทำใจให้หายเขินอยู่นานมาก จนประตูห้องเหมือนถูกใครเคาะ เสียงค่อนข้างดังก็อกๆๆ!ฉันชะงักไป สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นใคร ตอนเปิดประตูออกไปตัวก็แทบจะถลาไปด้านหลังเพราะถูกคนๆ นั้นโถมตัวเข้ามาหาทันทีฉันรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ท่วมตัวเขา ใจเต้นขึ้นมาทันทีพอเห็นว่าเป็นเสื้อยืดที่คุ้นเคย พอเขาผละออก ฉันก็ตกใจที่เห็นว่าเป็นฉลามเขา...“พูดจริงเหรอนิ้ง!” เขาผละออกมาแล้วคว้าไหล่ฉันมาเขย่าทันที ฉันเอ๋อไป ก็พอรู้อยู่นะว่าฉลาม
[พาร์ท : ฉลามดุ] “ฉลาม นิ้งอยากกินไอติม” ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวานๆ ของนิ้งดังขึ้นตอนที่เดินดูอะไรเล่นๆ ไปเรื่อยหลังจากกินอะไรเสร็จ ตอนแรกเธอบอกไม่อยากได้ถึงผมบอกว่าอยากจะซื้อให้เธอแค่ไหน ตอนที่เดินดูก็ทำเป็นไม่มองอะไร ผมก็รู้ว่าเธอขี้เกรงใจนะ แต่แล้วไง? ผมเลี้ยงเธอได้หมดอ่ะ แค่ออกปากขอ “ไอติม?” ผมเลิกคิ้วมองเธอที่เดินนำผมไปใต้ร่มร้านไอติมโบราณข้างหน้า คะนิ้งทำสีหน้าสดใสแบบที่ผมไม่ค่อยเห็น ผมก็เลยก้มหัวเข้าไปใต้ร่มบ้าง แต่เพราะตัวสูงถ้ายืดตัวหัวแม่งก็จะชนร่มผมก็เลยก้มตัวไปเกยคางไว้ที่ไหล่เธอแทน “เอาอันไหน” “เอากะทิได้มั้ย?” ร่างเล็กเอี้ยวตัวมาขออนุญาตจากผมทางสายตา ผมหัวเราะ มีหันมาขอจากผมด้วย น่ารักว่ะ “สั่งดิ” “นิ้งขอกะทิอันนึงนะคะ” เธอคลี่ยิ้มหวานให้ผมแล้วหันไปสั่งทันที ผมเหลือบมองเธอจากทางด้านข้าง พอป้าที่ขายคิดเงินผมก็ชิงจ่ายให้เธอก่อน คะนิ้งชะงักไป เธอหันมาหาผมเหมือนเก้อๆ ตอนที่เดินออกมา “อะ... ขอบคุณนะ” “เล็กน้อย” ผมยักไหล่ มากกว่านี้ผมก็ซื้อให้ได้ “ไปดูอย่างอื่นเหอะ” “อื้อ” คะนิ้งพยักหน้าแล้วก็เริ่มกินไอติมเหมือนเด็ก ผมมองเธออย่างเอ็นดู ก่อนที่จะยกแขนขึ้นพาดคอเธอดึงให
“ก็ดูแม่งพูดดิ ไม่ให้เราโมโหได้ไง”ฉันยืนกอดอกหลวมๆ อยู่ตรงหน้าเขา ตอนนี้เราขับมาถึงเยาวราชแล้ว ฉันทนเก็บความไม่พอใจที่เขาไปหาเรื่องนักศึกษาสองคนนั้นไว้ตลอดทาง แต่พอมาถึงแล้วลงจากรถ ฉันแค่พูดออกมาคำเดียว ฉลามก็มีท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงทันที“แต่ฉลามก็ไม่ควรไปหาเรื่องเขานี่” ฉันปรามเขา เพราะคิดว่านิสัยคิดแล้วจะบวกอย่างเดียวของเขานั่นแหละที่เป็นปัญหาสุดๆ ในตอนนี้ แล้วร่างสูงก็ทำสีหน้าหงุดหงิด“ทำไม ปกป้องมันว่างั้น?” ฉันเหวอจนต้องคลายมือที่กอดอกลง นะ... นี่เขาเอาอะไรมาพูดเนี่ย “สงสัยผู้หญิงแม่งจะชอบจริงๆ ไอ้พวกผู้ชายสำอางค์ๆ งั้นอ่ะ”“อะ... อะไรนะ”“นิ้งก็ชอบอ่ะดิ ดูโกรธเราจัง” ฉันอ้าปากค้าง พูดไม่ออกเมื่อเขาพูดแทรกขึ้นมาทุกประโยค แถมยังมองฉันแบบผิดๆ อีก “เราจะบอกไรให้นะ ไอ้พวกนั้นอ่ะ พอบทหน้าสิ่วหน้าขวานมาไม่มีใครช่วยเธอได้สักคนหรอก”“...”“อย่างมากก็คง พี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ เหมือนเมื่อกี้ที่พูดกับเราไง” ฉันมองฉลามอย่างจนใจ ไม่รู้จะพูดกลับไปยังไงดี ฉันก็แค่จะเตือนเขาเฉยๆ ว่าผู้ชายสองคนนั้นไม่ได้จะทำอะไรเราเลย อยู่ดีๆ ก็ไปหาเรื่องจะต่อยเขามันไม่ดีนะ แต่ก็ดูเขาสิ “พวกขี้แพ้ก็งี้”“ฉลาม” ฉันป
ฉลามยืนอยู่ตรงหน้าฉันพอมองเลยตัวใหญ่ๆ ของเขาไปก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉันยังอึ้งอยู่ก็เลยได้แต่มองเขาตาปริบๆ จนร่างสูงโอบเอวฉันดึงให้เข้ามาหาด้วยแขนข้างที่ไม่ได้ดามเฝือกเอาไว้นักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตูมหาลัยต่างก็มองมาที่เราอย่างสนใจ เพราะผ้าพันแผลที่ศีรษะ ผ้าก็อซ และที่ดามแขนของฉลามดุมันสะดุดตาทุกคนมาก และหลังจากที่ฉันรู้สึกตัว ฉันก็พยายามดันเขาออกทันที“มะ... มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย” คนตัวโตทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนที่จะตอบหน้าตาย“หนีมาหา” เขาพูดอย่างไม่สำนึกแล้วเกยคางไว้ที่ศีรษะของฉัน “คิดถึงนิ้งไง”“ปล่อยเลย” ฉันทำหน้ามุ่ย แล้วตีแขนเขาข้างที่ไม่เจ็บ “หนีออกมาทำไม ยังไม่หายดีเลยนะ แถมยังให้พี่เพทายมาจ่ายค่ารักษาให้อีก ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนอยู่เรื่อยเลย”ฉลามดุทำหน้าเบ้ เขาคว้าข้อมือฉันแล้วทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังถูกดุ“บ่นเราอีกล่ะ” แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม “เป็นห่วงอ่ะดิ”“ก็ต้องเป็นห่วงสิ” ฉันตอบไปตามความจริง อีกฝ่ายชะงักไป ฉันถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองชักจะเปิดเผยความรู้สึกมากเกินไปแล้ว ก็เลยทำกระแอมกระไอแล้วแก้ตัว “ไม่ใช่แค่เรานะ พี่เพทายก็เ
ตอนนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่ฉันมาเยี่ยมเขาวันนี้ฉันอยู่ที่มหาลัย ทุกครั้งที่ฉันอยู่ที่นี่ฉลามจะชอบโทรมาตามว่าอยู่ไหน เขาอยากให้ไปหาที่โรงพยาบาล อยู่คนเดียวมันเหงา ฉันเองพอโดนเขารบเร้ามากๆ เข้าก็ใจอ่อนชอบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทุกที แล้วฉันก็คิดว่าความสัมพันธ์ของเรามันลงตัวมากขึ้นกว่าเดิมแล้วนะ จากที่ตอนแรกฉันยังกลัวเขาอยู่ แต่พอเปิดใจรับเขา ฉันก็คิดว่าทุกอย่างมันดีขึ้นมากๆ เลยจะว่าไปแล้วฉันยังไม่ได้ให้คำตอบเลยว่าจะเป็นแฟนกับเขารึเปล่า นั่งคิดนอนคิดมาหลายวันแล้วล่ะ ฉันคิดว่าฉันยังมีความสุขที่ระหว่างเรามันเป็นแบบนี้ แต่มันก็ต้องคืบหน้าบ้างล่ะเนอะแต่เพราะฉันยังไม่เคยมีแฟน แล้วฉันก็ยังไม่ชินกับการที่จะต้องเป็นแฟนใคร มันก็เลย... ลำบากใจนิดหน่อยแฮะครืด ครืดฉันสะดุ้งเมื่อเปิดหนังสืออ่านแล้วก็นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวไม่ทันไรโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ตัวก็มีสายเรียกเข้า พอเปิดขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นฉลามคนเดียวคนเดิม ฉันคลี่ยิ้ม คงจะโทรมาตามฉันอีกแล้วล่ะมั้ง“ฮัลโหล” ฉันกดรับแล้วทักปลายสายทันที ก่อนที่ต่อมาจะได้ยินเสียงโอดครวญดังลอดเข้ามา[นิ้ง คิดถึงว่ะ] ฉันเขินที่เขาพูดออกมาตรงๆ ถึงจะได้ย
“พูดแล้วนะ” ผมพูดชิดกับใบหน้าของเธอ ตอนนี้คะนิ้งอยู่ในอ้อมกอดของผม “พูดแล้วนะว่าจะเป็นแฟนเรา”“...”“เราให้เวลาเธอคิดได้ทั้งชีวิตอ่ะ แค่เธออย่าทิ้งเราก็พอ” ผมพูดแล้วยิ้มแฉ่ง คะนิ้งมองหน้าผม อยู่ดีๆ เธอก็หลุดยิ้มออกมา แล้วพยักหน้ารับตอนนั้นแหละ ผมรู้สึกเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่เลยว่ะ“เราไม่ทิ้งฉลามหรอก” เธอพูดแค่นั้น แล้วซุกใบหน้าลงกับอกผมเหมือนเขิน ผมแม่ง... อารมณ์เหมือนถูกหวยสักสิบล้านอ่ะ ผมกอดเธอเอาไว้แน่น ยิ่งนิ้งยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมกอดไม่ขัดขืนนี่ผมแบบ... อธิบายไม่ถูกว่ะ มีความสุขโคตรตายตาหลับแล้วกูวันนี้“นิ้ง เราแม่งโคตรรักเธอเลยอ่ะ” ผมพูดอย่างตื้นตัน ชีวิตผมมาถึงจุดที่ผมคิดว่ามันโอเคแล้ว ตอนที่ผมเริ่มตามจีบเธอผมคิดถึงแต่เรื่องของนิ้ง ในหัวของผมไม่เคยมีเรื่องใครอยู่ในหัวเลย จะเรียกว่ารักเธอชิบหายหรือหลงหัวปักหัวปำก็คงคล้ายๆ กันมั้งคอยดู ถ้าวันไหนนิ้งยอมตกลงคบกับผมนะ ผมแม่งจะปิดซอยเลี้ยงฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน แดกให้สุด ไม่เมาไม่เลิก แดกให้ตาย คาอกเธอได้เลยยิ่งดี“อื้อ ปะ... ปล่อยได้แล้ว” ดูเหมือนนิ้งจะเขิน เธอดันผมออก แต่ผมกลับทำหน้าเสียดายใส่เธอ ก็เลยโดนตีที่แขนข้างที่เจ็บเบาๆ นิ้ง