ก็คนมันชอบ ก็ไอ้ฉลามดุหัวโจกเเห่งอาชีวะคนนี้มันชอบเธอ จะให้ทำยังไง
View More“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“เอ้ะ น่ากลัวอ่ะ” ฉันทำสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ โพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เก็บกระเป๋าจากม้านั่ง เธอชื่อส้มหวาน เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทำตัวเหมือนผู้ชายไม่เข้ากับชื่อหวานๆ นั่นก็ตาม “แต่ปกติเราก็กลับบ้านกันปลอดภัยดีนะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง” พูดแล้วก็หยิกแก้มฉันแรงๆ อย่างกลั่นแกล้งจนฉันต้องร้องเสียงอ่อยอย่างเจ็บปวด
แต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะขอแนะนำตัวเองก่อนสักเล็กน้อยนะคะ
ฉันชื่อ ‘คะนิ้ง’ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นคนเรียบร้อยและสดใส แล้วก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนในที่นี่ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนๆ เหล่านั้นก็มีแค่ส้มหวานเท่านั้นล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุด
ประวัติของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจมากหรอกค่ะ ฉันอยู่หอนอกกับส้มหวาน เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไป
ใช่ค่ะ ฉันคือผู้หญิงปกติ
แต่... แต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว
“เธอชื่ออะไรวะ”
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่เกือบหน้าประตูของมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาดุดัน ทำผมสีทองสว่าง ใส่เสื้อกล้ามสีดำและมีรอยสักเต็มทั้งสองแขน ท่าทางกร่างๆ เหมือนพวกอันธพาลหรืออะไรทำนองนั้นไม่มีผิดเลย
ให้ตายสิ
ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่ดันมาเจอกับอะไรก็ไม่รู้
“เขาพูดกับใครอ่ะนิ้ง” ส้มหวานเอนตัวมากระซิบกระซาบกับฉัน ส่วนฉันก็สั่นหน้าหวือ ฉันไม่รู้อ่ะ เห็นเขามองหน้าฉันอยู่ แต่อาจมองเลยไปหาคนอื่นก็ได้
“อย่าไปสนใจเลย กลับบ้านกันเถอะส้ม” ฉันกระซิบกลับ แล้วตัดสินใจจูงมือส้มหวานเดินผ่านเขาไปโดยเว้นระยะห่างไว้ สงสัยเขาจะเรียกคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ อาจจะมารับแฟนก็ได้ แต่ดูท่าทางกับลุคแบบนี้ผู้หญิงเขาน่าจะกลัวมากกว่านะเนี่ย
หมับ
แต่ทว่า
ฉันยังเดินไปไหนไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ จู่ๆ ข้อมือก็ถูกคว้าและโดนกระชากอย่างแรง ฉันเซและหลุดมือจากส้มหวานไป แล้วหน้าก็ชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนเต็มๆ
“จะ... เจ็บ” ฉันพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น คือเขากระชากฉันเข้ามาหา แถมยังใช้มืออีกข้างรั้งข้อมือฉันเอาไว้ด้วย นี่เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะ เขามาทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้ยังไง “ปะ... ปล่อยนะ”
หากแต่เขาไม่ยอมฟังเสียงร้องของฉันเลย จู่ๆ ก็ดึงทึ้งฉันให้เดินตามไปหน้าตาเฉย ฉันมองส้มหวานที่ยืนอึ้งอยู่ พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอข้อมือถูกกำแน่นขึ้นก็เลยไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาอีก
นะ... นี่เรากำลังถูกหาเรื่องเหรอ ฉันกำลังจะถูกเขาพาไปซ้อมเหมือนในข่าวสินะ
“ขึ้นมา”
ฉันเงยหน้ามองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า อะไรเนี่ย จะถูกซ้อมไม่พอยังถูกลักพาตัวอีกเหรอ
“นะ... หนูจะกลับบ้าน”
“จะขึ้นมาดีๆ หรือจะให้ต้องใช้กำลัง!” ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่หน้า ตัวสั่นไปหมดในขณะที่ค่อยๆ นั่งลงบนเบาะหลัง แต่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงร่างสูงก็ออกรถไปด้านหน้าอย่างแรงจนฉันร้องกรี๊ดแล้วกอดเอวเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
อะ... อะไรเนี่ย น่ากลัวมากเลย เริ่มจะกลัวแล้วนะ
ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังขับไปที่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถหยุดลงอย่างกะทันหัน ฉันได้กลิ่นบุหรี่และเสียงเซ็งแซ่ของกลุ่มคน พอลืมตาขึ้นอีกทีก็พบกับซอยที่คุ้นตา
เดี๋ยวนะ นี่มันซอยข้างมหาวิทยาลัยของฉันนี่
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง”
จู่ๆ คำพูดของส้มหวานก็ดังก้องขึ้นในสมอง
อีกซอย... เด็กอาชีวะ
งั้นก็แปลว่าเขา...!
หมับ
ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังคิดไม่ทันจบดีจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้มแล้วยกสูงขึ้นจากเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นว่าคนอุ้มเป็นคนที่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนคนเมื่อกี้ หรือว่าเขาจะจับฉันทุ่มลงพื้นกันนะ?
กลัวจังเลย
“ตัวเบาว่ะ” ฉันได้ยินเสียงเขาพึมพำในลำคอ ในขณะที่ร่างสูงจะวางฉันลงอย่างเบามือ แต่เดี๋ยวนะ... เบามือเหรอ ไม่ทุ่มลงพื้นอย่างที่คิดด้วย “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจัดการไรเสร็จเราจะพาเธอไปส่งบ้าน”
จัดการอะไรเสร็จ พาไปส่งบ้านด้วย?
นะ... น่ากลัว!
“ไม่นะคะ หนูไม่ได้ทำอะไรให้คุณสักหน่อย” ฉันพูดเสียงสั่นแล้วถอยหลังไปอีกก้าว แต่ต่อมาก็ชนเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ คราวนี้เลยเห็นพวกกลุ่มผู้ชายที่นั่งอยู่อีกทางหันมองมาทางนี้ มันเหมือนบ้านคูหาติดกันของคนไทยเชื้อสายจีนหรืออะไรสักอย่าง แถมชุดของพวกเขาก็ดูเหมือนชุดเด็กอาชีวะด้วย พวกเขาพูดอะไรกับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่ฉันไม่รับรู้แล้ว ฉันกลัวจนหูอื้อล่ะ “ปะ... ปล่อยหนูไปเถอะนะ หนูไม่เคยหาเรื่องใครก่อนเลย แล้วหนูก็มั่นใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับคุณด้วย”
“หาเรื่อง?” เขาหันมาให้ความสนใจกับฉันพร้อมกับทวนคำพูดของฉันอย่างงงๆ “พูดไร”
“หนูอยากกลับบ้าน พาหนูกลับเถอะ หนูสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจ นะ... อุ้บ” ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังพูดไม่ทันจบก็โดนผู้ชายตรงหน้าเอามือมาปิดปากไว้ราวกับจะตัดรำคาญ ก่อนที่คนตัวสูงที่มีสีหน้าหงุดหงิดจะเริ่มง้างหมัด
ขะ... เขาจะต่อยฉันนี่ ใช่มั้ย?
ฮะ ฮือ พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูต้องตาบวมไม่ก็ฟันหักไปมหาลัยพรุ่งนี้แน่ๆ หรือไม่หนูอาจจะต้องเขาโรงพยาบาลเพราะพวกของเขาเยอะเหลือเกิน หนูต้องตายแน่ๆ เลย ขอให้บุญที่เคยทำมาตั้งแต่ชาติที่แล้วรักษาและคุ้มครองหนูด้วย...
ปุบ
“เอาไป”
แต่แล้ว... ความคิดของฉันก็ถูกชะงักลงไปทั้งหมดเมื่อเห็นว่าทันทีหมัดของเขามาจ่ออยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างก็หล่นลงมาจากมือนั้นจนฉันรีบรับมันแทบไม่ทัน
แล้วมันก็คือ... โทรศัพท์?
โทรศัพท์ที่ไม่ได้ปิดหน้าจอ แถมยังมีเบอร์โทรแปะหราอยู่ด้วย
นี่มันอะไรกันเหรอ
“เบอร์เราเอง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ อะไรเนี่ย เขาไม่ต่อยฉันเหรอ? ก็เขาทำท่าเหมือนจะต่อยฉันนี่ “ดีจัง นึกว่าเธอจะปล่อยมันตกแตกซะแล้วว่ะ”
“คะ... คุณ” ฉันอึกอักนิดหน่อย “ไม่ต่อยหนูเหรอ”
“เฮ้ย ต่อยไม? เราไม่ได้จะหาเรื่องเธอ” เขาทำสีหน้าตกใจแล้วเริ่มเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ แล้วฉันก็แปลกใจกับท่าทีนั้นมาก แต่... เดี๋ยวนะ เขาไม่ได้คิดที่จะหาเรื่องฉัน แต่เขาทำท่าจะต่อยฉันนะ แต่สรุปคือเขาไม่ได้จะต่อยเหรอ แต่เขาแค่จะให้โทรศัพท์ฉันไว้ให้ยืนจ้องเบอร์โทรแค่นี้ใช่มั้ย?
เอ่อ... ฉันงงนะ สรุปนี่มันยังไงกันแน่เนี่ย
“แล้ว... แล้วถ้าคุณไม่ได้จะหาเรื่อง แล้วคุณ...”
“ไม่รู้เหรอ เรากำลังจีบเธออยู่ไง”
“...!”
“คือเธอแม่งโคตรน่ารัก” ฉันเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดตรงๆ ออกมาพร้อมกับคว้าต้นแขนของฉันเอาไว้ข้างหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ฉันเดินหนีไปไหน ก่อนที่ประโยคต่อมาของเขาจะทำให้ฉันเหวอ “เราชอบเธอว่ะ อยากได้เธอเป็นเมีย”
“อะ... อะไรนะ”
“ขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเบอร์เธอมาดิ ไม่ให้ดีๆ เราต่อยด้วยปากนะเว้ย” แค่พูดไม่พอ เขาเริ่มเดินต้อนฉันจนติดกับรถมอเตอร์ไซค์ พอฉันเอนตัวหนีเขาก็เอนตาม จนหน้าของเขาใกล้ฉันมาก ฉันเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มของคนไม่ดีอยู่ในระยะใกล้ พอเขาเอนตัวลงมาอีกนิดฉันเอาเอามือที่ถือโทรศัพท์มาดันไว้ทันที
“อะ... ออกไปก่อนได้มั้ย” ฉันอ้อนวอนเมื่อเริ่มเมื่อยตัว แล้วเซไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายผละออกอย่างว่าง่าย แต่ก็ถูกร่างสูงกว่าช้อนเอวไว้ได้ ก่อนที่เขาจะดึงทั้งตัวฉันให้ถลาไปชนกับอกของเขาอย่างจัง
“ตัวเล็กจัง” ฉันได้ยินเขาพึมพำในขณะที่จะกอดฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเริ่มบีบบังคับ “จะกดเบอร์ได้ยัง”
“ปะ... ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ เดี๋ยวเธอหนีเราไปทำไง”
“ไม่หนีหรอก”
“แต่เราอยากกอดเธอไง อย่าหวงดิ” ฉันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา ที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเขาดี พอจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้ม แล้วร่างสูงก็เอนตัวลงนั่งที่เบาะมอเตอร์ไซค์ ละ... แล้วจับฉันเอนทับเบาะที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาด้วย “กดเบอร์ตรงนี้ จะดู”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย ฉันอายนะ พวกของเขาตรงนั้นก็มองมาทางนี้เหมือนกัน แถมไม่รู้จักกันด้วย เขามากอดฉันได้ยังไง
“คือ... ฉันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้” และเพราะว่ากลัวมากนั่นแหละ ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะโกหก
“นิสัยไม่ดี ขี้โกหก” แต่เขาดันรู้อ่ะ “บอกแล้วไงว่าไม่ให้ดีๆ จะต่อยด้วยปาก...”
“โอเค โอเคค่ะ แค่ให้เบอร์ใช่มั้ยล่ะ” ฉันรีบโพล่งตัดบทเขาอย่างลนลานเมื่อเห็นว่าเขาจะพูดประโยคน่าอายนั่นออกมาอีกแล้ว ก่อนที่จะรีบกดเบอร์โทรศัพท์ลงอย่างร้อนรน พอเขาเริ่มหัวเราะในลำคอ ฉันก็รีบหันกลับไปส่งโทรศัพท์ให้เขาทันที “พอใจแล้วนะ”
“อืม” เขาคว้าโทรศัพท์กลับมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉัน ร่างสูงยังคงกอดเอวฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ตัวฉันนี่เอง
มะ... เหมือนโดนกอดจากข้างหลังเลย น่ากลัวสุดๆ
“ปะ... ปล่อยสิ”
“ชื่อคะนิ้งใช่มั้ย?” แต่เขาไม่สนใจที่ฉันพูดเลย ร่างสูงโพล่งถามขึ้นมา แต่... เดี๋ยวนะ เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง “เราหาไลน์เธอจากเบอร์โทรศัพท์อ่ะ ชื่อน่ารักว่ะ”
อะ นี่เขา
“เอ่อ...”
“เรียกนิ้งนะ” เขาพูดแทรกขึ้นทันทีอย่างไม่คิดที่จะฟัง แล้วเอนหน้ามาซบที่ไหล่ของฉันพอฉันเอี้ยวตัวกลับมามอง เราสบตากันในระยะใกล้ แล้วฉันก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนผู้ชายรุกใส่ได้รุนแรงขนาดนี้ “เราชื่อฉลามดุ เรียกพี่หลามก็ได้”
“...”
“หรือจะเรียกพี่คะพี่ขาเราก็ไม่ว่าหรอก”
อะไรของเขาเนี่ย!
“... ฉลาม เราไม่ไหวอ่ะ” ฉันงอแงออกมาตอนที่รู้สึกเหมือนสะโพกถูกจับยึดไว้ ฉันได้ยินเสียงฉลามแค่นหัวเราะ แล้วโน้มตัวลงมาคว้าปลายคางฉันให้หันไปหาเขาที่ด้านข้าง“แปปเดียว” เขาพูด แล้วจูบฉันหนักๆ ฉันน้ำตาคลอออกมา แล้วครางฮืออยู่กับเตียงตอนที่ทั้งตัวสั่นไปหมดเพราะแรงขยับตัวของเขาฉันพยายามจะกอบโกยอากาศเข้าปอดตอนที่ฉลามเน้นจังหวะเหมือนเขากำลังรู้สึกอะไรสักอย่าง ฉันได้ยินเสียงเขาสบถออกมา ในขณะที่จังหวะจะกระแทกกระทั้นมากขึ้นจนฉันต้องจิกผ้าปูที่นอนแน่นกว่าเดิมจนมาถึงจุดหนึ่ง ฉลามผละออกทันที แล้วเขาก็รีบลุกหายเข้าไปในห้องน้ำเหมือนจะเข้าไปทำอะไรสักอย่าง แต่ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะรับรู้อะไรแล้ว ก็เลยนอนคว่ำหน้าหอบหายใจเล็กๆ อยู่บนเตียงอยู่แบบนั้น จนฉลามเดินออกมาพร้อมกับรูดซิปกางเกงสายตาที่เลือนรางของฉันเห็นเขาขยับขึ้นมานอนข้างๆ เห็นว่าฉลามกำลังจ้องหน้าฉันอยู่ ตัวของเขาดูชื้นเหงื่อ หน้าผากของฉันก็เปียกนิดๆ เหมือนกัน ฉันเห็นว่าเขาเสยหน้าม้าและเส้นผมที่ปรกหน้าของฉันขึ้นให้ แล้วเกลี่ยแก้มฉันเราสบตากัน ในขณะที่เขาเองก็กระตุกยิ้ม“ดีกันแล้วนะ”ฉันคลี่ยิ้มเล็กๆ กลับไปพอได้ยินแบบนั้น แล้วพยักหน้าเบาๆ ตอนที
เขานิ่งไป ก่อนที่ต่อมาจะหัวเราะ แล้วจูบแก้มฉันหนักๆ เหมือนเอ็นดู“รู้นานแล้ว”ลมหายใจของฉันขาดห้วงตอนที่ถูกจูบหลังจากจบประโยคนั้น ฉลามดุขยับมือเข้าไปแตะตรงนั้น แล้วเริ่มทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ“อื้อ...” ฉันหน้าร้อนจนชาไปหมด ฉลามจูบฉันหนักขึ้นแล้วเริ่มขยับปลายนิ้ว ในหัวของฉันเริ่มตื้อไปหมด แล้วมันก็คิดอะไรไม่ออกเลย ฉันจูบตอบเขาตอนที่ฉลามขยับเข้ามาชิดกัน แล้วเขาก็ผละออกมากดจูบที่ต้นคอฉันแรงๆ “อะ... เจ็บ”“...”“... อื้อ”“ตัวนิ่ม” เขากระซิบตอนที่จับหน้าอกฉัน ส่วนอีกมือก็อยู่ตรงนั้น ริมฝีปากของเขาก็สาละวนอยู่ตรงเนินอกฉันเหมือนกัน “ไปทำไรมา”“มะ... ไม่ได้ทำอะไรเลย”“เหรอ”“... อื้อ ฉลาม เจ็บอ่ะ” ฉันพูดเสียงสั่นตอนที่เขาเริ่มแทรกปลายนิ้วเข้าไป แล้วฉันก็ทึ้งไหล่ของเขาเอาไว้แน่น เพราะอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ ฉันตลอด “ฉลามทำแรง”“...”“... ชอบทำนิ้งเจ็บ”“พี่ขอโทษ” เขาพูดแบบนั้น แล้วใจฉันก็เต้นแรงไปหมดตอนที่เขาเริ่มขยับปลายนิ้ว ทุกครั้งมันจะลงน้ำหนัก แต่คราวนี้เขากลับทำเบาๆ “วันนี้จะทำให้นิ้งไม่เจ็บ โอเคมั้ย”“อะ... อื้อ”“เรียกพี่หน่อยดิ”“...”“จูบพี่หน่อย”“พะ... พี่หลาม” ฉันยอมเรียกเขาอย่างว่าง่าย
“... คิดเอาเองอีกแล้ว” ฉันงึมงำเบาๆ ตอนที่หน้าร้อนขึ้นมาเพราะเขากอดฉันแน่นมาก ฉลามตอนป่วยเหมือนเด็กเลย “ปล่อยก่อนนะ”“เรายังไม่หิว” เขาพูดแบบนั้น “แต่เราร้อนๆ ว่ะ”“...”“เช็ดตัวให้หน่อยดิ ปวดหัว”ตอนแรกฉันก็ไม่คิดจะทำหรอก ไม่มีทางแน่ๆ เลยแต่พอเห็นว่าฉลามดูอาการไม่ค่อยดี แล้วหน้าเขาก็ดูซีดๆ ปกติฉลามจะไม่ป่วยง่ายๆ ฉันก็เลยไม่อยากขัดอะไรเขา เห็นฉลามบอกว่าเมื่อเช้าขับมอเตอร์ไซต์ออกไปหาอะไรกินมาแล้วเลยไม่หิว เห็นในตู้เย็นมีเบียร์ด้วย ฉันเลยดุเขาไปนิดหน่อยนี่ขนาดป่วยนะ ยังทำตัวแบบนี้เลย“ถ้าฉลามยังไม่หายป่วยก็ไม่ต้องกินเบียร์เลยนะ” ฉันทำหน้ามุ่ยตอนที่เอาถ้วยที่ใส่น้ำอุ่นมาวางบนโต๊ะข้างๆ ฉลามนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงแล้วเตือนเขา ร่างสูงทำหน้ามึนตั้งแต่ฉันดุข้างนอกแล้ว จนเข้ามาในห้องก็ยังทำสีหน้าเหมือนเดิม “เหล้าด้วย ถึงจำเป็นเราก็ไม่ให้กิน”“แค่เป็นหวัด ไม่เกี่ยวดิ” เขาทำหน้าเซ็ง แล้วฉันที่เอาผ้ามาชุบน้ำแล้วบิดน้ำออกก็หันไปมองหน้าเขาทันที “นิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ตายหรอก จริงปะ”“งั้นฉลามก็เช็ดตัวเองละกันนะ” ฉันพูดอย่างเด็ดขาดพอเห็นว่าเขาดื้อ “เราจะกลับห้องแล้ว”“งั้นหยุดกินจนกว่าจะหายก็ได้” พอเห็
[แม่งทำงั้นเลยเหรอวะ]“ใช่ค่ะพี่คะนอง นิ้งตกใจหมดเลย... นึกว่าเค้าจะตายจริงๆ แล้ว”[ไอ้เด็กนี่ใจมันได้ว่ะ]ฉันทำหน้ามุ่ยออกมาพอเห็นว่าพี่ชายตัวเองออกปากชมฉลาม ทั้งๆ ที่จริงๆ ฉันกำลังฟ้องอยู่ต่างหากว่าฉลามชอบทำให้ฉันใจหาย ชอบทำอะไรบ้าบิ่นตลอดเลยฉันกลับมาที่ห้องตัวเองแล้วล่ะค่ะ เพราะหลังจากกลับจากห้องฉลามแล้วให้เขามาส่งข้างล่าง ฉลามก็เล่าให้ฟังว่าเขาจะโทรมาหาฉันแต่เป็นส้มหวานที่รับสายแทน ก็เลยรีบไปหาฉันที่มหาลัยแทน ส่วนส้มก็ออกไปมหาลัยตั้งแต่ช่วงเย็นๆ แล้วพอขึ้นมาบนห้องได้พี่คะนองก็โทรมาหาพอดี ฉันก็เลยถือโอกาสฟ้องซะเลยตอนแรกก็นึกว่าพี่เค้าจะดุฉลามซะอีก... แต่ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย[เอาจริงๆ แม่งก็ยังวัยรุ่นอยู่ แล้วไอ้ฉลามมันก็เป็นพวกบ้าๆ งี้อยู่แล้ว น้องนิ้งก็น่าจะชิน]“ตะ... แต่ง้อนิ้งด้วยการกระโดดลงสะพานมันก็ไม่ถูกนี่คะ”[มันก็เป็นวิธีง้อของมัน พิเรนทร์หน่อยแต่ก็สมกับมันดี]“...”[ให้พูดตรงๆ เฮียเองก็เป็นผู้ชาย ไม่ได้จะไม่เข้าข้างน้องนิ้งของเฮียหรอกนะ แต่น้องนิ้งจะให้ผู้ชายมานั่งแคร์ทุกอย่างมันก็ไม่ได้]“...”[แค่มันไม่ไปเอากับผู้หญิงคนอื่นก็คงพอแล้วมั้ง]“... ก็พี่คะนองเป็นผ
ฉันนิ่งไปเลย ในหัวคิดว่าฉลามอ่ะบ้า เขาบ้าจริงๆ ด้วย คิดอะไรก็คิดง่ายๆ แถมพอคิดแล้วก็ทำเลยด้วย ไม่มานั่งไตร่ตรองก่อนเลยว่ามันจะเป็นยังไงบ้างถ้ากระโดดลงไป แค่ฉันดูไม่เชื่อว่าเขารักฉันจริงๆ ก็กระโดดลงไปแล้วเนี่ยนะ พอมาได้ฟังเหตุผลแบบนี้จากที่ฉันโกรธที่เขาทำให้ฉันใจหาย ฉันก็โกรธต่อไม่ลงเลยฉันก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้นะ... แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้วฉลามก็เป็นแบบนี้แค่เฉพาะกับเรื่องของฉันเท่านั้นเอง เรื่องอื่นก็เป็นนะ แต่ไม่เคยเห็นเป็นหนักเท่ากับเรื่องของฉันเลย... ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย“ฉะ... ฉลามก็ง้อเราแบบที่ไม่ทำให้เราตกใจได้มั้ยล่ะ” ฉันพูดซ้ำขึ้นมาอีก ฉันรู้นะว่าเขากำลังง้อ แต่ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้“ก็นี่ไง” เขาพูดขึ้นมา แล้วลูบหน้าตัวเองที่เปียกน้ำออกลวกๆ“...”“ก็นี่ไง ง้อของเรา”... คนบ้า“เป็นห่วงเหรอ ตามมาถึงห้องเลยว่ะ”ฉันทำหน้าบึ้งพอร่างสูงหันมาแซว หลังจากเมื่อกี้เราขึ้นมาข้างบนได้ฉลามก็แกะผ้าก็อซที่เปียกน้ำออกแล้วแผลเขาเปิด เห็นบอกว่าจุกๆ นิดนึงด้วยเพราะถึงจะลงถูกท่าแต่ก็เจอแรงดันน้ำอยู่ดี ความจริงฉันเห็นนานแล้วล่ะว่าที่ศีรษะเขามีแผลแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกได้ใจว่าฉ
“เราจะมั่นใจได้ยังไง... ว่าเราจะไม่ร้องไห้เพราะฉลามอีกอ่ะ?” เพราะฉันใจอ่อนง่ายทุกครั้งพอเป็นเขา ทะเลาะกันหนักๆ ฉลามก็แค่เดินมาพูดอะไรสักอย่าง จนฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยแสดงออกมาจริงๆ เลยว่ามันจะดีขึ้นกว่าเดิม “... เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น”“...”“ฮึก... ฉลามจะให้เราเชื่อได้จากตรงไหนเหรอ” สุดท้ายฉันก็แพ้ให้ความอ่อนแอขี้แยของตัวเอง ฉันร้องไห้ออกมาตรงนั้นเพราะเจ็บจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว น้ำตาบังฉันจนมองไม่ออกว่าฉลามกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่“ไปคุยที่รถได้มั้ยวะ”ฉันได้ยินเสียงเขาตอบกลับมา ก่อนที่ข้อมือฉันจะถูกเขาจูงให้เดินตามไปด้วยกัน ฉันสะอื้นออกมาตอนที่ถูกใส่หมวกกันน็อคแล้วติดที่ล็อคตรงใต้คางให้ แล้วฉลามก็สตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์ของเขา“ระ... เราไม่กลับกับฉลามนะ ไม่เอา” ฉันพูดทั้งน้ำตา แล้วเขาก็จ้องหน้าฉันนิ่ง ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉลามจะขับรถออกไปเลย ไม่ก็ว่าฉันว่างี่เง่า ดื้อ เป็นผู้หญิงน่ารำคาญ แต่ต่อมาทั้งตัวของฉันก็ถูกเขาดึงเข้ามากอดไว้“กลับเหอะ” เขากระซิบเสียงหนักข้างหูฉันที่เบิกตาโต แล้วกอดฉันแน่นขึ้น“...”“มีเรื่องจะคุย”สุดท้ายฉันก็นั่งรถไปกับเขา
Comments